บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ บังเกิดในกำเนิดนายพราน ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปิยทัสสี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปิยทัสสี ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติที่ชัฏป่าแห่งหนึ่ง ในที่เป็นที่ท่องเที่ยวของเขาผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา. และเขาก็กำลังแสวงหาเนื้อไปสู่ที่นั้น พบพระศาสดา เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ใช้ดอกปทุมมุงบังมณฑปที่ทำด้วยกิ่งไม้ ซึ่งสร้างไว้สำหรับให้พระผู้มีพระภาคเจ้า พอครบ ๗ วัน พระศาสดาก็เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงระลึกถึงภิกษุสงฆ์ ในทันใดนั้นเอง ภิกษุทั้งหลายประมาณ ๘๐,๐๐๐ รูปก็พากันมาแวดล้อมพระศาสดา. เทวดาทั้งหลายมาประชุมกันด้วยคิดว่า พวกเราจักฟังพระธรรมกถาอันไพเราะได้เป็นมหาสมาคมแล้ว. พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนา ทรงพยากรณ์สมบัติอันจะบังเกิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย และสาวกโพธิญาณในพุทธุปบาทกาลนี้แก่เขาแล้วเสด็จหลีกไป. ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นผู้เรียนจบไตรเพท ได้สมัญญานามว่าปาราปริยะ เพราะเป็นเผ่าพันธุ์แห่งปราปรโคตร สอนมนต์กะพราหมณ์ทั้งหลายจำนวนมาก เห็นพุทธานุภาพคราวเมื่อพระศาสดาเสด็จมาพระนครราชคฤห์ ได้ศรัทธาจิตแล้วบวช เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า "วิปัสสี" ผู้สยัมภู เป็นนายกของโลก ตรัสรู้แล้วเอง ทรงใคร่ในวิเวก ฉลาดในสมาธิ เป็นมุนี พระมหามุนีพระนามว่าปิยทัสสี ผู้อุดมบุรุษ เสด็จไปสู่ไพรสณฑ์ ทรงลาดผ้าบังสุกุลแล้วประทับนั่งอยู่ ในกาลก่อน เราเป็นพรานเนื้ออยู่ในป่าใหญ่. ในกาลนั้น เราเที่ยวแสวงหาเนื้อฟาน (อีเก้ง) อยู่ในป่านั้น เราได้เห็น พระพุทธชินเจ้าพระนามว่าปิยทัสสี เป็นมหามุนีผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา ประทับอยู่ในกูฏาคาร ๗ คืน ๗ วัน เราเอาดอกปทุมที่เก่าๆ ทิ้งเสียแล้ว มุงบังด้วยดอกปทุมใหม่ๆ ขณะนั้นเราได้ยืนประนมกรอัญชลีอยู่. พระมหามุนีพระนามว่าปิยทัสสี ผู้เป็นนายกของโลก เสด็จออกจากสมาธิแล้ว ประทับนั่งเหลียวแลดูทิศอยู่ ในกาลนั้น พระเถระผู้อุปัฏฐากนามว่าสุทัสสนะ มีฤทธิ์มาก รู้พระดำริของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปิยทัสสี ผู้ศาสดาอันภิกษุ ๘๐,๐๐๐ แวดล้อมแล้ว เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ซึ่งประทับนั่งทรงพระสำราญอยู่ที่ชายป่า และในกาลนั้น เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในไพรสณฑ์ประมาณเท่าใด เทวดาเหล่านั้นทราบพระพุทธดำริแล้วพากันมาประชุมทั้งหมด เมื่อพวกยักษ์กุมภัณฑ์พร้อมทั้งผีเสื้อน้ำมาพร้อมกัน และเมื่อภิกษุสงฆ์มาถึงพร้อมแล้ว พระชินเจ้าได้ตรัสพระคาถาว่า ผู้ใดบูชาเราตถาคตตลอด ๗ วัน และได้สร้างอาวาสถวายเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว เราจักพยากรณ์สิ่งที่เห็นได้ยากนัก ละเอียดนัก ลึกซึ้ง ปรากฏดีด้วยญาณ ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจะได้เสวยสมบัติในเทวโลกตลอด ๑๔ กัป เทวดาทั้งหลายจักทรงกูฏาคารอันประเสริฐที่มุงบังด้วยดอกปทุมไว้แก่ผู้นั้นในอากาศ นี้เป็นผลแห่งกรรมคือการบูชาด้วยดอกไม้. เขาจักเที่ยวอยู่ตลอด ๑,๔๐๐ กัปเต็มแล้ว ใน ๑,๔๐๐ กัปนั้น วิมานดอกไม้จักทรงอยู่ในอากาศ น้ำย่อมไม่ติดในใบบัวฉันใด กิเลสก็ไม่ติดอยู่ในญาณของผู้นั้นฉันนั้น ผู้นี้หมุนกลับนิวรณ์ทั้ง ๕ ออกไปด้วยใจ ยังจิตให้เกิดในเนกขัมมะแล้วจัก เมื่อผู้นั้นเที่ยวไปพร้อมด้วย เจตนาในจีวรและบิณฑบาตย่อมไม่มีแก่เรา เราประกอบด้วยบุญกรรมจึงได้จีวรและบิณฑบาตที่สำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ล่วงเราไปเปล่าๆ พ้นไปแล้วด้วยดี ตลอดโกฏิกัปเป็นอันมาก โดยจะนับประมาณมิได้ ในกัปที่ ๑,๘๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราจึงได้เฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่าปิยทัสสี ผู้แนะนำอย่างวิเศษ แล้วจึงเข้าถึงกำเนิดนี้ เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมะ ผู้มีจักษุ ได้เข้าเฝ้าพระองค์แล้วบวช ในกัปที่ ๑,๘๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้. ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๓๙๗ ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาดูข้อปฏิบัติของตนเกิดความโสมนัสแล้ว ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถแห่งอุทานว่า เราละผัสสายตนะ ๖ ประการได้แล้ว เป็นผู้คุ้มครองทวาร สำรวมด้วยดี กำจัดเสียได้ซึ่งสรรพกิเลสอันเป็นมูลรากแห่ง วัฏทุกข์ บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉผสฺสายตเน หิตฺวา ความว่า ละซึ่งอายตนะอันเป็นไปในภายใน ๖ มีจักษุเป็นต้น อันได้นามว่าผัสสายตนะ เพราะเป็นที่บังเกิดขึ้นแห่งสัมผัสทั้งหลาย ๖ มีจักษุสัมผัสเป็นต้น ได้ด้วยสามารถแห่งการละความเศร้าหมองอันเนื่องด้วยอายตนะที่เป็นไปในภายในนั้น. บทว่า คุตฺตทฺวาโร สุสํวุโต ความว่า เพราะเหตุนั้นแลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว สำรวมแล้วด้วยดี เพราะคุ้มครองทวารทั้งหลายมีจักษุทวารเป็นต้น (และ) เพราะปกปิดไว้แล้วด้วยดีซึ่งการกระทำอันเป็นไปในจักษุทวารเป็นต้นนั้น ด้วยประตูคือสติอันห้ามเสียซึ่งการเข้าไปแห่งบาปธรรมทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า คุตฺตทฺวาโร สุสํวุโต นี้ พึงทราบความอย่างนี้ว่า ชื่อว่ามีทวารอันคุ้มครองแล้ว เพราะรักษาทวารทั้ง ๖ อันเป็นอิฏฐารมณ์ คือใจไว้ได้โดยนัยดังกล่าวแล้ว ชื่อว่าสำรวมดีแล้ว เพราะสำรวมแล้วด้วยดี ด้วยทวารทั้งหลายมีกายทวารเป็นต้น. บทว่า อฆมูลํ วมิตฺวาน ความว่า กำจัดเสียได้ซึ่งโทษ กล่าวคืออวิชชาและภวตัณหาอันเป็นรากเหง้าของทุกข์ คือวัฏทุกข์ หรือคายกิเลสโทษทั้งปวง คือกระทำให้ออกไปนอกสันดานด้วยน้ำสำหรับสำรอก กล่าวคือพระอริยมรรค หรือเพราะเหตุ คือการกระทำให้มีในภายนอก. บทว่า ปตฺโต เม อาสวกฺขโย ความว่า ชื่อว่าอาสวักขัย เพราะเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายมี พระเถระนั้นพยากรณ์พระอรหัตผลด้วยสามารถแห่งอุทานว่า เราบรรลุคือถึงความสิ้นอาสวะแล้ว ดังนี้. จบอรรถกถาปาราปริยเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๑๒ ๖. ปาราปริยเถรคาถา จบ. |