ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 388อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 389อ่านอรรถกถา 26 / 390อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต
๕. มาลุงกยปุตตเถรคาถา

               อรรถกถามาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕               
               คาถาของท่านพระมาลุงกยปุตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า รูปํ ทิสฺวา สติ มุฏฺฐา ดังนี้.
               เรื่องของท่านผู้มีอายุนี้ได้กล่าวไว้แล้วในฉักกนิบาต ในหนหลังแล. คาถาเหล่านั้น พระเถระผู้ดำรงอยู่ในพระอรหัต ได้กล่าวแก่พวกญาติด้วยอำนาจเทศนา.
               ส่วนในที่นี้ ในคราวที่เป็นปุถุชน เมื่อพระศาสดาผู้อันพระเถระอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ จึงทรงแสดงธรรมโดยย่อว่า
               ดูก่อนมาลุงกยบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเหล่านั้นใดที่พึงรู้แจ้งทางจักษุไม่ได้แล้ว ทั้งไม่เคยเห็นแล้ว เธอไม่ได้เห็นรูปเหล่านั้น และเราไม่พึงเห็นรูปเหล่านั้นว่ามีอยู่ เธอจะมีความพอใจ ความใคร่และความรักในรูปนั้นหรือ.
               ข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
               เสียงเหล่านั้นใดที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ฯลฯ กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ทางลิ้นและทางกาย ฯลฯ ธรรมทั้งหลายนั้นใดที่จะพึงรู้แจ้งทางใจ เธอยังไม่รู้แจ้งแล้ว ทั้งไม่เคยรู้แจ้งแล้ว เธอไม่รู้แจ้งธรรมเหล่านั้น เราก็ไม่พึงรู้แจ้งธรรมเหล่านั้นว่ามีอยู่ เธอย่อมมีความพอใจ ความใคร่หรือความรักในธรรมนั้นหรือ.
               ข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
               ดูก่อนมาลุงกยบุตร ก็บรรดาธรรมทั้งหลายที่เธอได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบและได้รู้แจ้ง ในที่นี้จักเป็นเพียงแต่เห็นในรูปที่ได้เห็น จักเป็นแต่เพียงได้ฟังในเสียงที่ได้ฟัง จักเป็นแต่เพียงได้ทราบในอารมณ์ที่ได้ทราบ จักเป็นแต่เพียงได้รู้แจ้งในธรรมที่ได้รู้แจ้ง.
               ดูก่อนมาลุงกยบุตร เพราะเหตุที่ในบรรดาธรรมที่เธอเห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ได้ทราบแล้ว และพึงรู้แจ้ง จักเป็นแต่เพียงได้เห็นในรูปที่ได้เห็นแล้ว จักเป็นแต่เพียงได้ฟังในเสียงที่ได้ฟังแล้ว จักเป็นแต่เพียงได้ทราบในอารมณ์ที่ได้ทราบแล้ว จักเป็นแต่ได้รู้แจ้งในธรรมที่ได้รู้แจ้งแล้ว.
               ดูก่อนมาลุงกยบุตร เพราะเหตุนั้น เธอก็จะไม่มีด้วยสิ่งนั้น. ดูก่อนมาลุงกยบุตร เพราะเหตุที่เธอไม่มีด้วยสิ่งนั้น. ดูก่อนมาลุงกยบุตร เพราะเหตุนั้น เธอก็จะไม่มีในสิ่งนั้น. ดูก่อนมาลุงกยบุตร เพราะเหตุที่เธอไม่มีสิ่งนั้น. ดูก่อนมาลุงกยบุตร เพราะเหตุนั้น เธอก็จะไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกหน้า ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง, นี่แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้
               เมื่อจะประกาศความที่ธรรมนั้นเป็นธรรมอันตนเรียนดีแล้ว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
                         เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้ว มัวใส่ใจถึงรูปนั้นว่าเป็น
               นิมิตที่น่ารัก สติก็หลงลืม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิต
               กำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นรูปนั้นด้วย. เวทนามิใช่
               น้อยซึ่งมีรูปเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น
                         อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้น
               ให้เดือดร้อน. ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึง
               ถึงรูปอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า
               เป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน.
                         เมื่อบุคคลได้ฟังเสียงแล้ว มัวใส่ใจเสียงนั้นว่าเป็น
               นิมิตที่น่ารัก สติก็หลงลืม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิต
               กำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นเสียงนั้นด้วย. เวทนามิ
               ใช่น้อยซึ่งมีเสียงเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น.
                         อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้น
               ให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึง
               ถึงเสียงอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า
               เป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน.
                         เมื่อบุคคลได้ดมกลิ่นแล้ว มัวใส่ใจถึงกลิ่นนั้นว่า
               เป็นนิมิตที่น่ารัก สติก็หลงลืม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อม
               มีจิตกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นกลิ่นนั้นด้วย. เวทนา
               มิใช่น้อยซึ่งมีกลิ่นเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น
                         อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้น
               ให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึง
               ถึงกลิ่นอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า
               เป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน.
                         เมื่อบุคคลใดลิ้มรสแล้ว มัวใส่ใจถึงรสนั้นว่าเป็น
               นิมิตที่น่ารัก สติก็หลงลืม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมี
               จิตกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นรสนั้นด้วย. เวทนา
               มิใช่น้อยซึ่งมีรสเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น
                         อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้น
               ให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึง
               ถึงรสอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกบุคคลนั้น
               ว่า เป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน.
                         เมื่อบุคคลถูกต้องผัสสะ มัวใส่ใจถึงผัสสะนั้นว่า
               เป็นนิมิตที่น่ารัก เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมมีจิตกำหนัด
               เพลิดเพลินอยู่ทั้งยึดมั่นผัสสะนั้นด้วย. เวทนามิใช่น้อย
               ซึ่งมีผัสสะเป็นแดนเกิด ย่อมเจริญมากขึ้นแก่ผู้นั้น
                         อภิชฌาและวิหิงสา ย่อมเบียดเบียนจิตของผู้นั้น
               ให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้มัวคำนึง
               ถึงผัสสะอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้น
               ว่า เป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน.
                         เมื่อบุคคลรู้ธรรมารมณ์แล้ว มัวใส่ใจถึงธรรมารมณ์
               นั้นว่าเป็นนิมิตที่น่ารัก สติก็หลงลืม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้น
               ย่อมมีจิตกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ ทั้งยึดมั่นธรรมารมณ์นั้น
               อยู่. เวทนามิใช่น้อยซึ่งมีธรรมารมณ์เป็นแดนเกิด ย่อม
               เจริญขึ้นมากแก่ผู้นั้น. อภิชฌาและวิหิงสาย่อมเบียดเบียน
               จิตของผู้นั้นให้เดือดร้อน ความทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้นั้น
               ผู้มัวคำนึงถึงธรรมารมณ์อยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
               ตรัสเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้ห่างไกลพระนิพพาน.
                         ส่วนผู้ใดเห็นรูปแล้วเป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่
               กำหนัดยินดีในรูป เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์
               อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นรูปนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้น ย่อม
               ไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้เห็นรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยง
               เป็นต้น หรือแม้กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่
               ย่อมสิ้นไป ก่อรากขึ้นไม่ได้ฉันใด ผู้นั้นมีสติประพฤติอยู่
               ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่าง
               นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า มีในที่ใกล้พระ
               นิพพาน.
                         ผู้ใดได้ฟังเสียงแล้วเป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่
               กำหนัดยินดีในเสียง เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์
               อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นเสียงนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้นย่อม
               ไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้ได้ฟังเสียงโดยความเป็นของไม่
               เที่ยงเป็นต้น กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่
               ย่อมสิ้นไป ก่อรากขึ้นไม่ได้ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติประพฤติ
               อยู่ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่าง
               นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า มีในที่ใกล้พระ
               นิพพาน.
                         ผู้ใดได้ดมกลิ่นแล้วเป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่
               กำหนัดยินดีในกลิ่น เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์
               อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นกลิ่นนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้นย่อม
               ไม่เป็นไปแก่พระโยคี ผู้ดมกลิ่นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
               เป็นต้น หรือแม้กิเลสชาติทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนา
               อยู่ย่อมสิ้นไป ก่อรากขึ้นไม่ได้ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ
               ประพฤติอยู่ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึง
               ถึงอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า มีใน
               ที่ใกล้พระนิพพาน.
                         ผู้ใดได้ลิ้มรสแล้ว เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้นไม่
               กำหนัดยินดีในรส เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวยอารมณ์
               อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นรสนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้นย่อม
               ไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้ลิ้มรส โดยความเป็นของไม่เที่ยง
               เป็นต้น กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยอารมณ์อยู่ย่อม
               สิ้นไป ก่อรากขึ้นไม่ได้ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ประพฤติ
               อยู่ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึง
               อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกผู้นั้นว่า มีในที่ใกล้
               พระนิพพาน.
                         ผู้ใดถูกต้องผัสสะแล้ว เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า ผู้นั้น
               ไม่กำหนัดยินดีในผัสสะ เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดเสวย
               อารมณ์อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นผัสสะนั้น กิเลสชาติมีอภิชฌา
               เป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคีผู้ถูกต้องผัสสะโดย
               ความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น กิเลสทั้งปวงของพระโยคี
               ผู้เสวยเวทนาอยู่ย่อมสิ้นไป ไม่ก่อรากขึ้นได้ฉันใด ผู้นั้น
               เป็นผู้มีสติประพฤติอยู่ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้
               นั้น ผู้ไม่คำนึงถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
               ผู้นั้นว่า มีในที่ใกล้พระนิพพาน.
                         ผู้ใดรู้แจ้งธรรมารมณ์แล้ว เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า
               ผู้นั้นไม่กำหนัดยินดีในธรรมารมณ์ เป็นผู้มีจิตคลาย
               กำหนัด เสวยอารมณ์อยู่ ทั้งไม่ยึดมั่นธรรมารมณ์นั้น
               กิเลสชาติมีอภิชฌาเป็นต้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคี
               ผู้รู้แจ้งธรรมารมณ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น
               หรือแม้กิเลสทั้งปวงของพระโยคีผู้เสวยเวทนาอยู่ย่อม
               สิ้นไป ไม่ก่อรากขึ้นได้ฉันใด ผู้นั้นเป็นผู้มีสติประพฤติ
               อยู่ก็ฉันนั้น ทุกข์ย่อมไม่เป็นไปแก่ผู้นั้น ผู้ไม่คำนึงถึง
               อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกผู้นั้นว่า มีในที่
               ใกล้พระนิพพาน.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ ทิสฺวา ได้แก่ เข้าไปได้เห็นรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ทางจักษุทวาร.
               บทว่า สติ มุฏฺฐา ปิยํ นิมิตฺตํ มนสิ กโรโต ความว่า เมื่อบุคคลไม่ตั้งอยู่ในรูปนั้นเพียงสักว่าเห็นเท่านั้น ใส่ใจถึงสุภนิมิต คือกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ด้วยอาการถือเอาว่างาม สติย่อมหลงลืม.
               ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นเป็นผู้มีจิตกำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ คือเป็นผู้กำหนัดติดข้องรูปารมณ์นั้น เสวยอารมณ์เพลิดเพลิน ยินดียิ่งอยู่, ก็บุคคลผู้เป็นอย่างนั้น ย่อมยึดมั่นรูปารมณ์นั้นด้วย.
               อธิบายว่า ยึดรูปารมณ์นั้น คือยึดมั่นว่าเป็นสุขๆ กลืนเอาไว้หมด แล้วดำรงอยู่.
               บทว่า ตสฺส วฑฺฒนฺติ เวทนา อเนกา รูปสมฺภวา ความว่า
               เวทนามิใช่น้อยต่างโดยสุขเวทนาเป็นต้น ซึ่งมีรูปเป็นแดนเกิด คือมีรูปเป็นอารมณ์ อันมีการเกิดขึ้นแห่งกิเลสเป็นตัวเหตุ ย่อมเจริญยิ่งแก่บุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น.
               บทว่า อภิชฺฌา วิเหสา จ จิตฺตมสฺสูปหญฺญติ ความว่า จิตของบุคคลนั้นถูกอภิชฌาอันเกิดในปิยรูป ด้วยอำนาจความกำหนัด และวิหิงสาอันมีความเศร้าโศกเป็นลักษณะเกิดขึ้น เพราะปิยรูปนั้นแหละมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ด้วยอำนาจความชิงชังในรูปอันไม่น่ารัก เบียดเบียนอยู่.
               บทว่า เอวมาจินโต ทุกฺขํ ความว่า วัฏทุกข์ย่อมเป็นไปแก่ผู้มัวคำนึงถึงอภิสังขารคือภพนั้นๆ ด้วยอำนาจความยินดีในการเสวยอารมณ์.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ย่อมมี ดังนี้.
               สำหรับบุคคลผู้เป็นอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไกล คือห่างไกลพระนิพพาน.
               อธิบายว่า พระนิพพานนั้น อันบุคคลนั้นได้ยาก.
               แม้ในคาถามีอาทิว่า สทฺทํ สุตฺวา ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆตฺวา แปลว่า สูดดมแล้ว.
               บทว่า โภตฺวา แปลว่า ลิ้มแล้ว.
               บทว่า ผุสฺส แปลว่า ถูกต้องแล้ว.
               บทว่า ธมฺมํ ญตฺวา ได้แก่ รู้แจ้งธรรมารมณ์.
               พระเถระครั้นแสดงวัฏฏะของคนผู้กำหนัดในอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิวัฏฏะพระนิพพานของคนผู้ไม่กำหนัดในอารมณ์นั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า น โส รชฺชติ รูเปสุ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น โส รชฺชติ รูเปสุ รูปํ ทิสฺวา ปฏิสฺสโต ความว่า
               บุคคลใดเห็นรูปแล้ว ยึดเอารูปารมณ์ที่มาอยู่ในคลองด้วยการสืบต่อแห่งวิญญาณอันเป็นไปในจักษุทวาร ย่อมกลับเป็นผู้ได้สติ เพราะเป็นผู้กระทำความรู้ตัวด้วยสัมปชัญญะทั้ง ๔ บุคคลนั้นย่อมไม่กำหนัด คือไม่ทำความกำหนัดให้เกิดในรูปารมณ์ทั้งหลาย คือเป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดรู้แจ้งอยู่โดยแท้ เมื่อรู้แจ้งตามความเป็นจริงในรูปารมณ์ โดยความเป็นสมุทัยเป็นต้น ย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่าย เป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดรู้แจ้งรูปารมณ์นั้น และเวทนาที่เกิดในรูปารมณ์นั้น. ก็บุคคลผู้เป็นอย่างนั้นย่อมไม่ยึดมั่นรูปารมณ์นั้น.
               อธิบายว่า ย่อมไม่ยึดติดรูปารมณ์นั้น เพราะเป็นผู้มีจิตคลายกำหนัดได้โดยชอบ คือย่อมไม่ยึดมั่นด้วยอำนาจตัณหา มานะและทิฏฐิว่านั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นอัตตาของเรา.
               บทว่า ยถาสฺส ปสฺสโต รูปํ ความว่า อภิชฌาเป็นต้นในรูปารมณ์นั้น ย่อมไม่เป็นไปแก่พระโยคีนั้นฉันใด ก็ย่อมไม่เป็นไปแก่บุคคลผู้เห็นรูปโดยความไม่เที่ยงเป็นต้นฉันนั้น.
               บทว่า เสวโต จาปิ เวทนํ ได้แก่ แม้ผู้เสวยเวทนาอันปรารภรูปนั้นเกิดขึ้น และธรรมอันสัมปยุตด้วยเวทนานั้น โดยการเสวยอารมณ์.
               บทว่า ขียติ ความว่า กิเลสวัฏทั้งปวงย่อมถึงความสิ้นไปคือความหมดสิ้น.
               บทว่า โนปจิยติ๑- ได้แก่ ย่อมไม่ก่อ คือย่อมไม่ถึงความสั่งสมไว้.
____________________________
๑- บาลีเป็น อปจิยฺยติ

               บทว่า เอวํ โส จรตี สโต ความว่า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะประพฤติ คืออยู่ด้วยการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสอย่างนี้.
               บทว่า เอวํ อปจินโต ทุกฺขํ ได้แก่ ผู้ปราศจากการก่อวัฏทุกข์ทั้งสิ้น ด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรคอันเป็นเครื่องถึงความปราศจากความสั่งสม โดยนัยดังกล่าวแล้ว.
               บทว่า สนฺติเก นิพฺพาน วุจฺจติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ใกล้สอุปาทิเสสนิพพานธาตุและอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะได้ทำให้แจ้งอสังขตธาตุ.
               แม้ในบทว่า น โส รชฺชติ สทฺเทสุ เป็นต้น ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้นั่นแล.
               พระเถระประกาศความที่ตนเป็นผู้รองรับพระโอวาทของพระศาสดา ด้วยคาถาเหล่านี้อย่างนี้แล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ก็ไปไม่นานนัก เจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุพระอรหัต ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถามาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต ๕. มาลุงกยปุตตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 388อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 389อ่านอรรถกถา 26 / 390อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7569&Z=7644
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=7618
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=7618
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :