ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 354อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 355อ่านอรรถกถา 26 / 356อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ฉักกนิบาต
๙. เชนตปุโรหิตปุตตเถรคาถา

               อรรถกถาปุโรหิตปุตตเชนตเถรคาถาที่ ๙               
               คาถาของท่านพระเชนตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ชาติมเทน มตฺโตหํ ดังนี้.
               มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรของปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ในนครสาวัตถี. ท่านมีนามว่าเชนตะ.
               พอท่านเจริญวัยก็มัวเมาด้วยความเมาเพราะชาติ และเมาในโภคะความเป็นใหญ่และรูป ดูหมิ่นคนอื่น ไม่ทำความยำเกรงแม้แก่ท่านผู้ตั้งอยู่ในฐานะที่ควรเคารพ มีมานะจัดเที่ยวไป.
               วันหนึ่ง นายเชนตะนั้นได้เห็นพระศาสดา อันบริษัทหมู่ใหญ่ห้อมล้อมกำลังแสดงธรรมอยู่ เมื่อจะเข้าไปเฝ้า จึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า ถ้าพระสมณโคดมนี้จักตรัสทักเราก่อน แม้เราก็จักทักทายด้วย ถ้าไม่ตรัสทักเราก็จักไม่ทัก ดังนี้แล้วจึงเข้าไปเฝ้ายืนอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสทักก่อน แม้ตนเองก็ไม่ทักทาย เพราะถือตัว แสดงอาการจะเดินไป.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสกะเขาด้วยพระคาถาว่า
                         ดูก่อนพราหมณ์ ใครในโลกนี้มีมานะ ไม่ดีเลย ผู้ใด
                         มาด้วยประโยชน์ใด ผู้นั้นพึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้น.

               เขาคิดว่า พระสมณโคดมรู้จิตใจของเรา มีความเลื่อมใสยิ่ง จึงซบศีรษะลงที่พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำอาการเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง แล้วทูลถามว่า
                         พราหมณ์ไม่ควรทำมานะในใคร ควรมีความเคารพ
                         ในใคร พึงยำเกรงใคร บูชาใครด้วยดีแล้ว จึงเป็นการดี.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงตอบปัญหาของเขา จึงทรงแสดงธรรมว่า
                         ไม่ควรทำมานะในมารดา บิดา พี่ชายและในอาจารย์
                         เป็นที่ ๔ พึงมีความเคารพในบุคคลเหล่านั้น พึงยำเกรง
                         บุคคลเหล่านั้น บูชาบุคคลเหล่านั้น ด้วยดีแล้วจึงเป็น
                         การดี บุคคลพึงทำลายมานะเสีย ไม่ควรมีความกระด้าง
                         ในพระอรหันต์ผู้เย็นสนิท ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะ
                         มิได้ พึงนอบน้อมท่านเหล่านั้นผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า.

               เขาได้เป็นพระโสดาบันด้วยเทศนานั้น บวชแล้วบำเพ็ญวิปัสสนาจึงได้บรรลุพระอรหัต. เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลโดยมุ่งระบุข้อปฏิบัติของตน จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
                         เราเป็นผู้เมาด้วยความเมาเพราะชาติสกุล ด้วยโภคะ
                         และอิสริยยศ ด้วยทรวดทรง ผิวพรรณและรูปร่าง และ
                         เป็นผู้เมาด้วยความเมาอย่างอื่น เราจึงไม่สำคัญใครๆ
                         ว่าเสมอตนและยิ่งกว่าตน เราเป็นผู้มีกุศลอันอติมานะ
                         กำจัดแล้ว เป็นคนโง่เขลา มีใจกระด้าง ถือตัว มีมานะ
                         จัด ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่กราบไหว้ใคร แม้เป็นมารดาหรือ
                         บิดา แม้พี่ชายหรือพี่สาว และแม้สมณพราหมณ์เหล่า
                         อื่นที่โลกสมมติว่าเป็นครูบาอาจารย์ เราเห็นพระพุทธ
                         เจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้เลิศประเสริฐสูงสุดกว่าสารถี
                         ทั้งหลาย ผู้รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ อันหมู่ภิกษุสงฆ์ห้อม
                         ล้อมแล้ว จึงละทิ้งมานะและความมัวเมา มีใจผ่องใส
                         ถวายบังคมพระองค์ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเศียร
                         เกล้า การถือตัวว่าดีกว่าเขา ว่าเลวกว่าเขา และว่าเสมอ
                         เขา เราละแล้ว ถอนขึ้นแล้วด้วยดี การถือตัวว่าเป็นเรา
                         เป็นเขา เราตัดขาดแล้ว การถือตัวต่างๆ ทั้งหมด เรา
                         กำจัดได้แล้ว.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาติทเมน มตฺโตหํ มีวาจาประกอบความว่า เราบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง จึงเมาด้วยความถือตระกูลว่า ไม่มีคนอื่นผู้เกิดดีแล้วจากบิดามารดาทั้งสองฝ่ายเช่นกับเรา จึงได้ถือตัวจัดเที่ยวไป.
               บทว่า โภคอิสฺสริเยน จ ประกอบความว่า เราได้เป็นผู้เมาด้วยทรัพย์สมบัติและด้วยความเป็นใหญ่ คือด้วยความเมาอันเกิดขึ้น เพราะอาศัยโภคสมบัติและอิสริยสมบัติอันเป็นตัวเหตุเที่ยวไป.
               บทว่า สณฺฐานวณฺณรูเปน ความว่า ทรวดทรง ได้แก่ความสมบูรณ์ด้วยส่วนสูงและส่วนใหญ่. วรรณะ ได้แก่ความสมบูรณ์ด้วยผิวพรรณ มีผิวขาวและผิวคล้ำเป็นต้น. รูป ได้แก่ความงามแห่งอวัยวะน้อยใหญ่.
               แม้ในบทว่า สณฺฐานวณฺณรูเปน นี้ ก็พึงทราบวาจาประกอบความโดยนัยดังกล่าวแล้ว.
               บทว่า มทมตฺโต ได้แก่ ผู้เมาด้วยความเมาแม้อื่นจากประการที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า นาตฺตโน สมกํ กญฺจิ ความว่า เราจึงไม่สำคัญ คือไม่รับรู้ใครๆ ว่าเสมอ คือเช่นกับตน ได้แก่เสมอด้วยชาติเป็นต้น หรือว่ายิ่งกว่าตน.
               อธิบายว่า แม้คนผู้เสมอกับตนเราก็ยังไม่สำคัญ (ว่าจะมี) คนที่ยิ่งกว่านั้น เราจะสำคัญ (ว่าจะมี) มาแต่ไหน.
               บทว่า อติมานหโต พาโล ความว่า เราเป็นคนพาล เพราะความเป็นคนพาลนั้น จึงเป็นผู้ถูกอติมานะกำจัดการบำเพ็ญกุศลเสีย เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ เราจึงมีใจกระด้าง ถือตัว คือเป็นผู้กระด้างจัด ได้แก่เกิดเป็นผู้กระด้าง โดยไม่ถ่อมตน เป็นคนถือตัว โดยไม่ทำการนอบน้อมแม้แก่ครูทั้งหลายด้วยความหัวดื้อ.
               เพื่อจะทำเนื้อความที่กล่าวแล้วนั่นแลให้ปรากฏชัดขึ้น จึงกล่าวคำว่า มาตรํ เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺเญ ได้แก่ พี่ชายเป็นต้น และสมณพราหมณ์.
               บทว่า ครุสมฺมเต ได้แก่ ที่สมมติกันว่าครู คือผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู.
               บทว่า อนาทโร แปลว่า เว้นจากความเอื้อเฟื้อ.
               บทว่า ทิสฺวา วินายกํ อคฺคํ มีวาจาประกอบความว่า
               เราเป็นผู้มีมานะจัดอย่างนี้เที่ยวไป ได้เห็นพระศาสดาผู้ชื่อว่าผู้แนะนำโดยวิเศษ เพราะแนะนำเหล่าเวไนยสัตว์ด้วยทิฏฐธัมมิกประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ และเพราะภาวะเป็นผู้นำโดยความเป็นพระสยัมภู ชื่อว่าผู้เลิศเพราะความเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก พร้อมทั้งเทวโลกด้วยคุณมีศีลเป็นต้น.
               ชื่อว่าผู้สูงสุดคือสูงสุดยิ่งแห่งสารถี เพราะฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้โดยเด็ดขาด ผู้รุ่งเรืองคือสว่างไสวด้วยแสงสว่างด้วยพระรัศมีด้านละวาเป็นต้น ดุจพระอาทิตย์ ผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ อันหมู่ภิกษุแวดล้อมกำลังแสดงธรรมอยู่ ถูกพุทธานุภาพคุกคาม จึงละคือทิ้งมานะที่เกิดขึ้นว่า เราเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ คนอื่นเลว และความเมามีเมาในโภคะเป็นต้น มีใจเลื่อมใส จึงอภิวาทด้วยเศียรเกล้า.
               ถามว่า ก็นายเชนตะนี้เป็นผู้มีมานะจัด อย่างไรจึงละมานะด้วยเหตุสักว่าได้เห็นพระศาสดา?
               ตอบว่า ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนั้น. เขาไม่ได้ละมานะด้วยสักว่าเห็นพระศาสดา แต่ละมานะได้ด้วยเทศนามีอาทิว่า ดูก่อนพราหมณ์ มานะไม่ดีเลย ดังนี้ ซึ่งท่านหมายกล่าวว่า เราละมานะและความมัวเมา มีใจเลื่อมใส จึงอภิวาทด้วยเศียรเกล้า.
               ก็ในบทว่า วิปฺปสนฺเนน เจตสา นี้ พึงเห็นว่าใช้ตติยาวิภัตติ ในอรรถว่าอิตถัมภูตะ แปลว่ามี.
               บางอาจารย์กล่าวว่า มานะที่เกิดขึ้นว่าเราเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐสุด ดังนี้เป็นอติมานะ สำคัญตัวว่ายิ่งกว่าเขา มานะของคนผู้ตั้งคนอื่นไว้โดยความเป็นคนเลวว่า ส่วนคนอื่นเป็นคนเลว ดังนี้เป็นโอมานะ สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา. อนึ่ง มานะว่าดีกว่าเขาที่เกิดแก่บุคคลผู้ล่วงเลยคนอื่นแล้วตั้งตนว่าประเสริฐกว่าเขา เราเป็นผู้ประเสริฐกว่า ดังนี้เป็นอติมานะ. มานะว่าเลวกว่าเขาที่เกิดขึ้นว่า เราเป็นคนเลวกว่าเขา ดังนี้เป็นโอมานะ.
               บทว่า ปหีนา สุสมูหตา ความว่า เป็นผู้ละด้วยมรรคเบื้องต่ำ ถอนขึ้นได้เด็ดขาดด้วยอรหัตมรรค.
               บทว่า อสฺมิมาโน ได้แก่ มานะที่เกิดด้วยอำนาจการยึดถือว่า "เรา" ในขันธ์ว่า "เราเป็นนั่น".
               บทว่า สพฺเพ ความว่า มิใช่อติมานะ โอมานะและอัสมิมานะอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ประเภทของมานะ คือส่วนแห่งมานะทั้งหมดมีประเภทมานะ ๙ มีมานะว่าประเสริฐกว่าเขา แห่งคนผู้ประเสริฐกว่าเขา และมานะหลายประเภทโดยประเภทอื่นๆ เรากำจัดแล้วคือถอนได้เด็ดขาดแล้วด้วยอรหัตมรรค.

               จบอรรถกถาปุโรหิตปุตตเชนตเถรคาถาที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ฉักกนิบาต ๙. เชนตปุโรหิตปุตตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 354อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 355อ่านอรรถกถา 26 / 356อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6617&Z=6630
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=2703
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=2703
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :