ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 165 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 167 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 169 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา โมรชาดก
ว่าด้วย นกยูงเจริญพระปริตต์

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุเทตยญฺจกฺขุมา เอกราชา ดังนี้.
               ภิกษุทั้งหลายนำภิกษุนั้นไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า เธอกระสันจริงหรือ. ภิกษุกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า. เมื่อตรัสถามว่า เธอเห็นอะไรจึงกระสัน. กราบทูลว่า เห็นมาตุคามคนหนึ่งซึ่งประดับตกแต่งกาย.
               พระศาสดารับสั่งกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคาม ทำไมจักไม่รบกวนจิตคนเช่นเธอ แม้บัณฑิตแต่ก่อน พอได้ยินเสียงมาตุคาม กิเลสที่สงบมาเจ็ดร้อยปีได้โอกาสยังกำเริบได้ทันที สัตว์ทั้งหลายแม้บริสุทธิ์ ยังเศร้าหมองได้. แม้สัตว์ผู้เปี่ยมด้วยยศสูง ยังถึงความพินาศได้. จะกล่าวไปทำไมถึงสัตว์ผู้ไม่บริสุทธิ์ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดนกยูง ในเวลาเป็นฟอง มีกระเปาะฟองคล้ายสีดอกกรรณิการ์ตูม ครั้นเจาะกระเปาะฟองออกมาแล้ว มีสีดุจทองคำ น่าดู น่าเลื่อมใส มีสายแดงพาดในระหว่างปีก.
               นกยูงนั้นคอยระวังชีวิตของตน อาศัยอยู่ ณ พื้นที่เขาทัณฑกหิรัญแห่งหนึ่ง ใกล้แนวเขาที่สี่เลยแนวเขาที่สามไป. ตอนสว่าง นกยูงทองจับอยู่บนยอดเขา มองดูพระอาทิตย์กำลังขึ้น เมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐ เพื่อรักษาป้องกันตัว ณ ภูมิภาคที่หาอาหาร จึงกล่าวคาถาเป็นต้นว่า :-
                         พระอาทิตย์นี้เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก
                         กำลังอุทัยขึ้นมา ทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี เพราะเหตุนั้น
                         ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี
                         ข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มกันแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า อุเทติ ได้แก่พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศปราจีน.
               บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ มีดวงตาด้วยดวงตาที่ให้แก่ประชาชนเพราะกำจัดความมืด ทำให้ผู้อยู่ในจักรวาฬทั้งสิ้นได้ดวงตา.
               บทว่า เอกราชา ความว่า ชื่อว่าเป็นเอกราช เพราะประเสริฐที่สุด ในระหว่างสิ่งที่ทำให้โลกสว่าง ในจักรวาลทั้งสิ้น.
               บทว่า หริสฺสวณโณ คือ มีสีดุจทอง. อธิบายว่า มีสีงามยิ่งนัก.
               บทว่า ปฐวิปฺปภาโส คือ มีแสงสว่างเหนือแผ่นดิน.
               บทว่า ตํ ตํ นมสฺสามิ คือ ข้าพเจ้าขอนอบน้อม คือไหว้ท่านผู้เจริญเช่นนั้น.
               บทว่า ตยชฺช คุตฺตา วิหเรมุ ทิวสํ ได้แก่ ขอให้ท่านรักษาคุ้มครอง ในวันนี้. ข้าพเจ้าพึงอยู่เป็นสุขตลอดวันนี้ ด้วยการอยู่ในอิริยาบถทั้งสี่.

               พระโพธิสัตว์ ครั้นนอบน้อมพระอาทิตย์ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้ว จึงนมัสการพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานไปแล้วในอดีต และพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยคาถาที่สองว่า :-
               พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรมทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า และขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย.
               ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ ขอนอบน้อมแด่ผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว.
               นกยูงนั้นเจริญพระปริตรนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า เย พฺราหฺมณา ได้แก่พราหมณ์ผู้บริสุทธิ์ลอยบาปเสียแล้วเหล่าใด.
               บทว่า เวทคู ความว่า ชื่อว่าผู้รู้ไตรเพท เพราะถึงฝั่งแห่งพระเวท. อนึ่ง เพราะถึงฝั่ง ด้วยพระเวทบ้าง. แต่ในที่นี้ มีอธิบายว่า พราหมณ์เหล่าใดกระทำสังขตธรรม และอสังขตธรรมทั้งปวงที่ตนรู้แล้ว ปรากฏแล้ว ทำลายยอดมารทั้งสาม ยังหมื่นโลกธาตุให้บรรลือ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณที่ควงไม้โพธิ ล่วงฝั่งแห่งสงสารได้แล้ว.
               บทว่า เต เม นโม คือ ขอพราหมณ์เหล่านั้นจงรับความนอบน้อมนี้ของข้าพเจ้า.
               บทว่า เต จ มํ ปาลยนฺตุ ความว่า อนึ่ง ขอท่านผู้เจริญเหล่านั้นที่ข้าพเจ้านอบน้อมแล้วอย่างนี้ จงรักษา คือดูแลคุ้มครองข้าพเจ้า.
               บทว่า นมตฺถุ พุทฺธานํ ฯเปฯ นโม วิมุตฺติยา ความว่า ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้านี้ จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเสด็จปรินิพพานล่วงไปแล้ว. คือขอจงมีแด่ พระปรีชาตรัสรู้ อันได้แก่ ญาณในมรรคสี่ ผลสี่ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ขอจงมีแด่พระองค์ผู้หลุดพ้นแล้วด้วยความหลุดพ้น คือพระอรหัตตผลของพระองค์. และความหลุดพ้นห้าอย่างของพระองค์ คือ
                         ตทังควิมุติ พ้นชั่วคราว ๑
                         วิกขัมภนวิมุติ พ้นด้วยการข่มไว้ ๑
                         สมุจเฉทวิมุติ พ้นเด็ดขาด ๑
                         ปฏิปัสสัทธิวิมุติ พ้นด้วยสงบ ๑
                         นิสสรณวิมุติ พ้นด้วยออกไป ๑.
               ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้านี้ จงมีแก่ความหลุดพ้นห้าอย่างของพระองค์เหล่านั้น.
               หลายบทว่า อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร จรติ เอสนา นี้ พระศาสดาตรัสเมื่อได้บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณแล้ว. บทนั้นมีอธิบายว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกยูงนั้น ครั้นเจริญปริตรนี้ คือการป้องกันนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหารนานาชนิด เพื่อต้องการดอกไม้ ผลไม้เป็นต้น ในที่หาอาหารของตน.
               นกยูง ครั้นเที่ยวไปตลอดวันอย่างนี้แล้ว ตอนเย็นก็จับอยู่บนยอดเขามองดูดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังตก ระลึกถึงพระพุทธคุณ. เมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐอีก เพื่อรักษาคุ้มกันในที่อยู่
               จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อเปตยํ ดังนี้ ความว่า :-
               ดวงอาทิตย์นี้เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก มีสีทองส่องแสงสว่าง ไปทั่วปฐพีแล้วอัสดงคตไป เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจักขอนอบน้อมดวงอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีทองส่องแสงสว่างไปทั่วปฐพี ข้าพเจ้าอันท่านคุ้มครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดคืน.
               พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวท ในธรรมทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับและจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย
               ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แด่พระโพธิญาณ แด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว แด่วิมุติธรรมของท่าน ผู้หลุดพ้นแล้ว
               นกยูงนั้น ครั้นเจริญพระปริตรนี้แล้ว จึงพักอยู่.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า อเปติ ได้แก่ ล่วงลับไป คือตกไป.
               แม้บทว่า อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร วาสมกปฺปยิ นี้ พระศาสดาก็ตรัสเมื่อบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว. บทนั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกยูงนั้น ครั้นเจริญพระปริตร คือการป้องกันนี้แล้ว จึงพักอยู่ ณ ที่อยู่นั้น. ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรนี้ นกยูงมิได้มีความกลัว ความสยดสยอง ตลอดคืนตลอดวัน.
               ลำดับนั้น พรานชาวบ้านเนสาทคนหนึ่ง อยู่ไม่ไกลกรุงพาราณสีท่องเที่ยวไปในหิมวันตประเทศ เห็นนกยูงโพธิสัตว์จับอยู่บนยอดเขาทัณฑกหิรัญ จึงกลับมาบอกลูก.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระนางเขมาพระเทวีของพระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงสุบินเห็นนกยูงสีทองแสดงธรรม ขณะตื่นพระบรรทมได้กราบทูลสุบินแด่พระราชาว่า ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ หม่อมฉันประสงค์จะฟังธรรมของนกยูงสีทอง เพคะ. พระราชาจึงมีพระดำรัสถามพวกอำมาตย์. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า พวกพราหมณ์คงจะทราบ พ่ะย่ะค่ะ.
               พราหมณ์ทั้งหลายสดับพระราชปุจฉาแล้ว จึงพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ นกยูงสีทองมีอยู่แน่ พระเจ้าข้า.
               พระราชาตรัสถามว่า มีอยู่ที่ไหนเล่า. จึงกราบทูลว่า พวกพรานจักทราบ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้ประชุมพวกพราน แล้วตรัสถาม. ครั้นแล้วบุตรพรานคนนั้นก็กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราช นกยูงสีทองมีอยู่จริง อาศัยอยู่ ณ ทัณฑกบรรพต พระเจ้าข้า.
               พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปจับนกยูงนั้นมา อย่าให้ตาย.
               พรานจึงเอาบ่วงไปดักไว้ที่ ณ ที่นกยูงหาอาหาร. แม้ในสถานที่ที่นกยูงเหยียบ บ่วงก็หาได้กล้ำกรายเข้าไปไม่. พรานไม่สามารถจับนกยูงได้ ท่องเที่ยวอยู่ถึงเจ็ดปี ได้ถึงแก่กรรมลง ณ ที่นั้นเอง.
               แม้พระนางเขมาราชเทวี เมื่อไม่ได้สมพระประสงค์ก็สิ้นพระชนม์. พระราชาทรงกริ้วว่า พระเทวีได้สิ้นพระชนม์ลงเพราะอาศัยนกยูง จึงให้จารึกอักษรไว้ในแผ่นทองว่า
               ในหิมวันตประเทศ มีภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อทัณฑกบรรพต นกยูงสีทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ผู้ได้กินเนื้อของมัน ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย จะมีอายุยืน แล้วเก็บแผ่นทองไว้ในหีบทอง.

               ครั้นพระราชาสวรรคตแล้ว พระราชาองค์อื่นครองราชสมบัติ ทรงอ่านข้อความในสุพรรณบัฎ มีพระประสงค์จะไม่แก่ไม่ตาย จึงทรงส่งพรานคนอื่นไปให้เที่ยวแสวงหา.
               แม้พรานนั้นไปถึงที่นั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะจับพระโพธิสัตว์ได้ ได้ตายไปในที่นั้นเอง. โดยทำนองนี้ พระราชาสวรรคตไปหกชั่วพระองค์.
               ครั้นถึงองค์ที่เจ็ดครองราชสมบัติ จึงทรงส่งพรานคนหนึ่งไป. พรานนั้นไปถึงแล้ว ก็รู้ถึงภาวะที่บ่วงมิได้กล้ำกราย แม้ในที่ที่นกยูงโพธิสัตว์เหยียบ และการที่นกยูงโพธิสัตว์เจริญพระปริตรป้องกันตนก่อนแล้ว จึงบินไปหาอาหาร จึงขึ้นไปยังปัจจันตชนบท. จับนางนกยูงได้ตัวหนึ่ง ฝึกให้รู้จักฟ้อนด้วยเสียงปรบมือ และให้รู้จักขันด้วยเสียงดีดนิ้ว.
               ครั้นฝึกนางนกยูงจนชำนาญดีแล้ว จึงพามันไป. เมื่อนกยูงทองยังไม่เจริญพระปริตร ปักโคนบ่วงดักไว้ในเวลาเช้า ทำสัญญาณให้นางนกยูงขัน. นกยูงทองได้ยินเสียงมาตุคาม ซึ่งเป็นข้าศึกแล้ว. ก็เร่าร้อนด้วยกิเลส ไม่อาจเจริญพระปริตรได้ จึงบินโผไปติดบ่วง. พรานจึงจับนกยูงทองไปถวาย พระเจ้าพาราณสี. พระราชาทอดพระเนตรเห็นรูปสมบัติของนกยูงทอง ก็ทรงพอพระทัยพระราชทานที่ให้จับ.
               นกยูงทองโพธิสัตว์จับอยู่เหนือคอนที่เขาจัดแต่งให้ จึงทูลถามว่า ข้าแต่มหาราช เพราะเหตุไร จึงมีรับสั่งให้จับข้าพเจ้า.
               พระราชาตรัสว่า ข่าวว่า ผู้ใดกินเนื้อเจ้า ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย. ข้าพเจ้าต้องการกินเนื้อเจ้า จะได้ไม่แก่ไม่ตายบ้าง จึงให้จับเจ้ามา.
               นกยูงทองทูลว่า ข้าแต่มหาราช คนทั้งหลายกินเนื้อข้าพเจ้าจะไม่แก่ไม่ตาย ก็ช่างเถิด แต่ข้าพเจ้าจักตายหรือ.
               รับสั่งว่า จริง เจ้าต้องตาย.
               กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อข้าพเจ้าต้องตาย ผู้ที่กินเนื้อข้าพเจ้าแล้ว ทำอย่างไรจึงไม่ตายเล่า.
               รับสั่งว่า เจ้ามีตัวเป็นสีทอง เพราะฉะนั้น มีข่าวว่า ผู้ที่กินเนื้อเจ้าแล้ว จักไม่แก่ไม่ตาย.
               กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพเจ้ามีสีทอง เพราะไม่มีเหตุหามิได้. เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ในนครนี้แหละ ทั้งตนเองก็รักษาศีลห้า แม้ชนทั้งหลายทั่วจักรวาฬก็ให้รักษาศีล ข้าพเจ้าสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ ดำรงอยู่ในภพนั้นจนตลอดอายุ จุติจากนั้นแล้ว จึงมาเกิดในกำเนิดนกยูง เพราะผลแห่งอกุศลกรรมอื่น. อีกอย่างหนึ่ง แต่ตัวมีสีทอง ก็ด้วยอานุภาพศีลห้าที่รักษาอยู่ก่อน.
               รับสั่งถามว่า เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นเจ้าจักรพรรดิ์รักษาศีลห้า ตัวมีสีเป็นทอง เพราะผลของศีล. ข้อนี้ ข้าพเจ้าจะเชื่อได้อย่างไร มีใครเป็นพยาน.
               กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มี.
               รับสั่งถามว่า ใครเล่า.
               กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งเป็นเจ้าจักรพรรดิ์ ข้าพเจ้านั่งรถสำเร็จด้วยแก้วเจ็ดประการ เที่ยวไปในอากาศ รถของข้าพเจ้านั้นจมอยู่ ภายใต้ภาคพื้นสระมงคลโบกขรณี โปรดให้ยกรถนั้นขึ้นจากสระมงคลโบกขรณีเถิด รถนั้นจักเป็นพยานของข้าพเจ้า.
               พระราชารับสั่งว่า ดีละ. แล้วให้วิดน้ำออกจากสระโบกขรณี ยกรถขึ้นได้ จึงทรงเชื่อคำของพระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมที่ปรุงแต่งทั้งหมด ที่เหลือนอกจาก พระอมตมหานิพพานแล้ว ชื่อว่าไม่เที่ยง มีความสิ้นและความเสื่อมเป็นธรรมดา เพราะมีแล้วกลับไม่มี ดังนี้ แล้วให้พระราชาดำรงอยู่ในศีลห้า.
               พระราชาทรงเลื่อมใส บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ ได้ทรงกระทำสักการะเป็นอันมาก.
               นกยูงทองถวายราชสมบัติคืนแด่พระราชา พักอยู่ ๒-๓ วัน จึงถวายโอวาทว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงไม่ประมาทเถิด แล้วบินขึ้นอากาศไปยังภูเขาทัณฑกหิรัญ.
               ฝ่ายพระราชาดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ประชุมชาดก.
               เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในพระอรหัต.
               พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น อานนท์ ในบัดนี้.
               ส่วนนกยูงทองได้เป็น เราตถาคต นี้แล.

               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา โมรชาดก ว่าด้วย นกยูงเจริญพระปริตต์ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 165 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 167 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 169 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1086&Z=1107
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=844
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=844
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :