ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 386อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 387อ่านอรรถกถา 26 / 388อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต
๓. เตลุกานิเถรคาถา

               อรรถกถาเตลุกานิเถรคาถาที่ ๓               
               คาถาของท่านพระเตลุกานิเถระ มีคำเริ่มต้นว่า จิรรตฺตํ วตาตาปี ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
               แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ก่อนกว่าพระศาสดาประสูติ ได้นามว่าเตลุกานิ เจริญวัยแล้ว รังเกียจกาม เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ จึงละการครองเรือนบวชเป็นปริพาชก มีอัธยาศัยในการออกจากวัฏฏะ เที่ยวแสวงหาวิโมกข์คือการหลุดพ้น โดยนัยมีอาทิว่า ใครคือท่านผู้ถึงฝั่งในโลก จึงเข้าไปหาสมณพราหมณ์นั้นๆ ถามปัญหา. สมณพราหมณ์เหล่านั้นทำเขาให้ดื่มด่ำไม่ได้ เขามีจิตข้องกับปัญหานั้น จึงได้ท่องเที่ยวไป.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงอุบัติขึ้นในโลก ประกาศพระธรรมจักรอันบวร ทรงบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตวโลก. วันหนึ่ง ท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมได้ศรัทธาแล้วบวช เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
               วันหนึ่ง ท่านนั่งอยู่กับพวกภิกษุ พิจารณาถึงคุณวิเศษที่ตนได้บรรลุ แล้วหวนระลึกถึงการปฏิบัติของตนตามแนวนั้น
               เมื่อจะบอกข้อปฏิบัตินั้นทั้งหมดแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
                         เรามีความเพียรคิดค้นธรรมอยู่นาน ไม่ได้ความ
               สงบใจ จึงได้ถามสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า ใครหนอใน
               โลกเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ใครเล่าเป็นผู้ได้บรรลุธรรมอันหยั่ง
               ลงสู่อมตะ เราจักปฏิบัติธรรมของใครซึ่งเป็นเครื่องให้รู้
               แจ้งปรมัตถ์
                         เราเป็นผู้มีความคดคือกิเลส อันไปแล้วในภายใน
               เหมือนปลาที่กินเหยื่อฉะนั้น เราถูกผูกด้วยบ่วงใหญ่คือ
               กิเลส เหมือนท้าวเวปจิตติอสูรถูกผูกด้วยบ่วงของท้าว
               สักกะฉะนั้น
                         เรากระชากบ่วงคือกิเลสนั้นไม่หลุด จึงไม่พ้นจาก
               ความโศกและความร่ำไร ใครในโลกจะช่วยเราผู้ถูกผูก
               แล้วให้หลุดพ้น แล้วประกาศทางเป็นเครื่องตรัสรู้ให้เรา
               เราจะรับสมณะหรือพราหมณ์คนไหนไว้เป็นผู้แสดงธรรม
               อันกำจัดกิเลสได้ จะปฏิบัติธรรมอันเป็นเครื่องนำไปปราศ
               จากชราและมรณะของใคร.
                         จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย ประกอบ
               ด้วยความแข่งดีเป็นกำลัง ฉุนเฉียว ถึงความเป็นจิตกระด้าง
               เป็นเครื่องทำลายตัณหา. สิ่งใดมีธนูคือตัณหาเป็นสมุฏฐาน
               มี ๓๐ ประเภท เป็นของมีอยู่ในอก เป็นของหนัก ทำลาย
               หทัยแล้วตั้งอยู่ ขอท่านจงดูสิ่งนั้นเถิด.
                         การไม่ละทิฏฐิเล็กน้อย อันลูกศรคือความดำริผิดให้
               อาจหาญขึ้นแล้ว เราถูกยิงด้วยลูกศรคือทิฏฐินั้น หวั่นไหว
               อยู่เหมือนใบไม้ถูกลมพัดฉะนั้น.
                         ลูกศรคือทิฏฐิตั้งขึ้นแล้วในภายในของเรา ย่อมไหม้
               ทันที กายอันเนื่องด้วยสัมผัสสะ ๖ เกิดขึ้นในที่ใด ย่อมแล่น
               ไปในที่นั้นทุกเมื่อ เราไม่เห็นหมอผู้ที่จะถอนลูกศรของเรา
               เยียวยาเรา (โดย) ไม่เยียวยาด้วยเชือกต่างๆ ด้วยศัสตรา
               และด้วยวิธีอื่นๆ.
                         ใครไม่ต้องใช้ศัสตรา ไม่ทำร่างกายเราให้เป็นแผล
               ไม่เบียดเบียนร่างกายเราทั้งหมด จักถอนลูกศรอันเสียบ
               อยู่ภายในหทัยของเราออกได้ ก็บุคคลผู้นั้นเป็นใหญ่ใน
               ธรรม เป็นผู้ประเสริฐ ลอยโทษอันเป็นพิษเสียได้ พึงช่วย
               ขึ้นบกคือนิพพาน และหัตถ์คืออริยมรรคแก่เราผู้ตกไปใน
               ห้วงน้ำคือสงสารอันลึก เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่อัน
               นำดินคือธุลีไปไม่ได้ เป็นห้วงน้ำลาดไปด้วยมายา ริษยา
               ความแข่งดีและความง่วงเหงาหาวนอน.
                         ความดำริทั้งหลายอันอาศัยราคะ เป็นเช่นกับห้วง
               น้ำใหญ่ มีเมฆคืออุทธัจจะเป็นเครื่องคำรน มีสังโยชน์เป็น
               ฝนย่อมนำบุคคลผู้มีความเห็นผิดไปสู่สมุทรคืออบาย.
                         กระแสตัณหาทั้งหลาย ย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง
               ตัณหาเพียงเถาวัลย์เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ ใครจะพึงกั้นกระแส
               ตัณหาเหล่านั้นได้ ใครเล่าจะตัดตัณหาเพียงดังเถาวัลย์นั้น
               ได้.
                         ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงทำฝั่งอัน
               เป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นเถิด อย่าให้กระแส
               ตัณหาอันเกิดแต่ใจ พัดพาท่านทั้งหลายไปเร็วพลัน ดัง
               กระแสน้ำพัดพาต้นไม้อันตั้งอยู่ริมฝั่งไปฉะนั้น.
                         พระศาสดาผู้มีอาวุธคือปัญญา ผู้อันหมู่ฤาษีอาศัย
               แล้ว เป็นที่พึ่งแก่เราผู้มีภัยเกิดแล้ว ผู้แสวงหาฝั่งคือพระ
               นิพพานจากที่มิใช่ฝั่ง. พระองค์ได้ประทานบันไดอันทอด
               ไว้ดี บริสุทธิ์สำเร็จด้วยไม้แก่นคือธรรม เป็นบันไดอันมั่นคง
               แก่เราผู้ถูกกระแสตัณหาพัดไปอยู่ และได้ตรัสเตือนเราว่า
               อย่ากลัวเลย.
                         เราได้ขึ้นสู่ปราสาทคือสติปัฏฐาน แล้วพิจารณาหมู่
               สัตว์ผู้ยินดีในร่างกายของตน ที่เราได้สำคัญในกาลก่อน
               โดยเป็นแก่นสาร. ก็เมื่อใด เราได้เห็นทางอันเป็นอุบายขึ้น
               สู่เรือ เมื่อนั้นเราจักไม่ยึดถือตัวตน ได้เห็นท่าคืออริยมรรค
               อันอุดม.
                         พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูงสุด เพื่อไม่ให้
               บาปธรรมทั้งหลายมีทิฏฐิและมานะเป็นต้น ซึ่งเป็นดัง
               ลูกศรเกิดในตน อันเกิดแต่ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ เป็น
               ไปไม่ได้. พระพุทธเจ้าทรงกำจัดโทษอันเป็นพิษได้ ทรง
               บรรเทากิเลสเครื่องร้อยรัดของเรา อันนอนเนื่องอยู่ใน
               สันดานตั้งอยู่แล้วตลอดกาลนาน.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิรรตฺตํ วต แปลว่า ตลอดกาลนานหนอ.
               บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร คือความปรารภความเพียรในการแสวงหาโมกขธรรม.
               บทว่า ธมฺมํ อนุวิจินฺตยํ ได้แก่ คิดค้น คือแสวงหาวิมุตติธรรมว่า วิโมกขธรรมเป็นเช่นไรหนอ หรือว่า เราจะพึงบรรลุวิโมกขธรรมนั้นได้อย่างไร.
               บทว่า สมํ จิตฺตสฺส นาลตฺถํ ปุจฺฉํ สมณพฺราหฺมเณ ความว่า
               เราถามวิมุตติธรรมกะสมณพราหมณ์เจ้าลัทธิต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ คือไม่ประสบความสงบจิตอันมีสภาวะไม่สงบตามปกติ คืออธิบายธรรมอันเป็นเครื่องสลัดวัฏทุกข์อันเป็นตัวสงบ.
               บทมีอาทิว่า โก โส ปารงฺคโต ความว่า เป็นเครื่องแสดงอาการที่ถาม.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก โส ปารงฺคโต โลเก ความว่า บรรดาสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ปฏิญญาว่าเป็นเจ้าลัทธิในโลกนี้ คนนั้นคือใครหนอเข้าถึงฝั่งแห่งสงสาร คือพระนิพพาน.
               บทว่า โก ปตฺโต อมโตคธํ ความว่า ใครถึงคือบรรลุที่พึ่ง คือนิพพาน ได้แก่ทางแห่งวิโมกข์.
               บทว่า กสฺส ธมฺมํ ปฏิจฺฉามิ ความว่า เราจะรับคือปฏิบัติตามโอวาทธรรมของสมณะหรือพราหมณ์คนไร.
               บทว่า ปรมตฺถวิชานนํ ได้แก่ เป็นเครื่องรู้แจ้งปรมัตถประโยชน์.
               อธิบายว่า อันประกาศปวัตติ (ทุกข์) และนิวัตติ (ความดับทุกข์) อันไม่ผิดแผก.
               บทว่า อนฺโตวงฺกคโต อาสี ความว่า ทิฏฐิ ท่านเรียกว่าวังกะ เพราะเป็นความคดแห่งใจ.
               อีกอย่างหนึ่ง กิเลสแม้ทั้งหมดเรียกว่าวังกะ
               ก็บทว่า อนฺโต ได้แก่ ภายในแห่งความคดของใจ.
               อีกอย่างหนึ่ง ได้มีความคดคือกิเลสอันอยู่ในภายในหัวใจ.
               บทว่า มจฺโฉว ฆสมามิสํ ความว่า เหมือนปลากินเหยื่อ คืองับกินเหยื่อ. อธิบายว่า เหมือนปลาติดเบ็ด.
               บทว่า พทฺโธ มหินฺทปาเสน เวปจิตฺยสุโร ยถา อธิบายว่า ท้าวเวปจิตติจอมอสูรถูกบ่วงของท้าวสักกะผู้เป็นเจ้าโลก ครองไว้ อยู่อย่างไร้เสรี ได้รับทุกข์ใหญ่หลวงฉันใด เราก็ฉันนั้น เมื่อก่อนถูกบ่วงคือกิเลสครองไว้ เป็นผู้อยู่อย่างไม่อิสระ ได้รับทุกข์ใหญ่หลวง.
               บทว่า อญฺฉามิ แปลว่า ย่อมคร่ามา.
               บทว่า นํ ได้แก่ บ่วงคือกิเลส.
               บทว่า น มุญฺจามิ แปลว่า ย่อมไม่พ้น.
               บทว่า อสฺมา โสกปริทฺทวา ได้แก่ จากวัฏฏะคือ โสกะและปริเทวะนั้น.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า
               เนื้อหรือสุกรที่ถูกคล้องบ่วงไว้ ไม่รู้อุบายจะแก้บ่วง ดิ้นไปๆ มาๆ กระตุกบ่วงนั้น ย่อมทำตรงที่ผูกรัดให้แน่นเข้าฉันใด เราก็ฉันนั้น เมื่อก่อนถูกบ่วงกิเลสสวมไว้ ไม่รู้อุบายที่จะแก้ ดิ้นรนไปด้วยอำนาจกายสัญเจตนา ความจงใจทางกายเป็นต้น แก้บ่วงคือกิเลสนั้นไม่ได้ โดยที่แท้ กระทำมันให้แน่นเข้า ย่อมถึงกิเลสตัวอื่นเข้าอีก เพราะทุกข์มีความโศกเป็นต้น.
               บทว่า โก เม พนฺธํ มุญฺจํ โลเก สมฺโพธึ เวทยิสฺสติ ความว่า ในโลกนี้ ใครจะเปลื้องเครื่องผูกด้วยเครื่องผูกคือกิเลสนี้ จึงประกาศ คือพวกเราถึงทางแห่งวิโมกข์อันได้นามว่า สัมโพธิ เพราะเป็นเครื่องตรัสรู้.
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พนฺธมุญฺจํ ดังนี้ก็มี.
               มีวาจาประกอบความว่า ซึ่งทางเป็นเครื่องตรัสรู้อันปลดเปลื้องจากเครื่องผูก หรือซึ่งเครื่องผูก.
               บทว่า อาทิสนฺตํ ได้แก่ ผู้แสดง.
               บทว่า ปภงฺคุนํ ได้แก่ เป็นเครื่องหักราน คือกำจัดกิเลส.
               อีกอย่างหนึ่ง เราจะรับธรรมของใครอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลส คืออันแสดงบอกความเป็นไปแห่งธรรม อันเป็นเครื่องนำไปปราศจากชราและมัจจุ.
               บาลีว่า ปฏิปชฺชามิ ดังนี้ก็มี. เนื้อความก็อันนั้นแหละ.
               บทว่า วิจิกิจฺฉากงฺขาคนฺถิตํ ได้แก่ ถูกร้อยรัดด้วยวิจิกิจฉาความสงสัยอันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ในอดีตกาลอันยาวนาน เราได้มีแล้วหรือ และด้วยความเคลือบแคลงอันเป็นไปโดยอาการส่ายไปส่ายมา.
               บทว่า สารมฺภพลสญฺญุตํ ได้แก่ ประกอบด้วยสารัมภะ ความแข่งดีอันมีกำลัง มีลักษณะทำให้ยิ่งกว่าการทำ.
               บทว่า โกธปฺปตฺตมนตฺถทฺธํ ได้แก่ ถึงความกระด้างแห่งใจอันประกอบด้วยความโกรธในอารมณ์ทุกอย่าง เป็นเครื่องรองรับตัณหา.
               จริงอยู่ เมื่อว่าโดยที่ปรารถนาแล้วไม่ได้เป็นต้น ย่อมเป็นไปเหมือนทำลายจิตของสัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่ามีธนูคือตัณหาเป็นสมุฏฐาน ย่อมตั้งอยู่คือเกิดขึ้น เพราะอุบายวิธีที่เสียบแทงคนแม้ผู้อยู่ในที่ไกล ได้แก่ลูกศรคือทิฏฐิ.
               ก็เพราะเหตุที่ลูกศรคือทิฏฐินั้นมี ๓๐ ประเภท คือ สักกายทิฏฐิมีวัตถุ ๒๐ มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ประกอบด้วยทิฏฐิ ๓๐ ประเภท. อธิบายว่า มี ๓๐ ประเภท.
               บทว่า ปสฺส โอรสิกํ พาฬฺหํ เภตฺวาน ยทิ ติฏฺฐติ ความว่า พระเถระเรียกตนเองว่า สิ่งใด ชื่อว่าเกิดในอก เพราะเป็นที่ตั้งแห่งการเกี่ยวเนื่องในอกเป็นของหนัก คือมีพลังทำลาย คือทิ่มแทงหทัยแล้วตั้งอยู่ในหทัยนั้นเอง ท่านจงดูสิ่งนั้น.
               บทว่า อนุทิฏฺฐีนํ อปฺปหานํ ได้แก่ การไม่มีทิฏฐิที่เหลืออันเป็นทิฏฐิเล็กน้อยเป็นเหตุ.
               อธิบายว่า ก็สักกายทิฏฐิยังไม่ไปปราศจากสันดานเพียงใด ก็ยังไม่เป็นอันละสัสสตทิฏฐิเป็นต้นเพียงนั้น.
               บทว่า สงฺกปฺปปรเตชิตํ ความว่า อันความดำริคือมิจฉาวิตกทำคนอื่นผู้ถึงเฉพาะลักษณะนิสัยให้อาจหาญ คือให้อุตสาหะขึ้น.
               บทว่า เตน วิทฺโธ ปเวธามิ ความว่า เราถูกลูกศรคือทิฏฐินั้นเสียบแทงจรดถึงหทัยปักอยู่ ย่อมหวั่นไหว คือย่อมดำริ ได้แก่หมุนไปรอบด้าน ด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ.
               บทว่า ปตฺตํว มาลุเตริตํ ความว่า เหมือนใบของต้นไม้ถูกมาลุต คือลมพัดให้หลุดจากขั้ว.
               บทว่า อชฺฌตฺตํ เม สมุฏฺฐาย ความว่า ธรรมดาลูกศรในโลกตั้งขึ้นจากภายนอก แล้วห้ำหั่นทำลายภายในฉันใด ลูกศรคือทิฏฐินี้ไม่เหมือนฉันนั้น. ก็ลูกศรคือทิฏฐินี้ตั้งขึ้นแล้วในภายใน คือในอัตภาพของเรา เหมือนกลุ่มผัสสายตนะ ๖ ที่รู้กันว่าอัตภาพนั้นย่อมไหม้ไปเร็วพลัน
               เหมือนอะไร?
               เหมือนไฟไหม้พร้อมทั้งที่อาศัยของมัน เมื่อเผาไหม้อัตภาพที่ยึดถือว่าของเรา คืออันเป็นของของเรานั้นนั่นแหละ เกิดขึ้นแล้วในที่ใด ย่อมแล่นไปคือเป็นไปในที่นั้นนั่นเอง.
               บทว่า น ตํ ปสฺสามิ เตกิจฺฉํ ความว่า เราย่อมไม่เห็นศัลยแพทย์นั้นชื่อว่าผู้เยียวยา เพราะประกอบการเยียวยาเช่นนั้น.
               บทว่า โย เม ตํ สลฺลมุทฺธเร ความว่า แพทย์ใดพึงถอนลูกศรคือทิฏฐิ และลูกศรคือกิเลสนั้น พึงนำเอาคำมาประกอบกัน.
               ความว่า เมื่อจะถอน ไม่เยียวยารักษาโดยสอดเส้นเชือกต่างๆ คือเส้นลวดสำหรับตรวจโรคอันคล้ายกับเชือก ตัดด้วยศัสตรา (และ) ด้วยการประกอบมนต์และอาคมอย่างอื่น อาจเยียวยาลูกศรได้.
               ก็บทว่า วิจิกิจฺฉิตํ นี้เป็นเพียงตัวอย่าง.
               พึงทราบเนื้อความด้วยอำนาจลูกศรคือกิเลสแม้ทุกชนิด.
               บทว่า อสตฺโถ ได้แก่ ผู้งดเว้นศัสตรา.
               บทว่า อวโณ แปลว่า ไม่มีแผล.
               บทว่า อพฺภนฺตรปสฺสยํ ได้แก่ อาศัยหทัย กล่าวคือภายในตั้งอยู่.
               บทว่า อหึสํ แปลว่า ไม่เบียดเบียน.
               บาลีว่า อหึสา ก็มี.
               อธิบายว่า โดยไม่เบียดเบียน คือโดยไม่บีบคั้น.
               ก็ในที่นี้มีความย่อดังต่อไปนี้ :-
               ใครหนอแลไม่ต้องถือศัสตราไรๆ และไม่ทำให้มีแผล ต่อแต่นั้น ไม่ทำร่างกายทุกส่วนให้ลำบาก โดยปรมัตถ์นั้นแล จักถอนลูกศรคือกิเลสอันเป็นตัวลูกศรซึ่งอยู่ในภายในหทัยของเรา โดยทิ่มแทงภายในและปิดกั้นภายใน โดยไม่ให้เกิดการบีบคั้น.
               พระเถระครั้นแสดงอาการคิดของตนในกาลก่อนด้วยคาถา ๑๐ คาถาอย่างนั้นแล้ว เพื่อจะแสดงอาการคิดนั้นซ้ำอีกโดยประการอื่น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ธมฺมปฺปติ หิ โส เสฏฺโฐ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมปฺปติ ได้แก่ มีธรรมเป็นนิมิตคือมีธรรมเป็นเหตุ.
               ศัพท์ว่า หิ เป็นเพียงนิบาต.
               บทว่า โส เสฏฺโฐ แปลว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ประเสริฐ.
               บทว่า วิสโทสปฺปวาหโก ความว่า บุคคลเป็นผู้ลอย คือตัดกิเลสมีราคะเป็นต้นของเรา.
               บทว่า คมฺภีเร ปติตสฺส เม ถลํ ปาณิญฺจ ทสฺสเย ความว่า ใครหนอแลปลอบใจว่า อย่ากลัว แล้วพึงแสดงบกคือพระนิพพาน และหัตถ์คือพระอริยมรรคอันยังสัตว์ให้ถึงนิพพานนั้น แก่เราผู้ตกลงในห้วงน้ำใหญ่ คือสงสารอันลึกยิ่ง.
               บทว่า รหเทหมสฺมิ โอคาฬฺโห ความว่า เราเป็นผู้หยั่งลง คือเข้าไปในห้วงน้ำคือสงสารอันใหญ่โต โดยการดำลงหมดทั้งศีรษะ.
               บทว่า อหาริยรชมตฺติเก ความว่า ห้วงน้ำ ชื่อว่ามีดิน คือธุลีอันใครนำไปไม่ได้ เพราะเป็นที่มีดินคือเปือกตมอันได้แก่ธุลีมีราคะเป็นต้นอันใครๆ ไม่อาจนำออกไปได้, ในห้วงน้ำนั้น.
               บาลีว่า อหาริยรชมนฺติเก ดังนี้ก็มี.
               อธิบายว่า มีธุลีคือราคะเป็นต้นอันนำออกไปได้ยาก ในบรรดาธุลีมีราคะเป็นต้นซึ่งตั้งอยู่ในที่สุด.
               บาปธรรมเหล่านั้น คือมายามีการปกปิดโทษที่มีอยู่เป็นลักษณะ ความริษยามีการอดกลั้นสมบัติของคนอื่นไม่ได้ เป็นลักษณะ การแข่งดี มีการกระทำให้ยิ่งกว่าผู้อื่นทำเป็นลักษณะ ถีนะมีความคร้านจิตเป็นลักษณะ มิทธะมีความคร้านกายเป็นลักษณะ แผ่ลาดไปยังห้วงน้ำใด, ในห้วงน้ำนั้นอันลาดด้วยมายา ริษยา การแข่งดี ถีนะและมิทธะ.
               ก็ในที่นี้ท่านกล่าว อักษร ว่ากระทำการเชื่อมบท. อธิบายว่า แผ่ไปด้วยบาปธรรมทั้งหลาย ตามที่กล่าวแล้วนี้.
               บทว่า อุทฺธจฺจเมฆถนิตํ สํโยชนวลาหกํ ท่านกล่าวด้วยวจนวิปลาส วจนะคลาดเคลื่อน. ชื่อว่า มีเมฆคืออุทธัจจะเป็นเสียงคำรน เพราะมีอุทธัจจะอันมีภาวะหมุนไป อันเมฆคำรน คืออันเมฆกระหึ่มแล้ว, ชื่อว่ามีสังโยชน์เป็นฝน เพราะมีฝนคือสังโยชน์ ๑๐ ประการ.
               อธิบายว่า ความดำริผิดอันอาศัยราคะ ดุจห้วงน้ำ คือเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ ตั้งอยู่ในอสุภเป็นต้น ย่อมพาเราผู้มีทิฏฐิชั่วไป คือดึงไปสู่สมุทร คืออบายเท่านั้น.
               บทว่า สวนฺติ สพฺพธิ โสตา ความว่า กิเลสเพียงดังกระแส ๕ ประการนี้คือ กระแสคือตัณหา ทิฏฐิ มานะ อวิชชา และกิเลส ชื่อว่าย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง เพราะไหลไปในอารมณ์ทั้งปวงมีรูปเป็นต้นโดยจักขุทวารเป็นต้น หรือเพราะไหลไปโดยส่วนทุกส่วน โดยนัยมีอาทิว่า รูปตัณหา ฯ ล ฯ ธรรมตัณหา.
               บทว่า ลตา ความว่า ชื่อว่าเถาวัลย์ เพราะเป็นดุจเครือเถา เพราะอรรถว่าร้อยรัด เพราะอรรถว่าเกาะติดแน่น ได้แก่ตัณหา.
               บทว่า อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ ความว่า แตกออกจากทวารทั้ง ๖ แล้วตั้งอยู่ในอารมณ์มีรูปเป็นต้น.
               บทว่า เต โสเต ความว่า ใคร คือบุรุษวิเศษจะพึงกั้นกระแสมีตัณหาเป็นต้นอันไหลอยู่ในสันดานของเรา ด้วยเครื่องผูกคือมรรคอันเป็นดุจสะพาน.
               บทว่า ตํ ลตํ ได้แก่ เครือเถาคือตัณหา, ใครจะตัดคือจักตัดด้วยศัสตราคือมรรค.
               บทว่า เวลํ กโรถ ความว่า ท่านทั้งหลายจงกระทำเขตแดน คือสะพานให้เป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น.
               บทว่า ภทฺทนฺเต เป็นบทแสดงอาการร้องเรียก.
               บทว่า มา เต มโนมโย โสโต ความว่า กระแสน้ำกว้าง.
               แม้มหาชนผู้เขลาก็อาจกระทำสะพานเป็นเครื่องกั้นกระแสน้ำนั้นได้ แต่กระแสอันเกิดทางใจนี้ละเอียด ห้ามยาก, กระแสอันเกิดทางใจนั้นทำพวกท่านที่ยืนอยู่ริมฝั่งอบายให้พลันตกลงในอบายนั้น เมื่อจะให้ตกลงสมุทรคืออบาย ก็พึงอย่าให้พัดพาไป คืออย่าให้พินาศ ได้แก่อย่าให้ถึงความฉิบหาย เหมือนกระแสน้ำพัดมา ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ริมฝั่งโค่นพินาศไปฉะนั้น.
               พระเถระนี้ เพราะเป็นผู้อบรมสังขารไว้ในชาติก่อน และเพราะถึงความแก่กล้าแห่งญาณ เมื่อพิจารณาเห็นทุกข์ในปัจจุบันอยู่อย่างนี้ จึงแสดงอาการที่กำหนด ถือเอาสังกิเลสธรรมมีวิจิกิจฉาเป็นต้น บัดนี้เกิดความสลดใจ เป็นผู้แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล จึงไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อจะแสดงคุณวิเศษที่ตนได้บรรลุ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอวํ เม ภยชาตสฺส ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เม ภยชาตสฺส ความว่า พระศาสดาทรงเป็นผู้ต้านทาน คือทรงเป็นที่ต้านทานของโลกพร้อมทั้งเทวโลกผู้มีภัยคือการเกิดในสงสาร โดยประการดังกล่าวแล้วอย่างนี้ ผู้แสวงหาคือแสวงหาฝั่งคือพระนิพพาน จากที่มิใช่ฝั่ง คือจากสังสารวัฏอันมีภัยเฉพาะหน้าซึ่งเป็นฝั่งใน. ชื่อว่าทรงมีปัญญาเป็นอาวุธ เพราะมีปัญญา เครื่องตัดกิเลสเป็นอาวุธ. ชื่อว่าเป็นศาสดา เพราะทรงพร่ำสอนเหล่าสัตว์ด้วยทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์เป็นต้นตามสมควร ผู้อันหมู่ฤาษีคือหมู่แห่งพระอริยบุคคลมีพระอัครสาวกเป็นต้นซ่องเสพ.
               บทว่า โสปานํ ความว่า พระศาสดาทรงประทานบันไดกล่าวคือวิปัสสนา ชื่อว่าทอดไว้ดีแล้ว เพราะทรงกระทำไว้ดี คือเพราะปรุงแต่งด้วยเทศนาญาณ. ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะเว้นจากอุปกิเลส. ชื่อว่าล้วนแล้วด้วยแก่นคือธรรมอันเป็นสาระมีศรัทธาและปัญญาเป็นต้น. ชื่อว่ามั่นคง เพราะไม่หวั่นไหวด้วยฝ่ายตรงกันข้าม แก่เราผู้ถูกห้วงน้ำใหญ่พัดไป ก็เมื่อจะประทานความปลอบใจว่า ด้วยวิธีนี้ เธอจักมีความสวัสดี จึงได้ตรัสว่า เธออย่ากลัว.
               บทว่า สติปฏฺฐานปาสาทํ ความว่า เราใช้บันไดคือวิปัสสนานั้นขึ้นสู่ปราสาท คือสติปัฏฐานอันเพียบพร้อมด้วยภูมิ ๔ ด้วยคุณวิเศษ คือสามัญผล ๔ ที่จะพึงได้ด้วยกายานุปัสสนาเป็นต้น แล้วพิจารณาคือพิจารณาเฉพาะ ได้แก่รู้แจ้งสัจธรรม ๔ ด้วยมรรคญาณ.
               บทว่า ยํ ตํ ปุพฺเพ อมญฺญิสฺสํ สกฺกายาภิรตํ ปชํ ความว่า
               เรารู้แจ้งสัจจะอย่างนี้แล้วได้สำคัญเหล่าสัตว์ คือเดียรถีย์ชน ผู้ยินดียิ่งในสักกายะว่าเรา ว่าของเราและตนที่เดียรถีย์ชนนั้น กำหนดเอาโดยเป็นสาระ ในกาลก่อน.
               บทว่า ยทา จ มคฺคมทฺทกฺขึ นาวาย อภิรูหนํ ความว่า ในกาลใด เราได้เห็นทางคือวิปัสสนาอันเป็นอุบายสำหรับขึ้นเรือ คืออริยมรรคตามความเป็นจริง.
               จำเดิมแต่นั้น เราไม่ยึดถือเดียรถีย์ชนและตนนั้น คือไม่เอามาตั้งไว้ในใจ จึงได้เห็นท่า คืออริยมรรคทัสสนะอันเป็นท่าแห่งฝั่งใหญ่ คืออมตะกล่าวคือพระนิพพานอย่างอุกฤษฏ์ โดยมรรคทั้งปวง โดยธรรมทั้งปวง.
               อธิบายว่า ได้เห็นตามความเป็นจริง.
               พระเถระ ครั้นประกาศการบรรลุมรรคอันยอดเยี่ยมของตนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะสดุดีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงแสดงมรรคนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สลฺลํ อตฺตสมุฏฺฐานํ ลูกศรที่เกิดในตน ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลํ ได้แก่ ลูกศร คือกิเลสมีทิฏฐิ มานะเป็นต้น.
               บทว่า อตฺตสมุฏฺฐานํ ได้แก่ เกิดขึ้นในอัตภาพอันได้ชื่อว่าอัตตา เพราะเป็นที่ตั้งอยู่แห่งมานะ การถือตัวว่าเป็นเรา.
               บทว่า ภวเนตฺติปฺปภาวิตํ แปลว่า อันตั้งขึ้นจากภวตัณหา คือเป็นที่อาศัยของภวตัณหา.
               จริงอยู่ ภวตัณหานั้น เป็นแดนเกิดแห่งทิฏฐิและมานะเป็นต้น.
               บทว่า เอเตสํ อปฺปวตฺตาย ความว่า เพื่อความไม่เป็นไป คือเพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งบาปธรรมตามที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า เทเสสิ มคฺคมุตฺตมํ ความว่า ตรัสอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันสูงสุด คือประเสริฐ และวิปัสสนามรรคอันเป็นอุบายแห่งอริยมรรคนั้น.
               บทว่า ทีฆรตฺตานุสยิตํ ความว่า นอนเนืองๆ อยู่ในสันดานมานาน ในสงสารอันมีที่สุดและเบื้องต้นรู้ไม่ได้ คือมีกำลังโดยได้เหตุ คือโดยภาวะควรแก่การเกิด แต่จากนั้นจะตั้งอยู่นาน ตั้งมั่นคือขึ้นสู่สันดานตั้งอยู่.
               บทว่า คนฺถํ ความว่า พระพุทธเจ้าคือพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงลอยบาปได้ ทรงบรรเทาโทษอันเป็นพิษคือกิเลส อันเป็นตัวร้อยรัดในสันดานของเรา มีอภิชฌากายคันถะเป็นต้น ด้วยอานุภาพแห่งเทศนาของพระองค์ คือทรงทำโทษอันเป็นพิษคือกิเลสให้สูญหายไป.
               จริงอยู่ เมื่อละกิเลสเครื่องร้อยรัดได้เด็ดขาดแล้ว กิเลสที่ชื่อว่ายังไม่ได้ละย่อมไม่มีแล.

               จบอรรถกถาเตลุกานิเถรคาถาที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต ๓. เตลุกานิเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 386อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 387อ่านอรรถกถา 26 / 388อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7461&Z=7508
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=7126
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=7126
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :