ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 300อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 301อ่านอรรถกถา 26 / 302อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๕
๔. โมฆราชเถรคาถา

               อรรถกถาโมฆราชเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระโมฆราชเถระ เริ่มต้นว่า ฉวิปาปก จิตฺตภทฺทก.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ บรรดาภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้าหมองทั้งหลาย มุ่งหมายตำแหน่งนั้นอยู่ ตั้งประณิธานบำเพ็ญบุญไว้ในภพนั้นๆ
               บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปะของพราหมณ์ทั้งหลาย ยังมาณพผู้เป็นพราหมณ์ให้ศึกษาวิชาและศิลปศาสตร์.
               วันหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้วเสด็จไปอยู่ มีใจเลื่อมใสแล้ว ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประนมกรอัญชลีไว้เหนือเศียร แล้วชมเชยพระศาสดาด้วยคาถา ๖ คาถามีอาทิว่า ยาวตา รูปิโน สตฺตา ดังนี้แล้วน้อมน้ำผึ้งเข้าไปถวายจนเต็มภาชนะ.
               พระศาสดาทรงรับประเคนน้ำผึ้งแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นอมาตย์ของพระราชาพระนามว่ากัฏฐวาหนะ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้อันพระราชาทรงส่งไปพร้อมกับบุรุษหนึ่งพัน เพื่อทูลอาราธนาพระศาสดา ไปสู่สำนักของพระศาสดาแล้ว ฟังธรรมได้มีศรัทธาบวชแล้ว บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี จุติจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดหมุนเวียนอยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่าโมฆราชะ เรียนศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี เกิดความสลดใจ บวชเป็นดาบสมีดาบสหนึ่งพันเป็นบริวาร ถูกส่งไปยังสำนักของพระศาสดา พร้อมกับดาบสทั้งหลายมีอชิตดาบสเป็นต้น เป็นคนที่ ๑๕ ของดาบสเหล่านั้นทูลถามปัญหาแล้ว ในเวลาจบการวิสัชนาปัญหา บรรลุพระอรหัตแล้ว.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สยัมภู พระนามว่าอัตถทัสสี ไม่ทรงแพ้อะไรๆ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จดำเนินไปในถนน
               เราแวดล้อมด้วยพวกศิษย์ทั้งหลายออกจากเรือนไป ครั้นแล้วได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายกของโลกที่ถนนนั้น เราได้ประนมอัญชลีบนเศียรเกล้า ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า ยังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว ชมเชยพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก สัตว์มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี ประมาณเท่าใด สัตว์เหล่านั้นย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ทั้งหมด
               เปรียบเหมือนสัตว์ในน้ำเหล่าใดเหล่าหนึ่ง สัตว์เหล่านั้นย่อมติดอยู่ภายในข่ายของคนที่เอาข่ายตาเล็กๆ เหวี่ยงลงในน้ำฉะนั้น.
               อนึ่ง สัตว์เหล่าใด คือสัตว์มีรูปและไม่มีรูป มีเจตนา (ความตั้งใจ) สัตว์เหล่านั้นย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ทั้งหมด.
               พระองค์ทรงถอนโลกอันอากูลด้วยความมืดมนนี้ขึ้นได้แล้ว สัตว์เหล่านั้นได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วย่อมข้ามกระแสความสงสัยได้ โลกอันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว อันความมืดท่วมทับ ทรงกำจัดความมืดได้ ส่งแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ พระองค์ผู้มีพระจักษุ เป็นผู้ทรงบรรเทาความมืดมนของสัตว์ทั้งปวง ชนเป็นอันมากฟังธรรมของพระองค์แล้ว จักนิพพานดังนี้แล้ว
               เราเอาน้ำผึ้งรวง อันไม่มีตัวผึ้งใส่เต็มหม้อแล้ว ประคองด้วยมือทั้งสองน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
               พระมหาวีรเจ้าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง ทรงรับด้วยพระหัตถ์อันงาม.
               ก็พระสัพพัญญูเสวยน้ำผึ้งนั้นแล้ว เสด็จเหาะขึ้นสู่นภากาศ. พระศาสดาพระนามว่าอัตถทัสสีนราสภ ประทับอยู่ในอากาศ ทรงยังจิตของเราให้เลื่อมใส ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
               ผู้ใดชมเชยญาณนี้และชมเชยพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ผู้นั้นจะไม่ไปสู่ทุคติ และผู้นั้นจักเสวยเทวรัชสมบัติ ๔๖ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราช เสวยสมบัติอยู่ในแผ่นดินนับไม่ถ้วน จักเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์รู้จบไตรเพท จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโคดม จักพิจารณาอรรถอันลึกซึ้ง อันละเอียดได้ด้วยญาณ จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า 'โมฆราช' จักถึงพร้อมวิชชา ๓ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
               พระโคดมผู้ทรงเป็นยอดของผู้นำหมู่ จักทรงตั้งผู้นั้นไว้ในเอตทัคคสถาน
               เราละกิเลสเครื่องประกอบของมนุษย์ ตัดเครื่องผูกพันในภพ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๓๗

               ก็พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว ทรงผ้าบังสุกุลจีวรอันประกอบด้วยความเศร้าหมองครบทั้ง ๓ อย่างคือ เศร้าหมองด้วยมีด เศร้าหมองด้วยด้าย (และ) เศร้าหมองด้วยน้ำย้อม ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้ทรงจีวรอันเศร้าหมองทั้งหลาย.
               ในเวลาต่อมา โรคทั้งหลายมีหิดเปื่อยและต่อมน้ำเหลืองเป็นต้นเกิดลุกลามไปตามร่างกายของพระเถระ เพราะกรรมเก่าเป็นปัจจัย (และ) เพราะไม่ทำความสะอาดร่างกาย. พระเถระคิดว่า เสนาสนะทำให้ร่างกายเดือดร้อน จึงเอาเครื่องลาดที่ทำด้วยฟางในนาของชาวมคธ มาปูลาดนอนแม้ในเหมันตฤดู.
               วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามท่านผู้เข้าไปสู่ที่บำรุง ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง โดยทำนองปฏิสันถาร ด้วยพระคาถาที่ ๑ ใจความว่า
                                   ดูก่อนโมฆราชภิกษุ ผู้มีผิวพรรณเศร้าหมอง
                         แต่มีจิตผ่องใส ท่านเป็นผู้มีใจตั้งมั่นเป็นนิตย์ จักทำ
                         อย่างไรตลอดราตรีแห่งเวลาหนาวเย็นเช่นนี้ ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉวิปาปก ความว่า ดูก่อนท่านผู้ชื่อว่ามีผิวพรรณเศร้าหมอง คือ ชื่อว่ามีผิวพรรณไม่ผ่องใส เพราะความเป็นผู้มีผิวพรรณ แตกไหลเยิ้มไปด้วยหิดเปื่อย หิตด้านและต่อมน้ำเหลืองเป็นต้น.
               บทว่า จิตฺตภทฺทก ความว่า ดูก่อนท่านผู้ชื่อว่ามีจิตงามคือมีจิตอันสุนทร เพราะละกิเลสได้โดยไม่เหลือ และเพราะมีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องเสพ.
               บทว่า โมฆราช เป็นคำเรียกพระเถระนั้น.
               บทว่า สตตํ สมาหิโต ความว่า เป็นผู้มีมนัสประกอบแล้วด้วยอัครผลสมาธิตลอดกาลเป็นนิตย์ คือเป็นประจำ.
               บทว่า เหมนฺตกสีตกาลรตฺติโย ความว่า ตลอดรัตติกาลอันหนาวเย็นในเหมันตสมัย. ก็บทนี้เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอัจจันตสังโยคะ. (บางแห่ง) บาลีเป็น เหมนฺติกาสีตกาลรตฺติโย ก็มี.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหมนฺติกา ความว่า ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวคือนับเนื่องในฤดูเหมันต์.
               บทว่า ภิกฺขุ ตฺวํสิ ความว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจะเป็นอย่างไร คือเธอมีสภาพเป็นอย่างนี้ เมื่อผู้อื่นไม่ทำเสนาสนะให้ท่าน และท่านก็ไม่เข้าไปสู่เสนาสนะอันเป็นของสงฆ์.
               บทว่า กถํ กริสฺสสิ ความว่า พระศาสดาตรัสถามว่า เธอจักยังอัตภาพให้เป็นไปได้อย่างไร ในฤดูกาลอันหนาวเย็นเช่นที่กล่าวแล้ว.
               ก็พระเถระอันพระศาสดาตรัสถามแล้วอย่างนี้ เมื่อจะกราบทูลความนั้นจึงกล่าวคาถาความว่า
                         ข้าพระองค์ได้ฟังมาว่า ประเทศมคธล้วนแต่สมบูรณ์
                         ด้วยข้าวกล้า ข้าพระองค์พึงคลุมกายด้วยฟาง แล้ว
                         นอนให้เป็นสุข เหมือนคนเหล่าอื่นที่มีการเป็นอยู่
                         อย่างเป็นสุขฉะนั้น ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปนฺนสฺสา ความว่า มีข้าวกล้าสำเร็จแล้ว (คือสุกพอจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว).
               พระเถระเรียกแคว้นมคธว่า มคธา ราชกุมารชาวชนบททั้งหลาย ชื่อว่ามคธ ชนบทแม้แห่งเดียวอันเป็นที่อยู่ของราชกุมารชาวชนบทเหล่านั้น ท่านก็เรียกเป็นพหุวจนะว่า มคธา เหมือนกัน โดยเป็น รุฬหี ศัพท์.
               บทว่า เกวลา ความว่า ไม่มีส่วนเหลือ.
               บทว่า อิติ เม สุตํ ความว่า อันข้าพระองค์ฟังมาแล้วอย่างนี้.
               บทว่า สุตํ ท่านกล่าวแล้วด้วยสามารถแห่งประเทศที่ท่านยังไม่เคยเห็นในบรรดาประเทศเหล่านั้น.
               ด้วยบทว่า อิติ เม สุตํ นี้ พระเถระแสดงความหมายว่า ในกาล (อันหนาวเย็น) เช่นนี้ เราสามารถจะอยู่ในแคว้นมคธ ได้ทุกแห่งหน.
               บทว่า ปลาลจฺฉนฺนโก เสยฺยํ ยถญฺเญ สุขชีวิโน ความว่า พระเถระประกาศยถาลาภสันโดษของตนว่า
               ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่สุขสบายเหล่าอื่นได้เสนาสนะอันเป็นที่สบายแล้วย่อมนอนโดยมีความสุข เพราะเครื่องลาดและผ้าห่มที่ดีฉันใด แม้ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น ชื่อว่าคลุมกายด้วยฟาง เพราะเบื้องล่างก็ปูลาดด้วยฟางอย่างเดียว ข้างบนและด้านขวาง ก็คลุมร่างด้วยเครื่องปกคลุมคือฟางเท่านั้น นอนได้อย่างสบาย คือนอนได้เป็นสุข.

               จบอรรถกถาโมฆราชเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๕ ๔. โมฆราชเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 300อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 301อ่านอรรถกถา 26 / 302อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6001&Z=6007
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=11320
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=11320
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :