ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 173 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 175 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 177 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา สุสีมชาดก
ว่าด้วย พระเจ้าสุสีมะ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการถวายทานตามความพอใจ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาฬา มิคา เสตทนฺตา ตว อิเม ดังนี้.
               ความพิสดารมีอยู่ว่า ในกรุงสาวัตถี บางคราวสกุลเดียวเท่านั้น ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บางคราวมากคนด้วยกันรวมกันถวายเป็นคณะ บางคราวถวายตามสายถนน บางคราวชาวเมืองทั้งสิ้น ร่วมฉันทะกันถวายทาน.
               แต่ในครั้งนี้ ชาวเมืองร่วมฉันทะกัน เตรียมถวายบริขารทุกชนิด แบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งพูดว่า พวกเราจักถวายทาน พร้อมด้วยบริขารทุกชนิดนี้ แก่อัญญเดียรถีย์ พวกหนึ่งพูดว่า เราจักถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. เมื่อการโต้เถียงกันเป็นไปเนืองๆ อย่างนี้ พวกสาวกอัญญเดียรถีย์ก็ว่า ถวายแก่อัญญเดียรถีย์เท่านั้น พวกสาวกของพระพุทธเจ้าก็ว่า ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเท่านั้น ครั้นคำที่ว่าเราจักกระทำมีมาก พวกที่พูดว่า เราจักถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขก็มีมากเป็นธรรมดา ถ้อยคำของคนเหล่านั้นก็ยุติ. พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์ไม่อาจจะทำอันตรายแก่ทานที่ควรถวายแด่พระพุทธเจ้าได้.
               ชาวเมืองจึงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พากันบำเพ็ญมหาทานตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้ถวายเครื่องบริขารทุกชนิด พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนา ให้มหาชนตื่นด้วยมรรคผล แล้วจึงเสด็จไปยังเชตวันมหาวิหาร. เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตร จึงเสด็จประทับยืนที่หน้ามุขพระคันธกุฎี ประทานสุคโตวาท แล้วเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี. ในตอนเย็น ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนาในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์ แม้พยายามจะทำอันตรายแก่ทานที่ควรถวายแด่พระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะทำอันตรายได้ การถวายเครื่องบริขารทั้งปวงนั้นมาถึงบาทมูลของพระพุทธเจ้าทั้งหมด.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์เหล่านี้ ได้พยายามเพื่อทำอันตรายทานที่ควรแก่เรา มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็พยายาม อนึ่ง เครื่องบริขารนั้น ก็มาถึงแทบบาทมูลของเราทุกครั้งแล้ว ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ที่กรุงสาวัตถีได้มีพระราชาพระนามว่าสุสีมะ ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณีของปุโรหิตของพระองค์ เมื่อพระโพธิสัตว์มีอายุได้ ๑๖ ปี บิดาได้ถึงแก่กรรม. อนึ่ง ปุโรหิตนั้น ขณะยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นผู้กระทำมงคลแก่ช้างของพระราชา. เขาได้เครื่องอุปกรณ์และเครื่องประดับช้างทุกอย่างที่มีผู้นำมาในที่ทำการมงคลแก่ช้างทั้งหลาย. ในการมงคลครั้งหนึ่งๆ ทรัพย์สินประมาณหนึ่งโกฏิเกิดขึ้นแก่เขา. ต่อมาเมื่อเขาถึงแก่กรรมมหรสพในการมงคลช้างได้มาถึง.พวกพราหมณ์อื่นๆ เข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มหรสพในการมงคลช้างได้มาถึงแล้ว ควรประกอบพิธีมงคล แต่บุตรของพราหมณ์ปุโรหิตยังเด็กนัก ไม่รู้ไตรเพท ไม่รู้สูตรกล่อมช้าง พวกข้าพระพุทธเจ้าจักทำการมงคลช้างกันเอง พระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับว่า ดีแล้ว. พวกพราหมณ์ต่างพากันรื่นเริงยินดีเดินไปมาด้วยคิดว่า พวกเราไม่ให้บุตรปุโรหิตทำการมงคลช้าง จักทำเสียเองแล้ว ก็จะได้รับทรัพย์.
               ครั้นถึงวันที่สี่จักมีการมงคลช้าง เพราะฉะนั้น มารดาของพระโพธิสัตว์สดับข่าวนั้น จึงเศร้าโศกคร่ำครวญว่า ขึ้นชื่อว่าการทำการมงคลแก่ช้างเป็นหน้าที่ของเราเจ็ดชั่วตระกูลแล้ว วงศ์ของเราจักเสื่อม และเราจักเสื่อมจากทรัพย์ด้วย. พระโพธิสัตว์ถามว่า ร้องไห้ทำไมแม่ ครั้นได้ฟังเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงปลอบว่า แม่จ๋า แม่อย่าเศร้าโศกไปเลย บางทีลูกจักทำการมงคลเอง. มารดาพูดว่า ลูกแม่ ลูกไม่รู้ไตรเพท ไม่รู้สูตรกล่อมช้าง ลูกจักทำการมงคลได้อย่างไร. พระโพธิสัตว์ถามว่า แม่จ๋าเมื่อไร เขาจักทำการมงคลช้างกัน. มารดาตอบว่า ในวันที่สี่จากนี้ไปแหละลูก. พระโพธิสัตว์ถามว่า แม่จ๋า อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญไตรเพท รู้สูตรกล่อมช้างอยู่ที่ไหนเล่าแม่. มารดาบอกว่า ลูกรัก อาจารย์ทิศาปาโมกข์เช่นว่านี้ อยู่ในเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ สุดทางจากนี้ไปร้อยยี่สิบโยชน์.
               พระโพธิสัตว์ปลอบมารดาว่า แม่จ๋า ลูกจะไม่ยอมให้วงศ์ของเราพินาศ พรุ่งนี้ ลูกจะไปเมืองตักกสิลา เดินทางวันเดียวก็ถึง เรียนไตรเพทและสูตรกล่อมช้างเพียงคืนเดียวเท่านั้น รุ่งขึ้นจะกลับมาทำการมงคลช้างในวันที่สี่ในวันรุ่งขึ้น. พระโพธิสัตว์บริโภคอาหารแต่เช้า ออกเดินทางคนเดียว เพียงวันเดียวก็ถึงเมืองตักกสิลา เข้าไปไหว้อาจารย์แล้วนั่งอยู่ข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น อาจารย์ถามพระโพธิสัตว์ว่า เจ้ามาจากไหนเล่าพ่อ. จากกรุงพาราณสีขอรับท่านอาจารย์. ต้องการอะไรเล่า. ต้องการเรียนไตรเพทและสูตรกล่อมช้างในสำนักของท่านอาจารย์ขอรับ. ดีละ เรียนเถิดพ่อ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านอาจารย์ขอรับ งานของกระผมค่อนข้างด่วนมาก แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทราบ กล่าวว่า กระผมมาเป็นระยะทางร้อยยี่สิบโยชน์ เพียงวันเดียวเท่านั้น วันนี้ ขอท่านอาจารย์ให้โอกาสแก่กระผมเพียงคืนเดียวเท่านั้น ในวันที่สามจากวันนี้จักมีการมงคลช้าง กระผมขอเรียนทุกวิชาเพียงแต่หัวข้ออย่างเดียวเท่านั้น.
               ครั้นอาจารย์ให้โอกาส จึงล้างเท้าอาจารย์วางถุงทรัพย์พันหนึ่ง ไว้ข้างหน้าอาจารย์ ไหว้แล้วนั่งลงข้างหนึ่ง เริ่มศึกษา พออรุณขึ้น ก็เรียนจบไตรเพทและสูตรกล่อมช้าง จึงถามว่า ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกหรือท่านอาจารย์. เมื่ออาจารย์กล่าวว่า ไม่มีแล้ว จบหมดแล้ว ยังสอบทานศิลปะให้อาจารย์ฟังว่า ท่านอาจารย์ในคัมภีร์นี้มีบทขาดหายไปเท่านี้ มีที่เลอะเลือนเพราะสาธยายไปเท่านี้ ตั้งแต่นี้ไปท่านพึงบอกอันเตวาสิกทั้งหลายอย่างนี้ เสร็จแล้วบริโภคอาหารแต่เช้าตรู่ ไหว้อาจารย์ กลับไปกรุงพาราณสีเพียงวันเดียวเท่านั้น แล้วไปไหว้มารดา. เมื่อมารดาถามว่า เรียนศิลปะจบแล้ว หรือลูก บอกว่า จบแล้วจ้ะแม่ ทำให้มารดาปลาบปลื้มมาก.
               วันรุ่งขึ้น เขาเตรียมงานมหรสพมงคลช้างกันเป็นการใหญ่ ประชาชนต่างจัดเตรียมช้างของตนๆ สวมเครื่องประดับแล้วด้วยทองคำ ผูกธงแล้วด้วยทองคำ คลุมด้วยตาข่ายทอง ตกแต่งกันที่พระลานหลวง. พวกพราหมณ์ก็ประดับประดารอท่าตั้งใจว่า พวกเราจักทำการมงคลช้าง. แม้พระเจ้าสุสีมะก็ทรงเต็มยศ ให้ข้าราชบริพารถือเครื่องอุปกรณ์เสด็จไปยังมงคลสถาน.
               แม้พระโพธิสัตว์ก็ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอย่างเด็ก มีบริษัทของตนห้อมล้อมเป็นบริวาร ไปยังสำนักของพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ได้ทราบข่าวว่า พระองค์ทรงทำวงศ์ของข้าพระพุทธเจ้าและของพระองค์เองให้พินาศ แล้วได้รับสั่งว่า เราจะให้พราหมณ์อื่นทำการมงคลช้าง แล้วมอบเครื่องประดับช้างและเครื่องอุปกรณ์ให้จริงหรือ พระพุทธเจ้า.
               แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า สุสีมะ ช้างสีดำมีงาขาวประมาณร้อยเชือกเหล่านี้ ประดับด้วยข่ายทองเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงระลึกถึง การกระทำของพระบิดาและพระอัยยกา อยู่เนืองๆ ตรัสว่า เราจะให้ช้างเหล่านี้แก่พราหมณ์เหล่าอื่นดังนี้ เป็นความจริงหรือ พระเจ้าข้า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตเต ททามีติ สุสีม พฺรูสิ ความว่า เราให้ช้างเหล่านี้แก่ท่าน คือในสำนักของท่าน. อธิบายว่า เราจะให้ช้างซึ่งประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงประมาณร้อยเชือก จำพวกสีดำงาขาวแก่พราหมณ์เหล่าอื่น ข้าแต่พระราชาสุสีมะ พระองค์ตรัสอย่างนี้ เป็นความจริงหรือ.
               บทว่า อนุสฺสรํ เปตฺติปิตามหานํ ความว่า ทรงระลึกถึงการกระทำของพระบิดาและพระอัยยกาเนืองๆ ในวงศ์ของข้าพระพุทธเจ้า และของพระองค์เอง. ข้อนี้ท่านอธิบายว่า ข้าแต่มหาราช บิดาและปู่ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กระทำมงคลช้างแก่พระชนกและพระอัยยกาของพระองค์จนเจ็ดชั่วตระกูล พระองค์แม้ทรงระลึกได้อย่างนี้ ก็ยังทำวงศ์ของข้าพระองค์ทั้งหลาย และของพระองค์ให้พินาศ นัยว่า รับสั่งอย่างนี้จริงหรือ.

               พระเจ้าสุสีมะทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่สองว่า :-
               ดูก่อนมาณพ ช้างสีดำมีงาขาวประมาณร้อยเชือกเหล่านี้ ประดับด้วยข่ายทองซึ่งเป็นของเรา เราระลึกถึงการกระทำของพระบิดาและพระอัยยกา อยู่เนืองๆ พูดว่า ว่าเราจะให้ช้างเหล่านั้นแก่พราหมณ์เหล่าอื่น ดังนี้ เป็นความจริง.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตเต ททามิ ความว่า ดูก่อนมาณพ เราพูดว่า เราจะให้ช้างเหล่านี้แก่พราหมณ์ทั้งหลายเป็นความจริงทีเดียว. อธิบายว่า เราพูดกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า เราจะให้ช้างเหล่านี้แก่พราหมณ์ทั้งหลายเป็นความจริง.
               บทว่า อนุสฺสรํ ความว่า เรายังระลึกได้ถึงกิริยาของพระบิดาและพระเจ้าปู่อยู่เสมอ มิใช่ระลึกไม่ได้. พระราชารับสั่งอย่างนั้น โดยทรงชี้แจงว่า แม้เราระลึกได้ว่า บิดาและปู่ของเจ้ากระทำพิธีมงคลช้าง แก่พระบิดาและพระอัยยกาของเรา ก็ยังพูดอย่างนี้ อีกเป็นความจริง.

               ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อพระองค์ยังทรงระลึกถึงวงศ์ของพระองค์และของข้าพระองค์ได้ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทิ้งข้าพระองค์เสีย แล้วให้ผู้อื่นกระทำการมงคลช้างเล่า พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า นี่แน่เจ้าพวกพราหมณ์ เขาบอกเราว่า นัยว่าเจ้าไม่รู้ไตรเพทและสูตรกล่อมช้าง เพราะฉะนั้น เราจึงให้พวกพราหมณ์อื่นทำพิธี. พระโพธิสัตว์บรรลือสีหนาทว่า ข้าแต่มหาราช บรรดาพราหมณ์ทั้งหมดนี้ แม้สักคนหนึ่งผิว่าสามารถเจรจากับข้าพระองค์ ได้ในพระเวทก็ดี ในพระสูตรก็ดีมีอยู่ จงลุกขึ้นมา พราหมณ์อื่นนอกจากข้าพระพุทธเจ้า ชื่อว่ารู้ไตรเพทและสูตรกล่อมช้าง พร้อมด้วยวิธีทำการมงคลช้าง ไม่มีเลยทั่วชมพูทวีป. พราหมณ์แม้สักคนหนึ่งก็ไม่สามารถลุกขึ้นเป็นคู่แข่งกับพระโพธิสัตว์ได้.
               พระโพธิสัตว์ ครั้นดำรงตระกูลวงศ์ของตนให้มั่นคงแล้ว จึงกระทำการมงคล ถือเอาทรัพย์เป็นอันมากกลับไปยังที่อยู่.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก
               เมื่อจบสัจธรรมแล้ว ชนบางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้พระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกได้บรรลุพระอรหัต.
               มารดาในครั้งนั้น ได้เป็นมหามายาในครั้งนี้
               บิดาได้เป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช
               พระราชาสุสีมะได้เป็น อานนท์
               อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้เป็น โมคคัลลานะ
               ส่วนมาณพ คือ เราตถาคต นี้แล.

.. อรรถกถา สุสีมชาดก ว่าด้วย พระเจ้าสุสีมะ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 173 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 175 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 177 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1145&Z=1155
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=1165
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=1165
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :