บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร? แม้ท่านพระปัจจยเถระนี้ก็มีบุญญาธิการที่ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เมื่อสั่งสมบุญในภพนั้นๆ ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ได้ถือกำเนิดในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล ใน ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในสุคติเท่านั้น ในภัทรกัปที่มีพระ อยู่มาวันหนึ่ง คิดถึงทุกข์ในสงสาร เกิดความสังเวชอย่างยิ่ง นั่งอยู่ในวิหารอธิษฐานจิตว่า เราไม่ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว จักไม่ออกไปจากที่นี้ พยายามอยู่ก็ไม่สามารถให้วิปัสสนาเลื่อนสูงขึ้นได้ เพราะญาณยังไม่แก่กล้า. ท่านมรณภาพแล้ว ท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือกำเนิดในขัตติยสกุล ในพระนครโรหินี ได้รับพระนามว่าปัจจยะ ทรงเจริญวัยแล้ว สิ้นรัชสมัยของพระชนก ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ. อยู่มาวันหนึ่งได้ทรงปรารภจะทรงประกอบพลีกรรมเพื่อเป็นมหาราช. มหาชนได้มาชุมนุมกัน ณ สถานที่นั้น. เพื่อจะให้เกิดความเลื่อมใส แก่มหาชนนั้น ในสมาคมนั้น พระศาสดาประทับนั่งบนรัตนสิงหาสน์ในรัตนกูฏาคารที่ท้าวเวสวัณเนรมิตถวายแล้ว ได้ทรงแสดงธรรมแก่มหาชนผู้เฝ้ามองอยู่นั่นแหละ. การบรรลุธรรมได้มีแก่ชุมนุมชนหมู่ใหญ่. แม้พระเจ้าปัจจยราช ครั้นทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว ได้ทรงสละราชสมบัติ ถูกเหตุเก่าก่อนกระตุ้นเตือน จึงได้ทรงผนวช. พระ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า๑- พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดผู้ทรงเป็นอุดมบุรุษ ข้าพเจ้าได้เห็น ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้อันใดไว้ในครั้งนั้น เพราะการถวายผลไม้นั้น ข้าพเจ้าจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น ผลของการถวายผลไม้. ในภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าสังเวชสลดใจ ได้บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ. อนึ่ง ข้าพเจ้าบวชแล้วตั้งใจไว้ว่า จักไม่ออกจากวิหาร ได้พร่ำบำเพ็ญภาวนา ไม่ได้บรรลุประโยชน์สูงสุด ถึงจะไม่ได้บรรลุในทันใดนั้น แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าก็ดับกิเลสได้แล้ว สัมผัสทางที่ไม่จุติ ได้ลุถึงสถานที่ที่ไม่หวั่นไหวแล้ว. กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระ ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๓๘๕ อนึ่ง ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลโดยการสรรเสริญข้อปฏิบัติของตนเป็นหลัก จึงได้ภาษิตคาถา ๓ คาถาเหล่านี้ไว้ว่า ข้าพเจ้าบวชได้ ๕ วันได้เป็นพระเสขะ แต่ยังไม่ได้บรรลุ พระอรหัตผล ข้าพเจ้าเข้าไปวิหารแล้ว ได้มีความตั้งใจไว้ ว่า ในเมื่อถอนลูกศรคือตัณหาออกยังไม่ได้ ข้าพเจ้าก็จัก ไม่ฉัน ไม่ดื่ม ไม่ออกไปจากวิหาร จักไม่ให้แม้แต่สีข้าง ตกถึงพื้น ไม่เอนหลัง เมื่อข้าพเจ้านั้นพักอยู่อย่างนี้ คนจะ เห็นความเพียร และความก้าวหน้า วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้ บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าปฏิบัติแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจาหาหํ ปพฺพชิโต ความว่า ข้าพเจ้าเป็นพระเสขะ ๕ วัน. อธิบายว่า บวชแล้ว ๕ วันในวันที่ ๕ นับแต่บวชแล้วก็ได้สำเร็จ. บทว่า เสโข อปฺปตฺตมานโส ความว่า ชื่อว่าเป็นพระเสขะ เพราะศึกษาอธิสีลสิกขาเป็นต้น. ธรรมใดสิ้นมานะ คือตัดมานะขาดออกไปโดยไม่มีเหลือไว้ เพราะฉะนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า มานโส ได้แก่มรรคชั้นยอด (อรหัตมรรค) สิ่งที่มาจากธรรมที่สิ้นมานะ เพราะเกิดจากธรรมนั้นชื่อว่ามานัส ได้แก่พระอรหัตผล. ผู้ยังไม่บรรลุพระอรหัตผลนั้น. อีกอย่างหนึ่ง มานัส (คืออรหัต) นั้น ข้าพเจ้านี้ยังไม่ได้บรรลุ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัปปัตตมานสะ (ผู้ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตผล). บทว่า วิหารํ เม ปวิฏฺฐสฺส เจตโส ปณิธี อหุ (ข้าพเจ้าเข้าวิหารแล้วได้มีความตั้งใจไว้ว่า) ความว่า เมื่อข้าพเจ้าผู้เป็นพระเสขะเข้าไปสู่วิหารอันเป็นที่อยู่คือกระท่อมอย่างนี้ ได้มีความตั้งใจที่มีอาการดังที่กำลังกล่าวอยู่ในบัดนี้. อธิบายว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้อย่างนี้. ด้วยบทว่า นาสิสฺสํ เป็นต้นนี้ ท่านแสดงถึงความตั้งใจ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาสิสฺสํ ความว่า ข้าพเจ้าจักไม่ฉันคือจักไม่บริโภคโภชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อข้าพเจ้าถอนลูกศรคือกิเลสที่ปักใจข้าพเจ้ายังไม่ออก คือถอนยังไม่ได้. ผู้ศึกษาควรประกอบคำดังที่ว่ามานี้เข้าในทุกๆ บท. บทว่า น ปิวิสฺสามิ ความว่า เราจักไม่ดื่มน้ำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรดื่ม. บทว่า วิหารโต น นิกฺขเม ความว่า ข้าพเจ้าจะไม่ออกไปจากที่นี้ คือจากห้องที่ข้าพเจ้านั่งอยู่แล้วในขณะนี้. บทว่า นปิ ปสฺสํ นิปาเตสฺสํ ความว่า บรรดาสีข้างทั้ง ๒ ของร่างกาย บทว่า ตสฺส เมวํ วิหรโต ความว่า เมื่อข้าพเจ้านั้นตั้งจิตไว้อย่างนี้แล้ว พักอยู่ด้วยอำนาจแห่งการตั้ง บทว่า ปสฺส วิริยปรกฺกมํ ความว่า คนจะเห็น คือจะรู้ความพยายามที่ได้นามว่าวิริยะ เพราะจะต้องให้เคลื่อนไหวไปตามวิธี และได้นามว่าปรักกมะ เพราะก้าวไปสู่ที่ข้างหน้าที่เป็นความอุตสาหะ. แต่ว่า วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้ว คำ จบอรรถกถาปัจจยเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต ๒. ปัจจยเถรคาถา จบ. |