ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 152อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 153อ่านอรรถกถา 26 / 154อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ทุติยวรรค
๖. เพลัฏฐสีสเถรคาถา

               อรรถกถาเพลัฏฐสีสเถรคาถา               
               คาถาของพระเพลัฏฐสีสเถระ เริ่มต้นว่า ยถาปิ ภทฺโท อาชญฺโญ.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านเกิดในเรือนมีตระกูล เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา บวชแล้ว บำเพ็ญสมณธรรม ไม่อาจจะยังคุณวิเศษให้เกิดได้ เพราะไม่มีอุปนิสสยสมบัติ.
               ก็ท่านเข้าไปสั่งสมกุศลเป็นอันมาก อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเวสสภู ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว ได้ถวายผลมะงั่ว.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านเกิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย สร้างสมบุญแล้วก็เข้าถึงสุคติจากสุคติ วนไปเวียนมา บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ พระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. ก่อนแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ บวชเป็นดาบสในสำนักของอุรุเวลกัสสปดาบส ในเวลาที่ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยชฎิลพันหนึ่ง.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
               เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้โชติช่วงเหมือนต้นกรรณิการ์ รุ่งเรืองดังพระจันทร์ในวันเพ็ญ และเหมือนต้นไม้ประจำทวีปที่รุ่งโรจน์ เราเลื่อมใส ได้เอาผลมะงั่วถวายแด่พระศาสดาผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เป็นวีรบุรุษ ด้วยมือทั้งสองของตน ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้วดังนี้.
               พระเถระนี้ผู้บรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เป็นอุปัชฌาย์ของท่านพระธรรมภัณฑาคาริก วันหนึ่งออกจากผลสมาบัติแล้ว พิจารณาถึงพระอรหัตอันสงบ ประณีต เป็นนิรามิสสุข และบุรพกรรมของตน ด้วยอำนาจกำลังแห่งปีติ จึงได้กล่าวคาถาว่า
                         โคอาชาไนยตัวเจริญ เทียมไถแล้วย่อมลากไถไปได้
               โดยไม่ลำบากฉันใด เมื่อเราได้ความสุขอันไม่เจือด้วยอามิส
               คืนและวันทั้งหลายย่อมผ่านพ้นเราไปได้โดยยากฉันนั้น ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปิ เป็นนิบาตลงในอรรถที่ยังอุปมาให้ถึงพร้อม.
               บทว่า ภทฺโท ได้แก่ โคอาชาไนยตัวงามที่สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง กำลัง ความสามารถ เชาว์และความเพียรเป็นต้น.
               บทว่า อาชญฺโญ ความว่า ชื่อว่า ชาติอาชาไนย เพราะรู้เหตุและสิ่งที่มิใช่เหตุ.
               สัตว์อาชาไนยนั้นมี ๓ ประเภท คือ โคผู้อาชาไนย ๑ ม้าผู้อาชาไนย ๑ ช้างผู้อาชาไนย ๑.
               ใน ๓ ประเภทนั้น โคผู้อาชาไนย ท่านประสงค์เอาแล้วในคาถานี้.
               ก็โคผู้อาชาไนยนั้นแหละประกอบแล้วในกิจของผู้ชำนาญการไถ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมลากไถไปได้โดยไม่ยาก เพราะยังไถพร้อมทั้งผาลให้หมุนไป. อธิบายว่า ไถนาให้ ไถหมุนไปข้างโน้นด้วยข้างนี้ด้วย.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า นังคลาวัตตะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ยังไถให้หมุนไป ได้แก่หมุนไปตามรอยไถในนา. แต่ในคาถานี้ ท่านกล่าวเป็นทีฆะว่า วตฺตนี เพื่อสะดวกในการประพันธ์คาถา.
               บทว่า สิขี ความว่า ชื่อว่าสิขา เพราะคล้ายกับหงอน โดยกำหนดเอาในที่สุด ได้แก่ สิงคะ (เขา) ชื่อว่าสิงคะ เพราะมีเขานั้น (เป็นสัญญลักษณ์). ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่ายอด ท่านประสงค์เอาว่า สิขา ในคาถานี้.
               บทว่า สิขี นี้ ระบุถึงส่วนที่เป็นประธาน แม้ทั้งสองฝ่าย.
               บทว่า อปฺปกสิเรน ความว่า โดยลำบากน้อย.
               บทว่า รตฺตินฺทิวา ได้แก่ ทั้งในกลางคืนและกลางวัน. ประกอบความว่า ย่อมผ่านคืนและวันนี้ไป โดยไม่ยากอย่างนี้.
               ท่านอธิบายความไว้ดังนี้
               เปรียบเหมือนโคผู้อาชาไนยที่เขาเทียมไถแล้วไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ในรอยไถที่มีรากหญ้าเป็นฟ่อนๆ เป็นต้น เดิน เปลี่ยนรอยไถไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง จนแสดงถึงการปรับเข้าในแนวไถได้ราบเสมอฉันใด แม้วันและคืนทั้งหลายย่อมละคือผ่านเราไปได้โดยยากฉันนั้น.
               ท่านกล่าวถึงเหตุในข้อนั้นไว้ว่า สุเข ลทฺเธ นิรามิเส เมื่อเราได้ความสุขอันไม่เจือด้วยอามิส ดังนี้. อธิบายว่า เพราะเหตุที่ความสุขคือผลสมาบัติ อันไม่เจือด้วยอามิสคือกามอามิสคือโลกและอามิสคือวัฏฏะ อันสงบระงับ ประณีต เราได้แล้ว.
               ก็บทนี้เป็นสัตตมีวิภัตติ แต่ลงในอรรถแห่งปฐมาวิภัตติ. เหมือนอย่างในประโยคว่า วนปคุมฺเพ (พุ่มไม้) และในประโยคว่า เตน วต เร วตฺตพฺเพ (เรื่องที่จะพึงกล่าวอื่นยังมีอยู่อีก) ดังนี้
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า เมื่อเราได้ความสุขอันไม่เจือด้วยอามิส ดังนี้ ก็โดยพิจารณาว่า จำเดิมแต่นั้น วันและคืนก็ผ่านไปโดยยาก ดังนี้.
               อธิบายว่า เมื่อสุขที่ปราศจากอามิสอันเราได้แล้ว มีอยู่ จำเดิมแต่เวลาที่เราได้นิรามิสสุขนั้น ดังนี้.

               จบอรรถกถาเพลัฏฐสีสเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ทุติยวรรค ๖. เพลัฏฐสีสเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 152อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 153อ่านอรรถกถา 26 / 154อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5074&Z=5078
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=2278
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=2278
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :