ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 257อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 258อ่านอรรถกถา 26 / 259อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๑
๑. อุตตรเถรคาถา

               ทุกนิบาตอรรถวรรณนา               
               วรรควรรณนาที่ ๑               
               อรรถกถาอุตตรเถรคาถา               
               พึงทราบวินิจฉัยในทุกนิบาต ดังต่อไปนี้ :-
               คาถาของท่านพระอุตตรเถระ เริ่มต้นว่า นตฺถิ โกจิ ภโว นีโจ.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ. เขาเป็นวิชาธร ท่องเที่ยวไปโดยอากาศ.
               ก็โดยสมัยนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงเปล่งพระพุทธรังสีมีวรรณะ ๖ ประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง เขาเหาะไปโดยอากาศ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส ลงจากอากาศ บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกกรรณิการ์ อันสะอาดบริสุทธิ์ด้วยดี ไพบูลย์.
               ด้วยพุทธานุภาพ (บันดาลให้) ดอกไม้ทั้งหลายตั้งอยู่ในเบื้องบนของพระศาสดา โดยอาการของฉัตร ด้วยพุทธานุภาพนั้น ทำให้เขามีจิตเลื่อมใสยิ่งกว่าประมาณ ต่อมากระทำกาละแล้ว เกิดในภพดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร ดำรงอยู่ในภพดาวดึงส์นั้นจนตลอดอายุ ต่อแต่นั้น ก็ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล ในพระนครราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่าอุตระ.
               เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชชาของพราหมณ์ เป็นผู้เกิดมาทำโลกให้เจริญโดยรูป โดยวิชา โดยวัยและโดยศีลาจารวัตร. มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ ชื่อว่าวัสสการะ เห็นสมบัตินั้นของเขาแล้ว เป็นผู้มีความประสงค์จะยกธิดาของตนให้ แจ้งความประสงค์ของตนแล้ว.
               เขาปฎิเสธความหวังดีนั้น เพราะความเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในพระนิพพาน เข้าไปนั่งใกล้พระธรรมเสนาบดี ฟังธรรมในสำนักตามเวลาที่เหมาะสม ได้เป็นผู้มีศรัทธาบวชแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติพระเถระ.
               ก็โดยสมัยนั้น อาพาธบางอย่างเกิดแก่พระเถระ เพื่อจะจัดยาถวายพระเถระ อุตตรสามเณรจึงถือเอาบาตรจีวรออกจากวิหารไปแต่เช้าทีเดียว วางบาตรไว้ที่ริมฝั่งทะเลสาบ ในระหว่างทางเดินไปใกล้น้ำแล้วล้างหน้า. ลำดับนั้น โจรทำลายอุโมงค์คนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ติดตาม หนีออกจากพระนครโดยทางประตูด้านหน้านั่นแหละ ใส่ห่อรัตนะที่ตนลักมาไว้ในบาตรของสามเณรแล้วหนีไป.
               สามเณรเดินเข้าไปใกล้บาตร พวกราชบุรุษที่ติดตามโจรมา เห็นห่อของในบาตรของสามเณร จึงกล่าวว่า สามเณรนี้เป็นโจร สามเณรนี้ประพฤติเป็นโจร แล้วจับสามเณรมัดมือไพร่หลัง ส่งให้วัสสการพราหมณ์.
               ก็ในครั้งนั้น วัสสการพราหมณ์ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งผู้วินิจฉัยคดีของพระราชา สั่งการลงโทษประหารและทรมานได้. เขาไม่ยอมไต่สวนทวนพยานเลย สั่งให้เอาหลาวเสียบประจานสามเณรทั้งเป็นๆ เพราะผูกอาฆาตว่า เมื่อก่อนสามเณรไม่เอื้อเฟื้อคำของเรา ไปบวชในลัทธินอกรีตนอกรอย.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูความแก่รอบแห่งญาณของอุตตรสามเณรแล้ว เสด็จไปสู่ที่นั้น ทรงวางพระหัตถ์ซึ่งมีพระองคุลียาวอ่อนนุ่ม คลุมด้วยเปลวรัศมี ประดุจสายธารทองคำสีแดงธรรมชาติที่กำลังหลั่งอยู่ เพราะประกอบด้วยรัศมีสีขาว แพรวพราวไปด้วยแสงแห่งแก้วมณีที่นิ้วมืออันสั่นพริ้วอยู่บนศีรษะของอุตตรสามเณร แล้วตรัสว่า ดูก่อนอุตตระ นี้เป็นผลของกรรมเก่า เกิดขึ้นแล้วแก่เธอ เธอต้องทำความอดกลั้นด้วยกำลังแห่งการพิจารณาในผลของกรรมนั้น ดังนี้ แล้วทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่อัธยาศัย.
               อุตตรสามเณรกลับได้ปีติและปราโมทย์อันโอฬาร เพราะความเป็นผู้มีความเลื่อมใส และโสมนัสอันเกิดแล้วด้วยสัมผัสแห่งพระหัตถ์ของพระศาสดา คล้ายกับทรงราดรดด้วยน้ำอมฤต ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนามรรค ตามที่สั่งสมไว้ ยังกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปแล้วตามลำดับแห่งมรรคในทันใดนั้นเอง เพราะถึงความแก่รอบแห่งญาณ และเพราะเทศนาอันงดงามไพเราะของพระศาสดา.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สุเมธะ" มีพระมหาปุริสลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ พระองค์ทรงประสงค์ความสงัดจึงเสด็จไปป่าหิมพานต์ พระมุนีผู้เลิศประกอบด้วยพระกรุณา เป็นอุดมบุรุษ เสด็จถึงป่าหิมพานต์แล้วประทับนั่งขัดสมาธิ.
               ครั้งนั้น เราเป็นวิทยาธร สัญจรไปในอากาศ เราถือตรีศูลซึ่งกระทำไว้ดีแล้ว เหาะไปในอัมพร.
               พระพุทธเจ้าส่องสว่างอยู่ในป่า เหมือนกับไฟบนยอดภูเขา เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ และเหมือนต้นพระยารังที่มีดอกบาน เราออกจากป่าเหาะไปตามพระรัศมีของพระพุทธเจ้า เห็นคล้ายกับสีของไฟที่ไหม้ไม้อ้อ ยังจิตให้เลื่อมใส เราเลือกเก็บดอกไม้อยู่ ได้เห็นดอกกรรณิการ์ที่มีกลิ่นหอม จึงเก็บเอามา ๓ ดอกบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ครั้งนั้น ดอกไม้ของเราทั้ง ๓ ดอกเอาขั้วขึ้น เอากลีบลง ทำเป็นร่มเงาบังพระศาสดา.
               ด้วยกรรมที่ได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนง เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมานของเราสูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์อันบุญกรรมทำให้อย่างสวยงาม ในดาวดึงส์นั้นปรากฎชื่อว่ากรรณิการ์
               แล่งธนูตั้งพันลูกคลีหนังตั้งร้อย คนถือธงสำเร็จด้วยสีเขียวใบไม้ มีประตูหน้าต่างตั้งแสนปรากฏในปราสาทของเรา บัลลังก์สำเร็จด้วยทองก็มี สำเร็จด้วยแก้วมณีก็มี สำเร็จด้วยแก้วทับทิมก็มี สำเร็จด้วยแก้วผลึกก็มี ตามแต่จะต้องการปรารถนา ที่นอนมีค่ามากยัดด้วยนุ่น มีผ้าลวดลายรูปสัตว์ต่างๆ มีราชสีห์เป็นต้น ผ้าลาดมีชายเดียว มีหมอนพร้อมปรากฏว่ามีอยู่ในปราสาทของเรา
               ในเวลาที่เราปรารถนาจะออกจากภพ เที่ยวจาริกไปในเทวโลก ย่อมเป็นผู้อันหมู่เทวดาแวดล้อมไป เราสถิตอยู่ภายใต้ดอกไม้ เบื้องบนเรามีดอกไม้เป็นเครื่องกำบัง สถานที่โดยรอบ ๑๐๐ โยชน์ถูกคลุมด้วยดอกกรรณิการ์ ดนตรีหกหมื่นบำรุงเราทั้งเช้าและเย็น ไม่เกียจคร้านแวดล้อมเราเป็นนิตย์ ตลอดคืนตลอดวัน เรารื่นรมย์ด้วยการฟ้อน การขับและด้วยกังสดาล เครื่องประโคม เป็นผู้มักมากด้วยกาม บันเทิงอยู่ด้วยความยินดีในการเล่น.
               ครั้งนั้น เราบริโภคและดื่มในวิมานนั้น บันเทิงอยู่ในไตรทศ เราพร้อมด้วยหมู่นางเทพอัปสร บันเทิงอยู่ในวิมานอันสูงสุด เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๕๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๐๐ ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับมิได้
               เมื่อเรายังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมได้โภคทรัพย์มากมาย ความบกพร่องในโภคทรัพย์ไม่มีแก่เราเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเกิดในสองสกุล คือ ในสกุลกษัตริย์หรือสกุลพราหมณ์ ย่อมไม่เกิดในสกุลต่ำทราม นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา.
               ยานช้าง ยานม้าและวอคานหาบ นี้เราได้ทุกสิ่งทุกอย่างทีเดียว นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. หมู่ทาส หมู่ทาสีและนารีที่ประดับประดาแล้ว เราได้ทุกอย่างทีเดียว นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. ผ้าแพร ผ้าขนสัตว์ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้ายเราได้ทุกชนิด นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. ผ้าใหม่ ผลไม้ใหม่ โภชนะมีรสอันเลิศใหม่ๆ เราได้ทุกชนิด นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา.
               คำว่า เชิญเคี้ยวสิ่งนี้ เชิญบริโภคสิ่งนี้ เชิญนอนบนที่นอนนี้ เราได้ทั้งนั้น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเป็นผู้อันเขาบูชาในที่ทุกสถาน เรามียศใหญ่ยิ่ง มีศักดิ์ใหญ่ มีบริษัทไม่แตกแยกทุกเมื่อ เราเป็นผู้อุดมกว่าหมู่ญาติ นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราไม่รู้จักหนาว ไม่รู้จักร้อน ไม่มีความกระวนกระวาย. อนึ่ง ทุกข์ทางจิตย่อมไม่มีในหทัยของเราเลย เราเป็นผู้มีผิวพรรณดังทองคำ เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ความเป็นผู้มีวรรณะผิดแผกไป เราไม่รู้จักเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา.
               เราอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จึงจุติจากเทวโลก มาเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลอันมั่งคั่ง ในพระนครสาวัตถี ละกามคุณ ๕ ออกบวชเป็นบรรพชิต เรามีอายุได้ ๗ ขวบแต่กำเนิดได้บรรลุพระอรหัต.
               พระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาจักษุ ทรงทราบถึงคุณของเรา จึงรับสั่งให้เราอุปสมบท เรายังหนุ่มก็ควรบูชา นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. ทิพยจักษุของเราบริสุทธิ์ เราฉลาดในสมาธิ ถึงความบริบูรณ์แห่งอภิญญา นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราบรรลุปฎิสัมภิทา ฉลาดหลักแหลมในอิทธิบาท ถึงความบริบูรณ์ในพระสัทธรรม นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๙๑

               ก็อุตตรสามเณรเป็นผู้มีอภิญญา ๖ ลุกขึ้นจากหลาวแล้วยืนอยู่ในอากาศ แสดงปาฏิหาริย์ด้วยความอนุเคราะห์ในผู้อื่น มหาชนได้เกิดมีจิตอัศจรรย์ในปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมี. แผล (เก่า) ของท่านได้ผุดขึ้นในทันใดนั่นเอง.
               ท่านอันภิกษุทั้งหลาย ถามว่า อาวุโส ท่านเสวยทุกข์เช่นนั้นอยู่สามารถขวนขวายวิปัสสนาได้อย่างไร?
               เมื่อจะแสดงความว่า ดูก่อนอาวุโส จะป่วยกล่าวไปไย ถึงโทษในสงสารของเรา ก็สภาพของสังขารทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็เห็นดีแล้ว เราแม้เสวยทุกข์เช่นนั้นอยู่อย่างนี้ ก็ยังสามารถเจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัตได้ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
                         ภพอะไรที่เที่ยงไม่มี แม้สังขารที่เที่ยงก็ไม่มี ขันธ์เหล่านั้น
                         ย่อมเวียนเกิดและเวียนดับไป เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มี
                         ความต้องการด้วยภพ เราสลัดตนออกจากกามทั้งปวง บรรลุ
                         ถึงความสิ้นอาสวะแล้วดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นตฺถิ โกจิ ภโว นิจฺโจ ความว่า ภพทั้งหลายแยกประเภทออกไปอย่างนี้ คือ กรรมภพ อุปปัตติภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ (และ) ปัญจโวการภพ.
               แม้ในบรรดาภพเหล่านั้น ภพอย่างใดอย่างหนึ่งที่จำแนกออกไปอย่างนี้ว่า เลว ปานกลาง อุกฤษฏ์ มีอายุยืน มากด้วยความสุข มีสุขและทุกข์คลุกเคล้ากันไป ดังนี้ จะเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีอันไม่ต้องเพ่งดูเป็นธรรมดา ไม่มีเลย เพราะต้องอาศัยเหตุนั้นๆ จึงเกิดขึ้น.
               ประกอบความว่า ก็เพราะการณ์เป็นอย่างนี้แหละ ฉะนั้น แม้สังขารทั้งหลายจะชื่อว่าเที่ยงไม่มีเลย.
               สังขารทั้งหลายนั่นแหละ ชื่อว่าเป็นของเกิดแล้ว โดยการกำหนดหมายรู้ เพราะอาศัยเบญจขันธ์อันได้นามว่าสังขาร เพราะเหตุที่ปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเพราะชราและมรณะ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าไม่เที่ยง มีการแปรปรวนไปเป็นธรรมดา.
               จริงอย่างนั้น วิปริณามธรรมเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า สังขาร ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ขันธ์เหล่านั้นย่อมเวียนเกิดและเวียนดับไป โดยมีอธิบายว่า เบญจขันธ์ที่ท่านกล่าวไว้โดยปริยายแห่งภพ และโดยปริยายแห่งสังขารเหล่านั้น ย่อมเวียนเกิดไปตามปัจจัยและเกิดแล้ว ถูกชราเบียดเบียนบีบคั้น ย่อมเคลื่อน คือแตกสลายไป.
               ด้วยบทว่า อุปฺปชฺชนฺติ จ เต ขนฺธา จวนฺติ อปราปรํ นี้ พระเถระแสดงความหมายว่า เบญจขันธ์ที่ได้ชื่อว่า ภพก็ดี สังขารก็ดี มีการเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นสภาพ.
               เพราะเหตุที่เมื่อพระโยคาวจรยกเบญจขันธ์ขึ้นสู่ไตรลักษณ์ แล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายอยู่ ภพแม้ทั้ง ๓ ย่อมปรากฏชัดดุจถูกไฟเผาแล้ว จะป่วยกล่าวไปไยถึงสังขารทั้งหลายที่พระโยคาวจรรู้อาทีนพ คือโทษในเบญจขันธ์ที่ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ว่าเป็นเหมือนเรือนที่ถูกไฟไหม้แล้ว ด้วยวิปัสสนาปัญญา เห็นแล้วโดยเป็นอนิจจลักษณะ ย่อมปรากฏชัดกว่า เพราะความที่สังขารเป็นทุกข์ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา.
               เพราะเหตุที่ เมื่อพระโยคาวจรยกเบญจขันธ์ขึ้นสู่ไตรลักษณ์ แล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายอยู่ ภพแม้ทั้ง ๓ ย่อมปรากฎว่ามีภัยเฉพาะหน้าดุจเรือนที่ถูกไฟไหม้ ฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ภเวนมฺหิ อนตฺถิโก (เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มีความต้องการด้วยภพ).
               ประกอบความว่า ก็แม้เล่ห์เหลี่ยมที่มุ่งหมายในกามทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่ทำตนให้หมุนกลับจากภพทั้งหลายได้โดยประการทั้งปวงอย่างนี้
               ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า นิสฺสโฏ สพฺพกาเมหิ เราเป็นผู้สลัดตนออกแล้วจากกามทั้งปวงดังนี้. อธิบายว่า เราเป็นผู้มีจิตหมุนกลับจากกามทั้งหลายแม้เป็นทิพย์ (เห็น) เป็นเหมือนของมนุษย์.
               บทว่า ปตฺโต เม อาสวกฺขโย ความว่า เพราะเหตุที่เราเป็นผู้มีสังขารอันขจัดขัดเกลาดีแล้ว เห็นโทษในภพทั้งหลายโดยชัดเจน และมีใจไม่ข้องแวะในกามทั้งหลาย ฉะนั้น ถึงแม้เราจะนั่งอยู่แล้วบนปลายหลาว เราก็ได้บรรลุ คือถึงทับความสิ้นไปแห่งอาสวะ อันได้แก่พระนิพพานและพระอรหัตผล.
               พระเถระให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ก็เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายเหล่าอื่นผู้มีใจยังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ พึงกระทำความอุตสาหะเพื่อบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะนั้น.

               จบอรรถกถาอุตตรเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๑ ๑. อุตตรเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 257อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 258อ่านอรรถกถา 26 / 259อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5673&Z=5681
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=8253
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=8253
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :