ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1764 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1777 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1790 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา ทูตชาดก
ว่าด้วย การบอกความทุกข์แก่ผู้ที่ควรบอก

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการสรรเสริญปัญญาของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทูเต เต พฺรหฺเม ปาเหสึ ดังนี้.
               ภิกษุทั้งหลายสนทนากันถึงถ้อยคำปรารภพระคุณของพระศาสดาในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดูความเป็นผู้ฉลาดในอุบายของพระทศพลเถิด
               พระองค์แสดงนางอัปสรทั้งหลายแก่นันทกุลบุตรแล้วประทานพระอรหัต
               ทรงประทานผ้าเก่าแก่พระจุลปันถกะแล้วประทานพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
               ทรงประทานดอกปทุมแก่นายช่างทองแล้วประทานพระอรหัต
               พระองค์ทรงแนะสัตว์ทั้งหลายด้วยอุบายต่างๆ อย่างนี้.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.
               ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั้น ที่ตถาคตเป็นผู้ฉลาดในอุบาย โดยรู้อุบายว่า นี้เป็นดังนี้ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็เป็นผู้ฉลาดในอุบายเหมือนกัน
               แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ชนบทไม่มีเงินใช้ เพราะพระเจ้าพรหมทัตทรงบีบบังคับชาวชนบท ขนเอาทรัพย์ไปหมด.
               ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกคาม ครั้นเจริญวัยแล้ว ได้ไปเมืองตักกสิลา กล่าวกะอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจักเที่ยวขอเขาโดยธรรมแล้ว จักนำเอาทรัพย์มาให้อาจารย์ภายหลัง แล้วเริ่มเรียนศิลปศาสตร์.
               ครั้นเรียนสำเร็จสอบไล่ได้แล้ว จึงบอกอาจารย์ว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมจักไปนำทรัพย์ค่าจ้างสอนมาให้ท่าน แล้วออกเที่ยวไปตามชนบท แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม ได้ทองคำเจ็ดลิ่ม จึงไปด้วยคิดว่าจักให้อาจารย์ ในระหว่างทางได้ลงสู่เรือเพื่อข้ามแม่น้ำคงคา เรือโคลงไปมาในแม่น้ำนั้น ทองคำของพระโพธิสัตว์ ก็ตกน้ำ.
               พระโพธิสัตว์คิดว่า เงินเป็นของหายาก เมื่อเราจะเที่ยวแสวงหาทรัพย์ค่าจ้างสอนตามชนบท ก็จักเนิ่นช้า อย่ากระนั้นเลย เราควรนั่งอดอาหาร อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคานี่แหละ พระราชาจักทรงทราบความที่ เรานั่งอยู่โดยลำดับ ก็จักส่งพวกอำมาตย์มา เราจักไม่พูดจากับพวกอำมาตย์เหล่านั้น.
               ลำดับนั้น พระราชาก็จักเสด็จมาเอง เราจักได้ทรัพย์ค่าจ้างสอนในสำนักของพระราชาด้วยอุบายนี้ คิดดังนี้แล้ว ห่มผ้าสาฎกเฉวียงบ่า เอายัญและสายสิญจน์วงไว้โดยรอบ นั่งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ประดุจรูปปฏิมาทองคำบนพื้นทราย ซึ่งมีสีดังแผ่นเงิน ฉะนั้น.
               มหาชนเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอดอาหารอยู่ จึงถามว่า ท่านนั่งเพื่ออะไร. พระโพธิสัตว์มิได้กล่าวแก่ใครๆ
               วันรุ่งขึ้น ผู้ที่อยู่บ้านใกล้ประตูพระนครได้ฟังว่า พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ที่นั้น จึงพากันไปถาม. พระโพธิสัตว์ก็มิได้กล่าวแม้แก่ชนเหล่านั้น ชนเหล่านั้นเห็นความลำบากของพระโพธิสัตว์ ก็พากันคร่ำครวญหลีกไป.
               ในวันที่ ๓ ชาวพระนครพากันมา
               ในวันที่ ๔ อิสรชนพากันมาจากพระนคร
               ในวันที่ ๕ ราชบุรุษพากันมา
               ในวันที่ ๖ พระราชาทรงส่งพวกอำมาตย์มา พระโพธิสัตว์ก็มิได้กล่าวแม้แก่ชนเหล่านั้น.
               ในวันที่ ๗ พระราชาทรงกลัวภัย จึงเสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์
               เมื่อจะตรัสถาม จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า
               ดูก่อนพราหมณ์ เราส่งทูตทั้งหลายมาเพื่อท่านผู้เพ่งอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา ทูตเหล่านั้นถามท่าน ท่านก็มิได้บอกให้แจ่มแจ้ง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ท่านนั้นเป็นความตายของท่านมิใช่หรือ?


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุยฺหํ มตํ นุ เต ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ความทุกข์ซึ่งเกิดแก่ท่านนั้น เป็นความตายของท่านมิใช่หรือ ท่านจึงไม่บอกแก่คนอื่น.

               พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์จะบอกแก่ผู้ที่สามารถจะนำทุกข์ไปได้เท่านั้น ไม่บอกแก่ผู้อื่น แล้วกล่าวคาถา ๗ คาถาว่า
               ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงรัฐกาสีให้เจริญ ถ้าความทุกข์เกิดขึ้นแก่พระองค์ ผู้ใดไม่พึงเปลื้องทุกข์จากพระองค์ได้ พระองค์อย่าได้ตรัสบอกความทุกข์นั้นแก่ผู้นั้น.
               ผู้ใดพึงเปลื้องทุกข์ของบุคคลผู้เกิดทุกข์ได้ส่วนเดียวโดยธรรม พึงบอกเล่าแก่ผู้นั้นได้โดยแท้
               ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากยิ่งกว่านั้น.
               อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็นผู้ใจดี คนทั้งหลายนับถือว่าเป็นญาติ เป็นมิตรหรือเป็นสหาย ภายหลัง ผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้.
               ผู้ใดถูกถามเนืองๆ ถึงทุกข์ของตน ย่อมบอกในกาลไม่ควร ผู้นั้นย่อมมีแต่มิตรผู้แสวงหาประโยชน์ แต่ไม่ยินดีร่วมทุกข์ด้วย.
               บุคคลรู้กาลอันควรและรู้จักบัณฑิตผู้มีปัญญา มีใจร่วมกันแล้ว พึงบอกความทุกข์ทั้งหลายแก่บุคคลผู้เช่นนั้น นักปราชญ์พึงบอกความทุกข์ร้อนแก่บุคคลอื่น พึงเปล่งวาจาอ่อนหวาน มีประโยชน์.
               อนึ่ง ถ้าบุคคลอดกลั้นความทุกข์ของตนไม่ได้ ก็พึงรู้ว่า ประเพณีของโลกนี้ จะมีเพื่อถึงความสุขสำหรับเราผู้เดียวไม่ได้. นักปราชญ์ เมื่อเพ่งเล็งหิริและโอตัปปะ อันเป็นของจริง พึงอดกลั้นความทุกข์ร้อนไว้ผู้เดียวเท่านั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺเช ความว่า ถ้าความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่พระองค์. บทว่า มา อกฺขาหิ แปลว่า จงอย่าบอก. บทว่า ทุพฺพิชานครํ ความว่า ถ้อยคำของมนุษย์รู้ได้ยาก ยิ่งกว่าถ้อยคำของสัตว์ดิรัจฉาน เพราะเหตุนั้น คือเพราะไม่รู้โดยถ่องแท้ ไม่พึงบอกทุกข์ของตน ซึ่งไม่สามารถจะนำไปได้. บทว่า อปิ เจ ความว่า เพราะท่านกล่าวไว้ในคาถาแล้ว.
               บทว่า อนานุปุฏฺโฐ แปลว่า ถูกถามบ่อยๆ. บทว่า ปเวทเย แปลว่า ย่อมกล่าว.
               บทว่า อกาลรูเป แปลว่า ในกาลอันไม่สมควร. บทว่า กาลํ ความว่า ตลอดกาลที่พูดถึงความลับของตน. บทว่า ตถาวิธสฺส ความว่า รู้จักบุรุษผู้เป็นบัณฑิตว่า ผู้ใดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตนแล้ว พึงบอกแก่บุคคลเช่นนั้น. บทว่า ติปฺปานิ แปลว่า ทุกข์.
               บทว่า สเจ ความว่า ถ้าว่า บุคคลอดกลั้นความทุกข์ของตนไม่ได้ พึงรู้ว่าเป็นหน้าที่ของตน ในเมื่อเรี่ยวแรงแห่งชาติชายตน หรือของผู้อื่นมีอยู่.
               บทว่า นีติ ความว่า ประเพณีโลกเป็นอย่างนี้. อธิบายว่า โลกธรรม ๘.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ถ้าประเพณีของโลกนี้ จะมีเพื่อถึงความสุขสำหรับเราเท่านั้นไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าผู้จะพ้นไปจากโลกธรรมทั้ง ๘ ประการที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่มี. เมื่อเป็นเช่นนี้ นักปราชญ์ผู้ปรารถนาแต่ความสุข เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ ไม่พึงทำกรรม ที่ชื่อว่า ยกทุกข์ให้แก่ผู้อื่น และเราก็มีหิริและโอตตัปปะ เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ เมื่อเพ่งหิริโอตตัปปะในตนซึ่งเป็นของมีจริง ไม่พึงบอกแก่บุคคลอื่น พึงนอนปรับทุกข์อยู่แต่ผู้เดียว.

               พระมหาสัตว์ ครั้นแสดงธรรมถวายพระราชาด้วยคาถา ๗ คาถาอย่างนี้แล้ว
               เมื่อจะแสดงความที่ตนแสวงหาทรัพย์เพื่ออาจารย์ ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า
               ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระองค์ต้องการจะหาทรัพย์ให้อาจารย์ จึงเที่ยวไปทั่วแว่นแคว้นนิคม และราชธานีทั้งหลาย.
               ขอกะคฤหบดี ราชบุรุษและพราหมณ์มหาศาล ได้ทองคำ ๗ ลิ่ม. ทองคำ ๗ ลิ่มของพระองค์นั้น หายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศกมาก.
               ข้าแต่พระมหาราช บุรุษผู้เป็นทูตของพระองค์เหล่านั้น ข้าพระองค์คิดรู้ด้วยใจว่า ไม่สามารถจะปลดเปลื้องข้าพระองค์จากทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงไม่บอกแก่บุรุษเหล่านั้น.
               ข้าแต่พระมหาราช ส่วนพระองค์ ข้าพระองค์คิดรู้ด้วยใจว่า พระองค์สามารถจะปลดเปลื้องข้าพระองค์จากทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขมาโน ความว่า ขออยู่กะคฤหบดี เป็นต้นเหล่านั้น.
               บทว่า เต เม ความว่า เมื่อข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำคงคา ทองของพระองค์ ๗ ลิ่มหายเสียแล้ว คือตกไปในแม่น้ำคงคา. บทว่า ปุริสา เต ความว่า ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้เป็นทูตของพระองค์.
               บทว่า มนสานุวิจินฺติตา ความว่า ข้าพระองค์รู้ว่า คนเหล่านั้นไม่สามารถจะปลดเปลื้องข้าพระองค์ ให้พ้นจากทุกข์ได้. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงไม่บอกทุกข์ของตนแก่เขาเหล่านั้น. บทว่า ปเวทยึ แปลว่า ได้แจ้งไว้แล้ว.

               พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
               พระราชาผู้บำรุงรัฐกาสีใหญ่มีพระหฤทัยเลื่อมใส ได้พระราชทานทองคำ ๑๔ แท่งแก่พระโพธิสัตว์นั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตรูปมเย ความว่า ได้ทรงพระราชทานทองคำ ๑๔ แท่ง แก่พระโพธิสัตว์นั้น.

               พระมหาสัตว์ถวายโอวาทแก่พระราชาแล้ว ให้ทรัพย์แก่อาจารย์ บำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น. แม้พระราชาก็ดำรงอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ ครองราชสมบัติโดยธรรมแล้ว ชนทั้งสองก็ไปตามยถากรรม.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตเป็นผู้ฉลาดในอุบาย แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็เป็นผู้ฉลาดในอุบายเหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
               อาจารย์ได้มาเป็น พระสารีบุตร
               ส่วนมาณพ คือ เราตถาคต นั่นแล.


               จบอรรถกถาทูตชาดกที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ทูตชาดก ว่าด้วย การบอกความทุกข์แก่ผู้ที่ควรบอก จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1764 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1777 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1790 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=6918&Z=6955
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=40&A=3644
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=40&A=3644
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๐  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :