ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 373อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 374อ่านอรรถกถา 26 / 375อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต
๕. กัปปเถรคาถา

               อรรถกถากัปปเถรคาถาที่ ๕               
               คาถาของท่านพระกัปปเถระมีว่า นานากุลมลสมฺปุณฺโณ ดังนี้เป็นต้น.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               ท่านพระกัปปะแม้นี้ได้บำเพ็ญบุญญาธิการมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญเป็นอันมากไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ ได้บังเกิดในตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยสมบัติเป็นอันมาก พอบิดาล่วงไป รู้เดียงสาแล้ว ประดับประดาต้นกัลปพฤกษ์ด้วยผ้าอันวิจิตรด้วยสีที่ไม่สดนานาชนิด, ด้วยอาภรณ์หลากชนิด, ด้วยแก้วมณีต่างชนิด, และด้วยมาลาพวงดอกไม้เป็นต้นมากมายหลายชนิดแล้ว บูชาสถูปของพระศาสดา ด้วยสิ่งของนั้น.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในราชสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับในมคธรัฐ พอพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ทรงดำรงอยู่ในพระราชสมบัติแล้ว ทรงเป็นผู้ยินดีมักมากในกามทั้งหลายอย่างเหลือประมาณอยู่.
               พระศาสดาทรงออกจากพระมหากรุณาสมาบัติแล้ว ทรงตรวจดูสัตวโลก ทอดพระเนตรเห็นเธอผู้มาปรากฏในข่ายคือพระญาณแล้ว ทรงคำนึงว่า จักมีอะไรหนอแล ดังนี้ ทรงทราบว่า พระราชาพระองค์นี้ได้ฟังอสุภกถาในสำนักของเราแล้ว จะเป็นผู้มีจิตคลายความกำหนัดใน กามทั้งหลายเสียได้ พอทรงผนวชแล้วจักได้บรรลุพระอรหัต ดังนี้แล้วเสด็จไปในที่นั้นโดยอากาศแล้ว
               ตรัสอสุภกถาแก่พระราชาองค์นั้น ด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
                                   ร่างกายนี้ เต็มไปด้วยของอากูล และของอันเป็น
                         มลทินต่างๆ มีหลุมคูถใหญ่เป็นที่เกิด เป็นดุจบ่อน้ำครำ
                         อันมีมานาน เป็นดุจฝีใหญ่ เป็นดุจแผลใหญ่ เต็มไปด้วย
                         หนองและเลือด เต็มไปด้วยหลุมคูถ มีน้ำไหลออกเป็น
                         นิตย์ มีของเน่าไหลออกทุกเมื่อ
                                   กายอันเปื่อยเน่านี้ รัดรึงด้วยเอ็นใหญ่ ๖๐ เส้นฉาบ
                         ทาด้วยเครื่องฉาบทาคือเนื้อ หุ้มห่อด้วยเสื้อคือหนัง เป็น
                         ของหาประโยชน์มิได้ เป็นของสืบต่อกันด้วยร่างกระดูก
                         เกี่ยวร้อยด้วยด้ายคือเส้นเอ็น เปลี่ยนอิริยาบถได้ เพราะ
                         ยังมีเครื่องประกอบพร้อม
                                   นรชนผู้ยังคลุกคลีอยู่ในกามคุณ เป็นผู้ตระเตรียม
                         ไปสู่ความตายเป็นนิตย์ เป็นผู้ตั้งอยู่ในที่ใกล้มัจจุราช จัก
                         ต้องทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้เอง กายนี้เอง อวิชชาหุ้มห่อ
                         แล้ว ผูกรัดด้วยเครื่องผูก ๔ ประการ จมอยู่ในห้วงน้ำคือ
                         กิเลส ปกคลุมไว้ด้วยตาข่ายคือกิเลสอันนอนเนื่องอยู่ใน
                         สันดาน ประกอบแล้วในนิวรณ์ ๕ เพียบพร้อมด้วยวิตก
                         ประกอบด้วยรากเหง้าแห่งภพคือตัณหา ปกปิดด้วยเครื่อง
                         ปกปิดคือโมหะ หมุนไปอยู่ด้วยเครื่องหมุนคือกรรม
                                   ร่างกายนี้ย่อมมีสมบัติกับวิบัติเป็นคู่กัน มีความเป็น
                         ต่างๆ กันเป็นธรรมดา ปุถุชนคนอันธพาลเหล่าใดมายึด
                         ถือร่างกายนี้ว่าเป็นของเรา ย่อมยังสงสารอันน่ากลัวให้
                         เจริญ ปุถุชนเหล่านั้นย่อมถือเอาภพใหม่อีก
                                   กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตเหล่าใด ละเว้นร่างกายนี้ อัน
                         ฉาบทาแล้วด้วยคูถ ดังบุรุษผู้ประสงค์ความสุขอยากมีชีวิต
                         อยู่ เห็นอสรพิษแล้วหลีกหนีไปฉะนั้น กุลบุตรเหล่านั้นละ
                         อวิชชาอันเป็นรากเหง้าแห่งภพแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จัก
                         ปรินิพพาน.

               พระราชาพระองค์นั้นทรงสดับอสุภกถาจนแจ่มแจ้ง ถึงสภาวะแห่งสรีระอย่างแท้จริง ซึ่งขันธ์มีอาการเป็นอเนก ต่อพระพักตร์พระศาสดา อึดอัด ละอาย รังเกียจ มีพระทัยสังเวชต่อร่างกายของพระองค์ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ทูลขอบรรพชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระศาสดาทรงมีรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุ เธอจงไป จงให้พระราชานี้ได้บรรพชาอุปสมบทแล้วจึงมาเถิด.
               ภิกษุรูปนั้นให้ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้ว ให้พระราชาพระองค์นั้นได้รับบรรพชา. พระราชาพระองค์นั้น ในขณะจรดมีดโกนเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- :-
               เราได้คล้องผ้าอันวิจิตรหลายผืนไว้ตรงหน้าพระสถูปอันประเสริฐ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ แล้วตั้งต้นกัลปพฤกษ์ไว้ เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ ต้นกัลปพฤกษ์อันงามย่อมประดิษฐานอยู่ใกล้ประตูเรา เวลานั้น เราเอง บริษัท เพื่อนและคนคุ้นเคยได้ถือเอาผ้าจากต้นกัลปพฤกษ์นั้นมานุ่งห่ม.
               ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้ตั้งต้นกัลปพฤกษ์ไว้ ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้สึกทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการตั้งต้นกัลปพฤกษ์ และในกัปที่ ๗ แต่กัปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ทรงพระนามว่าสุเจละ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๔๒

               ก็พระราชาบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้อุปสมบทแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง เมื่อจะพยากรณ์ความเป็นพระอรหัต จึงตรัสคาถาเหล่านั้นนั่นแลไว้.
               ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ คาถาเหล่านั้นจึงชื่อว่า เถรคาถา.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานากุลมลสมฺปุณฺโณ ความว่า อันเต็มไปด้วยของอากูลต่างๆ และของอันเป็นมลทินมีส่วนต่างๆ คือเต็มไปด้วยส่วนที่ไม่สะอาดนานาชนิดมีผมและขนเป็นต้น.
               หลุมคูถ ท่านเรียกว่า อุกการะ ในบทว่า มหาอุกฺการสมฺภโว นี้.
               ครรภ์ของมารดา ท่านประสงค์ว่าหลุมคูถใหญ่ในที่นี้ เพราะตลอดกาลที่อยู่ในครรภ์มารดา จะเป็นเช่นกับหลุมคูถที่อบอวลด้วยกลิ่นไม่สะอาด. ครรภ์นั้นเป็นแดนเกิด คือเป็นที่อุบัติขึ้นแห่งสัตว์นั่น เหตุนั้นจึงชื่อว่า มหาอุกการสัมภวะ มีหลุมคูถใหญ่เป็นที่เกิด.
               บทว่า จนฺทนิกํว ความว่า สถานที่เป็นที่สำหรับเททิ้งน้ำไม่สะอาดและมลทินแห่งครรภ์เป็นต้น ซึ่งเต็มไปด้วยของไม่สะอาดเพียงเข่า ที่เช่นนั้น ชื่อว่าบ่อน้ำครำ.
               บทว่า ปริปกฺกํ ได้แก่ เก่าแก่ มีมานาน.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงว่า เปรียบเหมือนเมื่อฝนมีเม็ดโตตกลงในฤดูร้อน ใกล้ประตูบ้านคนจัณฑาล สิ่งปฏิกูลอันเต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดมีปัสสาวะ อุจจาระ กระดูก หนัง เส้นเอ็น น้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น ประสมเข้ากับน้ำก็จะขุ่นไปด้วยน้ำปนโคลน.
               พอล่วงไป ๒-๓ วันก็เกิดเป็นหมู่หนอน มีน้ำเดือดเป็นฟองเพราะถูกแสงพระอาทิตย์แผดเผา ข้างบนมีฟองน้ำและต่อมน้ำผุดขึ้น มีสีคล้ำ มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง น่ารังเกียจ เป็นบ่อน้ำครำ ไม่ควรจะเข้าไปใกล้ ทั้งไม่ควรจะเห็น ต้องยืนอยู่ห่างๆ. ร่างกายก็เป็นเช่นนั้น.
               ชื่อว่าเป็นดุจฝีใหญ่ เพราะเปรียบเหมือนฝีใหญ่ เหตุมีการผุดขึ้น เจริญ แก่รอบและแตกไปเป็นสภาวะ มีความเกิดขึ้น แก่และตายไป เพราะประกอบด้วยต้นเค้าคือความเป็นทุกข์ และเพราะหลั่งออกซึ่งสิ่งไม่สะอาด.
               ชื่อว่าเป็นดุจแผลใหญ่ เพราะเปรียบเหมือนแผลใหญ่ เพราะต้องอดทนต่อแผล และเพราะเป็นที่หลั่งไหลออกซึ่งสิ่งไม่สะอาด มีทุกขเวทนาติดตาม.
               บทว่า คูถกูเปน คาฬิโต ได้แก่ เต็มด้วยหลุมคูถ หรือเต็มด้วยคูถ.
               บาลีว่า คูถกูปนิคาฬฺหิโต ดังนี้ก็มี.
               อธิบายว่า ไหลออกจากหลุมคูถ.
               บทว่า อาโปปคฺฆรโณ กาโย สทา สนฺทติ ปูติกํ ความว่า ร่างกายนี้มีอาโปธาตุไหลออกเป็นปกติทุกเมื่อ. สรีระนั้นแลมีแต่สิ่งเปื่อยเน่า เช่น ดี เสมหะ เหงื่อและมูตรเป็นต้น คือสิ่งไม่สะอาดเท่านั้นไหลออกอยู่. ในกาลไหนๆ สิ่งที่สะอาดไม่เคยไหลออกเลย.
               บทว่า สฏฺฐิกณฺฑรสมฺพนฺโธ ความว่า ชื่อว่ารัดรึงด้วยเอ็นใหญ่ ๖๐ เส้น เพราะมีเส้นเอ็นใหญ่ ๖๐ เส้นผูกพันรัดรึงทุกแห่งคือเส้นเอ็นที่รัดรึงสรีระตั้งแต่ส่วนบนแห่งคอ ที่ข้างหน้าข้างหลัง ที่ข้างขวาและข้างซ้ายแห่งสรีระ ที่ละ ๕ เส้นรวม ๒๐ เส้น, รัดรึงที่มือและเท้า ที่ข้างหน้ามือและที่ข้างหลังมือ ที่ฝ่าเท้าและหลังเท้า ที่ละ ๕ เส้นรวมเป็น ๔๐ เส้น. (มือ ๑ ข้าง นับข้างหน้ามือ ๕ รวมเป็น ๑๐ ฉะนั้น มือมี ๒ ข้าง เท้ามี ๒ ข้างจึงรวมเส้นเอ็นได้ ๔๐ เส้น).
               บทว่า มํสเลปนเลปิโต ได้แก่ ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทาคือเนื้อ. อธิบายว่า ฉาบทาด้วยชิ้นเนื้อ ๙๐๐ ชิ้น.
               บทว่า จมฺมกญฺจุกสนฺนทฺโธ ได้แก่ หุ้มห่อคลุมปกปิด ในที่ทั้งปวงด้วยเสื้อคือหนัง.
               บทว่า ปูติกาโย ได้แก่ ร่างกายที่มีกลิ่นเหม็นเน่าทั่วทั้งหมด.
               บทว่า นิรตฺถโก ได้แก่ ไม่มีประโยชน์.
               อธิบายว่า จริงอยู่ ร่างกายของหมู่สัตว์เหล่าอื่นจะพึงมีประโยชน์ได้ ก็ด้วยการจำแนกถึงคุณมีธรรมเป็นต้น. ร่างกายของมนุษย์ไม่มีประโยชน์อย่างนั้นเลย.
               บทว่า อฏฺฐิสงฺฆาตฆฏิโต ได้แก่ เป็นของสืบต่อกันโดยการสืบต่อด้วยร่างแห่งกระดูก ๓๐๐ กว่าท่อน.
               บทว่า นฺหารุสุตฺตนิพนฺธโน ได้แก่ ร้อยพันแล้วด้วยเส้นเอ็น ๙๐๐ เส้น อันเป็นเช่นกับเส้นด้าย.
               บทว่า เนเกสํ สงฺคตีภาวา ความว่า สำเร็จอิริยาบถมียืนเป็นต้น เปรียบเหมือนยนต์คือสรีระเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยกลุ่มแห่งเส้นด้าย ที่ผูกพันเกี่ยวข้องด้วยมหาภูตรูป ๔ ชีวิตินทรีย์ ลมอัสสาสะ ลมปัสสาสะและวิญญาณเป็นต้น.
               บทว่า ธุวปฺปยาโต มรณาย ความว่า เป็นผู้เตรียมตัวเพื่อความตายโดยส่วนเดียว. คือจำเดิมแต่เกิดมาก็ตกไป บ่ายหน้าไปสู่ความตาย, ได้แก่ ตั้งแต่เกิดมาแล้วนั้นเอง ก็ตั้งอยู่ใกล้มัจจุราชคือความตาย.
               บทว่า อิเธว ฉฑฺฑยิตฺวาน ความว่า อันสัตว์นี้ทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้นั้นแล แล้วก็ไปสู่สถานที่ตนชอบใจ เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงว่า บุคคลไม่พึงทำความเกี่ยวข้อง แม้อย่างนี้ว่า เราพึงละร่างกายนี้ไป ดังนี้.
               บทว่า อวิชฺชาย นิวุโต ได้แก่ ร่างกายนี้ถูกเครื่องปิดกั้นคืออวิชชาหุ้มห่อแล้ว คือมีโทษเพราะถูกปิดกั้นไว้. อธิบายว่า โดยประการอื่น ใครจะพึงรู้ความเกี่ยวข้องในข้อนี้ได้.
               บทว่า จตุคนฺเถน ได้แก่ ผูกรัดด้วยคันถะเครื่องผูก ๔ อย่างมีเครื่องผูกคืออภิชฌากายคันถะเป็นต้น, คือร้อยรัดโดยความเป็นเครื่องผูก.
               บทว่า โอฆสํสีทโน ได้แก่ เป็นผู้จมลงในโอฆะ ๔ มีกาโมฆะเป็นต้นโดยความเป็นที่ควรรวมลง.
               อธิบายว่า ชื่อว่าอนุสัย เพราะอรรถว่านอนเนื่องในสันดานโดยความที่ยังละไม่ได้. ได้แก่ กิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดานมีกามราคะเป็นต้น.
               ชื่อว่า อนุสยาชาลโมตฺถโต เพราะปกคลุมคือครอบงำสัตว์เหล่านั้นไว้ด้วยตาข่าย.
                อักษรทำการต่อบท. ท่านทำทีฆะ กล่าวไว้ก็เพื่อสะดวกแก่รูปคาถา.
               ชื่อว่าประกอบแล้วด้วยนีวรณ์ ๕ เพราะประกอบแล้ว คือน้อมใจไปแล้วด้วยนีวรณธรรม ๕ อย่างมีกามฉันทะเป็นต้น,
               ก็คำว่า ปญฺจนีวรเณ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.
               เพียบพร้อมแล้ว คือสมบูรณ์แล้วด้วยมิจฉาวิตกมีกามวิตกเป็นต้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เพียบพร้อมด้วยวิตก ประกอบด้วยมูลรากแห่งภพคือตัณหา คือถูกมูลรากแห่งภพคือตัณหาผูกพันไว้.
               บทว่า โมหจฺฉาทนฉาทิโต ได้แก่ ปกคลุมด้วยเครื่องปกปิดคือสัมโมหะ. สวิญญาณกะนั่นทั้งหมด ท่านกล่าวหมายถึงกรัชกาย.
               จริงอยู่ อัตภาพที่มีวิญญาณครอง ท่านเรียกว่า กาย เช่นประโยคว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาในภพขาดสิ้นแล้ว ย่อมตั้งอยู่, กายนี้เท่านั้นเป็นภายนอก มีนามรูป ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า เอวายํ วตฺตเต กาโย ความว่า กายนี้ย่อมหมุนไปโดยประการที่กล่าวแล้วเป็นต้นว่า กายนี้เต็มไปด้วยมลทินอันอากูลต่างๆ และเป็นต้นว่า กายนี้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ดังนี้ ก็แลเมื่อหมุนไป ก็หมุนไปด้วยเครื่องหมุน คือกรรมที่ตนทำดีและทำชั่วไว้ จึงหมุนไป คือท่องเที่ยวไปในสุคติและทุคติ เพราะฟุ้งไปโดยที่ไม่สามารถจะไปสู่แดนเกษมได้.
               บทว่า สมฺปตฺติ จ วิปตฺยนฺตา ได้แก่ สมบัติที่มีอยู่ในร่างกายนี้ย่อมมีวิบัติเป็นที่สุด.
               จริงอยู่ ความหนุ่มและความสาวทั้งหมดมีความแก่เป็นที่สุด, ความไม่มีโรคทั้งหมดมีความเจ็บไข้เป็นที่สุด, ชีวิตทั้งหมดมีความตายเป็นที่สุด, ความประชุมแห่งสังขารทั้งหมดมีความแตกแยกจากกันเป็นที่สุด. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นานาภาโว วิปชฺชติ ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า นานาภาโว ได้แก่ ความเป็นต่างๆ กัน คือความพลัดพรากจากกัน. อธิบายว่า ร่างกายนั้นย่อมถึงคือย่อมบรรลุถึงความเป็นต่างๆ กัน คือบางคราวด้วยอำนาจแห่งคนที่พลัดพรากจากไป บางคราวด้วยอำนาจแห่งสิ่งของที่จะต้องพลัดพรากจากไป.
               บทว่า เยมํ กายํ มนายนฺติ ความว่า ปุถุชนคนอันธพาลเหล่าใดมายึดถือร่างกายนี้ อันไม่งาม ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นทุกข์ หาสาระมิได้ว่า สรีระนี้เป็นของเรา ดังนี้ คือยังฉันทราคะให้เกิดขึ้น. ได้แก่ย่อมยังสงสาร คือตัณหาให้เจริญ ด้วยการเกิดและการตายเป็นต้นบ่อยๆ เพราะคนมิใช่บัณฑิตพึงยินดีภัยอันน่ากลัวแต่ชาติเป็นต้นและนรกเป็นต้น
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปุถุชนคนอันธพาลเหล่านั้น ย่อมถือเอาภพใหม่อีก ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า เยมํ กายํ วิวชฺเชนฺติ คูถลิตฺตํว ปนฺนคํ ความว่า
               เปรียบเหมือนบุรุษผู้ประสงค์ความสุขอยากมีชีวิตอยู่ เห็นคูถแล้วหลีกหนีคือหลบไปเสีย เพราะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ หรือเห็นอสรพิษแล้วหลีกหนีคือเลี่ยงไปเสีย เพราะความกลัวเฉพาะหน้า ชื่อฉันใด กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน หลีกร่างกายนี้อันน่ารังเกียจ เพราะเป็นสิ่งไม่สะอาดและอันมีภัยเฉพาะหน้า เพราะเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นต้น คือละด้วยการประหารฉันทราคะเสีย การทิ้งซึ่งอวิชชาอันเป็นมูลรากแห่งภพ และตัณหาในภพ ละได้เด็ดขาด ต่อแต่นั้นก็เป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยประการทั้งปวง จักปรินิพพาน ด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุและอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แล.

               จบอรรถกถากัปปเถรคาถาที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต ๕. กัปปเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 373อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 374อ่านอรรถกถา 26 / 375อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7015&Z=7038
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=5034
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=5034
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :