ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 313อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 314อ่านอรรถกถา 26 / 315อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต
๘. ปัสสิกเถรคาถา

               อรรถกถาปัสสิกเถรคาถา               
               คาถาของพระปัสสิกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า เอโกปิ สทฺโธ เมธาวี ดังนี้.
               มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้มีบุญญาธิการได้ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เมื่อทำบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ มาในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ได้เกิดในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล บรรลุนิติภาวะแล้ว อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายผลไม้มิลักขะ (แด่พระองค์).
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านเมื่อท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์มีนามว่าปัสสิกะ เจริญวัยแล้ว ได้เห็นยมกปาฏิหาริย์ของพระศาสดา กลับมีศรัทธา บวชแล้วบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ได้เป็นผู้อาพาธ.
               ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายได้พากันอุปัฏฐากท่านให้หายโรค ตามวิธียาที่หมอได้รอบรู้เห็นมาแล้ว. ท่านหายอาพาธแล้ว เกิดสลดใจรีบเร่งภาวนาขึ้น ได้เป็นพระอริยเจ้าผู้มีอภิญญา ๖.
               ด้วยเหตุนั้น ในอปทานท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า๑-
               ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้มีพระยศมาก ที่ระหว่างป่า มีจิตเลื่อมใส ดีใจ ได้ถวายผลไม้มิลักขะในกัปที่ ๑,๘๐๐ ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ใดในครั้งนั้น ด้วยทานนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลของการถวายผลไม้นั้น. กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๕๘

               อนึ่ง ท่านมีอภิญญา ๖ แล้วได้ไปสำนักของพวกญาติทางอากาศ สถิตอยู่แล้วบนอากาศ แสดงธรรมให้ญาติหล่านั้นดำรงอยู่ในสรณะและศีลทั้งหลาย บรรดาญาติเหล่านั้นบางพวกถึงแก่กรรมแล้ว ได้เกิดในสวรรค์ เพราะได้ดำรงอยู่แล้วในสรณะและศีลทั้งหลาย.
               ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสถามท่านปัสสิกเถระนั้นผู้เข้ามาถึงที่บำรุงของพระพุทธเจ้าว่า ดูก่อนปัสสิกะ ญาติทั้งหลายของเธอไม่มีโรคหรือ?
               ท่านเมื่อจะทูลถึงอุปการะที่ตนได้ทำแก่ญาติทั้งหลายแด่พระศาสดา จึงได้กล่าวคาถาไว้ ๓ คาถาว่า
                                   คนผู้มีศรัทธา มีปัญญา ดำรงอยู่ในธรรม ถึง
                         พร้อมด้วยศีล แม้คนเดียว ก็มีประโยชน์แก่ญาติพวก
                         พ้องทั้งหลาย ผู้ไม่มีศรัทธาในโลกนี้ ญาติทั้งหลาย
                         เหล่านั้นที่ข้าพระองค์ขู่ตักเตือน ด้วยความอนุเคราะห์
                         เพราะความรักกันฉันญาติและเผ่าพันธุ์ จึงพากันทำ
                         สักการะแก่ภิกษุทั้งหลาย ถึงแก่กรรมล่วงลับไปแล้ว
                         ก็ประสบความสุขที่เป็นไตรทิพย์ พี่น้องและโยมผู้
                         หญิงของข้าพระองค์ ผู้รักกามสุข ก็พากันบันเทิงใจ.

               บรรดาคาถาเหล่านั้น ในคาถาแรกมีเนื้อความดังต่อไปนี้
               ผู้ใดมีศรัทธา ด้วยอำนาจความเชื่อในกรรมและผลของกรรม และความเชื่อในพระรัตนตรัย ชื่อว่าผู้มีปัญญา เพราะประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณเป็นต้นนั้นนั่นเอง ชื่อว่าผู้ดำรงในธรรม เพราะตั้งอยู่ในพระธรรมคือพระพุทธโอวาท ได้แก่นวโลกุตรธรรม ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยอำนาจศีลที่เนื่องด้วยอาจาระ ศีลที่เนื่องด้วยมรรค และศีลที่เนื่องด้วยผล ผู้นั้นแม้คนเดียวก็มีประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกพ้อง ผู้ได้นามว่า ชื่อว่าญาติ เพราะหมายความว่าต้องรู้กันว่า คนเหล่านี้เป็นคนของเรา และชื่อว่าเผ่าพันธุ์ เพราะหมายความว่าผูกพันกันด้วยเครื่องผูกมัด คือความรักอย่างนั้น
               ในที่นี้คือในโลกนี้ ผู้ชื่อว่าไม่มีศรัทธาดังที่กล่าวมาแล้ว.
               เพื่อแสดงเนื้อความที่ท่านกล่าวไว้แล้ว โดยทั่วไปอย่างนี้แล้วให้น้อมเข้ามาสู่ตน ท่านพระปัสสิกเถระจึงได้กล่าวคาถานอกจากนี้ไว้ โดยนัยว่า นิคฺคยฺห ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิคฺคยฺห อนุกมฺปาย โจทิตา ญาตโย มยา ความว่า ญาติทั้งหลายอันข้าพระองค์ได้ขู่ตักเตือนไว้ว่า แม้ในปัจจุบันนี้ ท่านทั้งหลายเป็นคนยากจน เพราะไม่ได้ทำกุศลไว้ ต่อไปอย่าได้เสวยผลที่เศร้าหมองต่ำต้อยอีก.
               ญาติเหล่านั้น เมื่อไม่สามารถฝ่าฝืนโอวาทของข้าพระองค์ได้ เพราะความรักกันฉันญาติและเผ่าพันธุ์ คือเพราะความรักที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นเผ่าพันธุ์ของพวกเราดังนี้ จึงพากันทำสักการะ แล้วเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสในภิกษุทั้งหลาย คือพากันทำสักการะและความนับถือในภิกษุทั้งหลาย ด้วยการถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น และด้วยการอุปัฏฐาก เป็นผู้ถึงแก่กรรมล่วงลับไปแล้ว ได้ผ่านโลกนี้ไปแล้ว.
               คำว่า เต (ที่กล่าว) อีก เป็นเพียงนิบาต.
               บทว่า ติทิวํ สุขํ ได้แก่ ความสุขที่นับเนื่องในเทวโลก.
               อีกอย่างหนึ่ง ได้ประสบความสุขที่เป็นไตรทิพย์ ที่น่าปรารถนา.
               (เพื่อจะแก้คำถาม) ว่า ก็ท่านเหล่านั้น คือใคร? พระเถระจึงได้กล่าวว่า พี่น้องและโยมผู้หญิงของข้าพระองค์ ผู้รักความสุข พากันบันเทิงใจ.
               อธิบายว่า เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยวัตถุกามตามที่ตนต้องการพากันรื่นเริงใจ.

               จบอรรถกถาปัสสิกเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต ๘. ปัสสิกเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 313อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 314อ่านอรรถกถา 26 / 315อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6111&Z=6118
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=12256
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=12256
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :