บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เป็นอันมาก เกิดเป็นจระเข้มีรูปร่างใหญ่โต ณ แม่น้ำจันทภาคา ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ ในกัปที่ ๙๔ นับแต่ภัทรกัปนี้ถอยหลังไป. มันเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่ฝั่งแม่น้ำเพื่อจะข้ามฟาก มีจิตเลื่อม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูความเลื่อมใสแห่งจิตของเขาแล้วทรงพยากรณ์ เขาวนไปวนมาอยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น ด้วยอาการอย่างนั้น เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า อุตติยะ. เขาเจริญวัยแล้วคิดว่า เราจักแสวงหาอมตธรรมจึงบวชเป็นปริพาชกเที่ยวไป วันหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรมแล้ว ถึงแม้จะบวชในพระศาสนา ก็ไม่อาจจะยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ เห็นภิกษุเหล่าอื่นยังคุณวิเศษให้เกิดแล้วพยากรณ์พระอรหัตผล จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอโอวาทโดยสังเขปเท่านั้น. แม้พระบรมศาสดาก็ได้ทรงประทานโอวาทแก่ท่าน โดยย่อๆ เท่านั้นมีอาทิว่า ดูก่อนอุตติยะ เพราะฉะนั้น เธอในธรรมวินัยนี้จงชำระศีลให้บริสุทธิ์เป็นเบื้องต้นทีเดียว. ท่านตั้งอยู่ในโอวาทของพระศาสดาแล้ว ปรารภวิปัสสนา. อาพาธเกิดแก่ท่านผู้เริ่มวิปัสสนาแล้ว ก็เมื่ออาพาธเกิดขึ้นแล้ว ท่านเกิดความสังเวช เริ่มตั้งความเพียร ทำกรรมในวิปัสสนา ขวนขวายวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัต. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า เวลานั้นเราเป็นจระเข้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา เราขวนขวายหาเหยื่อของตนได้ไปยังท่าน้ำ สมัยนั้น พระสยัมภูผู้อรรคบุคคลพระนามว่าสิทธัตถะ พระองค์ประสงค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำ จึงเสด็จเข้ามาสู่ท่าน้ำ ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง แม้เราก็มาถึงที่ท่าน้ำนั้น เราได้เข้าไปใกล้พระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้กราบทูลดังนี้ว่า ขอเชิญเสด็จขึ้น (หลังข้าพระองค์) เถิดพระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์จักส่งพระองค์ให้ข้ามไป ขอพระองค์ทรงอนุเคราะห์ วิสัยอันเป็นส่วนของบิดาของข้าพระองค์เถิด พระมหามุนีทรงสดับคำทูลเชิญของเราแล้วเสด็จขึ้น (หลัง) เราร่าเริงมี เราเคลื่อนจากกายนั้นแล้วได้ไปสู่เทวโลก แวดล้อมไปด้วยนางอัปสร เสวยสุขอันเป็นทิพย์อยู่ เราได้เป็นจอมเทวดา เสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๗ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้า คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว กิเลสทั้งหลายเราเผาหมดแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้. ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล โดยมุขคือการประกาศอาการที่บริบูรณ์ ด้วยสัมมาปฏิบัติของตน จึงได้ภาษิตคาถาว่า เมื่ออาพาธบังเกิดแก่เรา สติก็เกิดขึ้นแก่เราว่า อาพาธเกิดขึ้นแก่เราแล้ว เวลานี้เป็นเวลาที่เรา ไม่ควรประมาท ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาพาเธ สมุปฺปนฺเน ความว่า เมื่อโรคอันเป็นเหตุแห่งความกำเริบของธาตุ อันมีส่วนที่ไม่เสมอกัน อันได้นามว่าอาพาธ เพราะยังสรีระให้ถูกเบียดเบียนยิ่ง เกิดแล้วแก่เรา. บทว่า สติ เม อุปปชฺชถ ความว่า อาพาธเกิดแล้วแก่เราแล ข้อที่อาพาธพึงกำเริบขึ้นนี้มีทางเป็นไปได้ เอาเถิดเราจะปรารภความเพียร ตราบเท่าที่อาพาธนี้ยังไม่กำเริบ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ได้ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อกระทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้ สติอันเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียร จึงเกิดขึ้นแก่เราผู้อันทุกขเวทนาเบียดเบียนอยู่ ด้วยสามารถแห่งอาพาธนั้นแหละ ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า อาพาธเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เวลานี้เป็นเวลาที่เราไม่ควรประมาท ดังนี้. ก็พระเถระนี้กระทำสติอันบังเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ให้เป็นดังขอสับแล้วบรรลุพระอรหัต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาอุตติยเถรคาถา จบวรรควรรณนาที่ ๓ ในอรรถกถาเถรคาถา ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี ----------------------------------------------------- ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ ๑๐ รูปคือ ๑. พระนิโครธเถระ ๒. พระจิตตกเถระ ๓. พระโคสาลเถระ ๔. พระสุคันธเถระ ๕. พระนันทิยเถระ ๖. พระอภัยเถระ ๗. พระโลมสกังคิยเถระ ๘. พระชัมพุคามิกบุตรเถระ ๙. พระหาริตเถระ ๑๐. พระอุตติยเถระ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ตติยวรรค ๑๐. อุตติยเถรคาถา จบ. |