ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1207 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1216 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1226 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา โกสัมพิยชาดก
ว่าด้วย อยู่คนเดียวดีกว่าร่วมกับคนพาล

               พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยเมืองโกสัมพีประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ทรงปรารภเหล่าภิกษุที่ทะเลาะกันในเมืองโกสัมพี ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปุถุสทฺโท ดังนี้.
               เนื้อเรื่องมีมาแล้วใน โกสัมพีขันธกะ สำหรับในที่นี้มีความย่อดังต่อไปนี้.
               ได้ยินว่า คราวนั้นภิกษุสองรูป คือพระวินัยธรหนึ่ง พระธรรมกถึกหนึ่ง อยู่ในอาวาสเดียวกัน ในสองรูปนั้น วันหนึ่งพระธรรมกถึกถ่ายอุจจาระเหลือน้ำชำระไว้ในภาชนะในซุ้มน้ำออกไป พระวินัยธรเข้าไปในที่นั้นทีหลังเห็นน้ำนั้นเข้า ออกมาถามพระธรรมกถึกว่า อาวุโส ท่านเหลือน้ำไว้หรือ?
               พระธรรมกถึกตอบว่า ขอรับผมเหลือไว้
               พระวินัยธรถามว่า ท่านไม่รู้ว่าเป็นอาบัติในข้อนี้หรือ?
               พระธรรมกถึกตอบว่า ขอรับ ผมไม่รู้
               พระวินัยธรกล่าวว่า อาวุโส การที่ท่านเหลือน้ำไว้ในภาชนะนั้นเป็นอาบัติ
               พระธรรมกถึกกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นผมจักปลงอาบัติ
               พระวินัยธรกล่าวว่า อาวุโส ถ้าท่านไม่แกล้งทำไปโดยไม่มีสติก็ไม่เป็นอาบัติ
               พระธรรมกถึกนั้นเข้าใจอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ พระวินัยธรได้บอกศิษย์ของตนว่า พระธรรมกถึกนี้แม้ต้องอาบัติก็ไม่รู้ พวกศิษย์ของพระวินัยธรเห็นพวกศิษย์ของพระธรรมกถึกเข้า กล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่านต้องอาบัติแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ พวกศิษย์ของพระธรรมกถึกได้พากันไปบอกแก่อุปัชฌาย์ของตน
               พระธรรมกถึกกล่าวอย่างนี้ว่า พระวินัยธรนี้ ทีแรกบอกว่าไม่เป็นอาบัติ บัดนี้ว่าเป็นอาบัติ ท่านนี่พูดเท็จ พวกศิษย์พระธรรมกถึกพากันไปกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดเท็จ แล้วได้ทะเลาะกันด้วยประการอย่างนี้
               ต่อแต่นั้น พระวินัยธรได้ช่องจึงทำอุกเขปนียกรรม ยกโทษในการไม่เห็นอาบัตินั้น ตั้งแต่นั้นมา อุบาสกอุบาสิกาผู้ถวายปัจจัยแก่ภิกษุเหล่านั้นได้แบ่งเป็นสองพวก ภิกษุณีผู้รับโอวาทก็ดี อารักขเทวดาก็ดี อากาสัฏฐกเทวดาที่เคยเห็นเคยคบกับอารักขเทวดาก็ดี ตลอดถึงพรหมโลกบรรดาที่เป็นปุถุชน ได้แยกกันเป็นสองพวก ได้เกิดโกลาหลไปถึงภพชั้นอกนิษฐ์
               ในอดีตกาล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระตถาคต กราบทูลลัทธิของพวกภิกษุผู้ยกโทษว่า พระธรรมกถึกนี้ พวกเรายกโทษด้วยกรรมอันเป็นธรรมทีเดียว และลัทธิของพวกภิกษุผู้ประพฤติตามพระธรรมกถึกผู้ถูกยกโทษว่า อาจารย์ของพวกเราถูกยกโทษด้วยกรรมอันไม่เป็นธรรม และภาวะที่พวกภิกษุเหล่านั้น แม้พวกภิกษุผู้ยกโทษห้ามอยู่ก็ยังเที่ยวตามแวดล้อมพระธรรมกถึกนั้น ให้พระศาสดาทรงทราบ
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงส่งภิกษุไปสองครั้งโดยมีพระพุทธดำรัสไปว่า ขอสงฆ์จงสามัคคีกันเถิด ทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่ปรารถนาจะสามัคคีกัน พระเจ้าข้า.
               ในครั้งที่ ๓ ทรงทราบว่า ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว จึงเสด็จไปยังสำนักของภิกษุเหล่านั้น ตรัสโทษในการยกโทษของพวกภิกษุผู้ยกโทษ และในการไม่เห็นอาบัติของพวกภิกษุนอกนี้ แล้วเสด็จหลีกไป
               พระศาสดาทรงบัญญัติวัตรในโรงภัตว่า พึงนั่งในอาสนะที่มีอาสนะอื่นคั่นในระหว่างแก่ภิกษุเหล่านั้นผู้ทำอุโบสถกรรมเป็นต้นในสีมาเดียวกัน ณ โฆสิตารามนั่นแหละ แล้วเกิดร้าวรานกันอีกในโรงภัตเป็นต้น
               ได้ทรงสดับว่า บัดนี้ภิกษุเหล่านั้นยังร้าวรานกันอยู่ จึงเสด็จไปตรัสเตือนว่า อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย อย่าร้าวรานกันเลย ดังนี้เป็นต้น
               เมื่อพระธรรมวาทีรูปหนึ่งซึ่งไม่ปรารถนาจะให้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลำบาก กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ผู้ธรรมสามีจงยับยั้ง มีความขวนขวายน้อย อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมเถิด พวกข้าพระองค์จักปรากฏด้วยการร้าวรานบาดหมางทะเลาะวิวาทกัน
               จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้วในเมืองพาราณสีได้มีพระราชาครองแคว้นกาสีมีพระนามว่าพรหมทัต ดังนี้ แล้วตรัสเรื่องที่พระเจ้าพรหมทัตชิงราชสมบัติของพระเจ้าทีฆีติโกศล จับพระเจ้าทีฆีติโกศลซึ่งปลอมพระองค์ซ่อนอยู่ ให้ปลงพระชนม์เสีย และเรื่องที่ทีฆาวุกุมารถวายชีวิตแก่พระเจ้าพรหมทัต แล้วสองกษัตริย์สามัคคีกันแต่นั้นมา ตรัสสอนว่า
               ภิกษุทั้งหลาย พระราชาผู้ทรงมีอาชญามีศัสตรา ยังมีขันติโสรัจจะถึงเพียงนี้ พวกเธอบวชในธรรมวินัยที่เราตถาคตกล่าวดีแล้วอย่างนี้ พึงมีขันติและโสรัจจะ ข้อนี้จะเป็นความงามในธรรมวินัยนี้แท้แล
               ตรัสห้ามถึงสองครั้งสามครั้งว่า อย่าเลยภิกษุทั้งหลาย อย่าร้าวรานกันเลย ทรงเห็นว่าไม่ลดละกันได้ จึงทรงดำริว่า พวกโมฆบุรุษเหล่านี้ถูกกิเลสหุ้มห่อ ยากที่จะรู้สำนึก จึงเสด็จหลีกไป
               วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงพักในพระคันธกุฎีหน่อยหนึ่ง ทรงเก็บเสนาสนะ ทรงบาตรและจีวรของพระองค์ ประทับในอากาศ ท่ามกลางสงฆ์ ตรัสพระคาถาทั้งหลายนี้ว่า :-
               คนพาลมีเสียงอื้ออึงเหมือนกันหมด แต่สักคนหนึ่งก็ไม่รู้สึกตนว่าเป็นคนพาล เมื่อสงฆ์แตกกันก็ไม่รู้เหตุอื่นโดยยิ่งว่า สงฆ์แตกกันเพราะเรา.
               เพราะเป็นคนมีสติหลงลืม แต่ยังพูดว่าตนเป็นบัณฑิต มีวาจาเป็นอารมณ์ ช่างพูด ย่อมปรารถนาจะให้เสียงออกจากปากอยู่เพียงใด ก็พูดไปเพียงนั้น เขาถูกการทะเลาะนำไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าการทะเลาะนั้นเป็นโทษ.
               ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า คนโน้นได้ด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลักของของเรา เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่ระงับได้.
               ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า คนโน้นได้ด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลักของของเรา เวรของชนเหล่านั้น ย่อมระงับไปได้.
               แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่ย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร ธรรมนี้เป็นของเก่า.
               ก็ชนเหล่าอื่นย่อมไม่รู้สึกว่า พวกเราจะพากันยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้ ส่วนชนเหล่าใดในหมู่นั้นย่อมรู้สึกได้ ความหมายมั่นกันย่อมสงบระงับไป เพราะการทำไว้ในใจโดยแยบคายของชนเหล่านั้น.
               คนที่ปล้นแว่นแคว้นชิงทรัพย์สมบัติกันจนถึงปลงชีวิตลิดกระดูกกันแล้ว ก็ยังกลับสามัคคีกันได้ เหตุไรพวกเธอจึงไม่สามัคคีกันเล่า.
               ถ้าจะพึงได้สหายผู้มีปัญญาเป็นนักปราชญ์ไปไหนไปด้วยกัน อยู่ด้วยช่วยทำประโยชน์ให้สำเร็จ ควรชื่นชมมีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น จะครอบงำอันตรายทั้งปวงได้.
               ถ้าไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเป็นนักปราชญ์ไปไหนไปด้วยกัน อยู่ด้วยช่วยทำประโยชน์ให้สำเร็จ พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เหมือนพระราชาทรงสละแว่นแคว้น เสด็จไปแต่พระองค์เดียวฉะนั้น หรือเหมือนช้างมาตังคะเที่ยวไปในป่าแต่ผู้เดียวฉะนั้น.
               การเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า เพราะคุณคือความเป็นสหายย่อมไม่มีในคนพาล ควรเที่ยวไปผู้เดียวแลไม่ควรทำบาป เหมือนช้างมาตังคะมีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปในป่าแต่ผู้เดียวแลไม่ทำบาป ฉะนั้น.


               ในพระคาถานั้น คนพาลชื่อว่ามีเรื่องอื้ออึง เพราะวิเคราะห์ว่ามีเรื่องอึกทึกคือดังลั่น.
               บทว่า สมชฺโน คือ เป็นคนที่เช่นเดียวกันหมด มีคำที่ท่านอธิบายไว้ว่า คนที่ทำการทะเลาะกันนี้ทั้งหมดเทียว มีทั้งเสียงอื้ออึงและเสมอเหมือนกัน เพราะเปล่งเสียงโดยรอบ
               บทพระคาถาว่า น พาโล โกจิ มญฺญถ ความว่า บรรดาคนพาลเหล่านั้น ใครๆ แม้สักคนหนึ่ง ก็ไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนพาลทั้งหมดล้วน สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิตทั้งนั้น. อธิบายว่า คนผู้ทำการทะเลาะกันนี้ทั้งหมดนั่นแหละ ย่อมไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนพาล.
               บทว่า นาญฺญํ ภิยฺโย อมญฺญรุํ ความว่า ใครๆ แม้สักคนหนึ่ง ก็ไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนพาล แลเมื่อสงฆ์แตกกันผู้อื่นแม้สักคนหนึ่ง ก็ไม่รู้เหตุนี้โดยยิ่งว่า สงฆ์แตกกันเพราะเหตุแห่งเรา.
               บทว่า ปริมุฏฺฐา คือ เป็นคนมีสติหลงลืม.
               บทว่า ปณฺฑิตาภาสา ความว่า ชื่อว่าเป็นเช่นกับด้วยบัณฑิต เพราะสำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ท่านอาเทศราอักษรให้เป็นรัสสะว่า วาจาโคจร ภาณิโน ดังนี้. อธิบายว่า มีวาจาเป็นอารมณ์ ไม่มีอริยธรรมมีสติปัฏฐานเป็นต้นเป็นอารมณ์ และเป็นคนช่างพูด คือช่างเจรจาถ้อยคำ.
               บทว่า ยาวิจฺฉนฺติ มุขายามํ ความว่า ย่อมปรารถนาจะให้เสียงออกจากปากอยู่เพียงใด ก็ยืนเขย่งเท้าพูดตะโกนออกไปเพียงนั้น. อธิบายว่า แม้สักคนหนึ่งก็ไม่กระทำการหุบปาก เพราะเคารพในสงฆ์.
               บทว่า เยน นีตา ความว่า เขาถูกการทะเลาะใดนำไปแล้วสู่ความเป็นผู้ไม่มีความละอายนี้.
               บทว่า น ตํ วิทู ความว่า เขายังไม่รู้การทะเลาะนั้นว่า การทะเลาะนี้มีโทษอย่างนี้.
               บทว่า เย จตํ อุปนยฺหนฺติ ความว่า ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้น คือที่มีอาการว่าคนโน้นได้ด่าเราดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า สนนฺตโน แปลว่า เป็นของเก่า.
               บทว่า ปเร เป็นต้น ความว่า คนที่ทำการทะเลาะกันนอกจากพวกบัณฑิต คือพวกอื่นๆ นอกจากพวกบัณฑิตนั้น ชื่อว่า ปเร. ปเรชนเหล่านั้นก่อความวุ่นวายขึ้นในท่ามกลางสงฆ์นี้ ย่อมไม่รู้สึกว่าพวกเราจะพากันยุบยับ จะพากันย่อยยับ คือพวกเราจะพากันฉิบหาย ได้แก่พวกเราจะพากันไปสู่ที่ใกล้คือสู่สำนักแห่งมัจจุราชเนืองๆ.
               บทว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ความว่า ส่วนชนเหล่าใดในหมู่นั้นผู้เป็นบัณฑิต ย่อมรู้สึกได้ว่าพวกเราจะพากันไปสู่ที่ใกล้แห่งมัจจุราช.
               บทว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชนเหล่านั้นเมื่อรู้อย่างนี้ ยังการทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายให้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความเข้าไปสงบแห่งความหมายมั่นแห่งการทะเลาะกันได้.
               บทว่า อฏฺฐิจฺฉินฺนา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระคาถานี้ทรงหมายถึงพระเจ้าพรหมทัตและทีฆาวุกุมาร แม้ทั้งสองพระองค์นั้นก็ยังกลับสามัคคีกันได้ เหตุไรพวกเธอไม่ได้ตัดกระดูกของมารดาบิดา ไม่ได้ปลงชีวิตกัน ไม่ได้ชิงทรัพย์สมบัติกัน จึงไม่สามัคคีกันเล่า.
               ข้อนี้มีพระบรมพุทธาธิบายว่า ภิกษุทั้งหลาย พระราชาผู้ทรงถืออาชญาสิทธิ์ยังสามัคคีกัน สมาคมกัน ทำสัมพันธไมตรีกันด้วยอาวาหและวิวาหมงคล แล้วทรงดื่มและทรงเสวยร่วมกันได้ถึงเพียงนี้ พวกเธอบวชในศาสนาเห็นปานนี้ ย่อมไม่อาจเพื่อสลัดแม้สักว่าเวรของตนออกได้ อะไรเป็นภาวะแห่งภิกษุของพวกเธอเล่า.
               พระคาถาว่า สเจ ลเภถ ดังนี้เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อทรงแสดงถึงคุณของสหายผู้เป็นบัณฑิต และโทษของสหายผู้เป็นคนพาล.
               บทว่า อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ ความว่า ควรชื่นชมมีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น จะครอบงำอันตรายที่ปรากฏ และอันตรายที่ปิดบังทั้งปวงได้.
               บทว่า ราชาว รฏฺฐํ วิชิตํ ความว่า พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนพระราชามหาชนกและอรินทมราชา ทรงสละแว่นแคว้นของพระองค์เสด็จไปแต่พระองค์เดียวฉะนั้น.
               บทว่า มาตงฺครญฺเญว นาโค ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกช้างว่ามาตังคะ
               คำว่า นาคะ นั้นเป็นชื่อแห่งช้างใหญ่ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ควรเที่ยวไปผู้เดียวและไม่ควรทำบาป เหมือนช้างมาตังคะผู้เลี้ยงดูมารดา เหมือนช้างสีลวหัตถี และเหมือนช้างปาริไลยกะ เที่ยวไปในป่าผู้เดียวและไม่ทำบาปฉะนั้น.

               พระศาสดาแม้ตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อยังไม่อาจให้ภิกษุเหล่านั้นปรองดองกันได้ จึงเสด็จไปยังพาลกโลณการามคาม ทรงแสดงอานิสงส์ในความเป็นผู้อยู่ผู้เดียวแก่พระภัคคุเถระ จากที่นั้นเสด็จไปถึงที่อยู่ของกุลบุตรสามคน ทรงแสดงอานิสงส์ในสามัคคีรสแก่กุลบุตรเหล่านั้น ต่อจากนั้นเสด็จไปถึงปาริไลยกไพรสณฑ์ ประทับอยู่ ณ ที่นั้นตลอดสามเดือน ไม่เสด็จมาเมืองโกสัมพีอีก เสด็จไปเมืองสาวัตถีเลย.
               พวกอุบาสกชาวเมืองโกสัมพีปรึกษากันว่า
               พระผู้เป็นเจ้าเหล่าภิกษุชาวโกสัมพีนี้ ทำความเสียหายให้แก่พวกเรามาก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระอาภิกษุเหล่านี้ จึงหลีกไปเสีย พวกเราจักไม่กระทำสามีจิกรรมมีการกราบเป็นต้นแก่ภิกษุเหล่านี้เลย จักไม่ถวายบิณฑบาตแก่ท่านที่เข้ามาบิณฑบาต เมื่อทำเช่นนี้ภิกษุเหล่านี้จักหลีกไปบ้าง จักให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเลื่อมใสบ้าง
               ดังนี้แล้วก็ทำตามที่ปรึกษากันนั้น
               ภิกษุเหล่านั้นถูกพวกอุบาสกลงทัณฑกรรมเช่นนั้นจึงพากันไปเมืองสาวัตถี กราบทูลขอขมาโทษต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ในบัดนี้
               พระราชมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระมหามายา ในบัดนี้
               ทีฆาวุกุมารในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาโกสัมพิยชาดกที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา โกสัมพิยชาดก ว่าด้วย อยู่คนเดียวดีกว่าร่วมกับคนพาล จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1207 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1216 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1226 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=5127&Z=5157
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=39&A=6917
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=39&A=6917
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๖  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :