ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 141อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 142อ่านอรรถกถา 26 / 143อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค
๕. ทัพพเถรคาถา

               อรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระทัพพเถระเริ่มต้นว่า โย ทุทฺทมโย.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้เกิดในเรือนแห่งตระกูล กรุงหงสาวดี ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เจริญวัยแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาโดยนัยดังกล่าวแล้วในบทหลังนั่นแล เห็นพระบรมศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ปูลาดเสนาสนะ จึงเสริมสร้างอธิการ ปรารถนาฐานันดรนั้น เป็นผู้อันพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว บำเพ็ญกุศลจนตลอดชีวิต แล้วท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บวชในเวลาที่ศาสนาของพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ เสื่อมโทรม.
               ในครั้งนั้นยังมีคนอีก ๖ คนพร้อมทั้งท่านจึงรวมเป็นภิกษุ ๗ รูป เป็นผู้มีความคิดอย่างเดียวกัน เห็นภิกษุเหล่าอื่นไม่กระทำความเคารพในพระศาสนา จึงคิดกันว่า ในที่นี้ พวกเราจักทำอะไรได้ พวกเราจักบำเพ็ญสมณธรรมในที่ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้ แล้วจึงผูกบันไดปีนขึ้นสู่ยอดเขาสูง พูดกันว่าผู้ที่รู้กำลังจิตของตนๆ จักผลักบันไดลง ผู้ที่ยังมีความอาลัยในชีวิตจงลงไปเสีย อย่าเป็นผู้ต้องเดือดร้อนในภายหลังเลย ดังนี้แล้วทุกรูปร่วมใจกันผลักบันไดลง ต่างโอวาทกันและกันว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วนั่งในที่ๆ ตนชอบใจ เริ่มบำเพ็ญสมณธรรม.
               พระเถระบรรลุพระอรหัตผลในวันที่ ๕ ในที่นั้นแหละ คิดว่ากิจของเราสำเร็จแล้ว เราจักกระทำอะไรในที่นี้ ดังนี้แล้วนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปด้วยฤทธิ์ กล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงฉันบิณฑบาตนี้ กิจด้วยภิกษาจารจงเป็นหน้าที่ของเรา พวกท่านจงทำหน้าที่ของตนๆ เถิด.
               ภิกษุทั้งหลายถามว่า ดูก่อนอาวุโส พวกเราผลักบันไดลง ได้พูดตกลงกันอย่างนี้ว่า ผู้ใดทำให้แจ้งซึ่งธรรมก่อน ผู้นั้นจงนำอาหารมา ภิกษุที่เหลือจะบริโภคอาหารที่นำมาแล้วบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้หรืออย่างไร?
               พระเถระตอบว่า ไม่มีข้อตกลงดังนั้นหรอกอาวุโส.
               ภิกษุทั้งหลายจึงพูดว่า ท่านได้ (บรรลุธรรม) ด้วยบุพเหตุของตน แม้พวกเราทั้งหลายก็จักสามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ท่านจงไปเถิด ดังนี้.
               พระเถระเมื่อไม่อาจจะยังภิกษุเหล่านั้นให้ยินยอมได้ จึงบริโภคบิณฑบาตในที่ๆ ผาสุกแล้วหลีกไป.
               พระเถระอีกรูปหนึ่งบรรลุอนาคามิผลในวันที่ ๗ จุติจากภพนั้นแล้ว บังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส.
               พระเถระนอกนี้จุติจากภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ตลอดกาลพุทธันดรหนึ่ง แล้วต่างเกิดในตระกูลนั้นๆ ในกาลเป็นที่บังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ คือ รูปหนึ่งเกิดในราชตระกูล ในตักกสิลานคร แคว้นคันธาระ รูปหนึ่งเกิดในท้องของนางปริพาชิกาในมัชฌันติกรัฐ รูปหนึ่งเกิดในเรือนของกุฏุมพี แคว้นพาหิยะ รูปหนึ่งเกิดในสำนักของนางภิกษุณี.
               ส่วนพระทัพพเถระนี้ถือปฏิสนธิในเรือนของเจ้ามัลละองค์หนึ่งในอนุปิยนคร แคว้นมัลละ. มารดาของท่านคลอดลูกตาย (ตายทั้งกลม) คนทั้งหลายจึงนำเอาร่างที่ตายไปป่าช้า ยกขึ้นสู่เชิงตะกอนใส่ไฟแล้ว. เพราะกำลังความร้อนของไฟ ทำให้พื้นท้องของนางแยกออกเป็นสองส่วน. ทารกลอยขึ้นด้วยกำลังบุญของตนแล้วตกลงที่กองไม้ คนทั้งหลายจึงนำทารกนั้นมามอบให้ยาย.
               ผู้เป็นยาย เมื่อจะขนานนามของทารกนั้น ได้ตั้งชื่อว่าทัพพะ เพราะตกไปที่เสาไม้มีแก่น จึงรอดชีวิต.
               ก็ในวันที่ทารกนั้นมีอายุได้ ๗ ขวบ พระบรมศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จจาริกไปในแคว้นมัลละ ประทับอยู่ในอนุปิยัมพวัน. ทัพพกุมารเห็นพระศาสดาแล้ว เลื่อมใสด้วยการเห็นเท่านั้น ประสงค์จะบวชบอกลายายว่า ข้าพเจ้าจักบวชในสำนักของพระทศพล. ยายพูดว่า ดีแล้ว พ่อคุณแล้วพาทัพพกุมารไปยังสำนักของพระบรมศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงยังกุมารนี้ให้บรรพชาเถิด.
               พระศาสดาทรงให้สัญญาแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงยังทารกนี้ให้บรรพชา. พระเถระนั้นฟังคำของพระศาสดาแล้ว เมื่อจะยังทัพพกุมารให้บรรพชาบอกตจปัญจกัมมัฏฐานแล้ว.
               สัตว์ผู้สมบูรณ์ด้วยบุรพเหตุมีอภินิหารอันกระทำแล้ว ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ในขณะปลงเกลียวผมครั้งแรก เมื่อเกลียวผมที่สองถูกยกขึ้นก็ดำรงอยู่ในสกทาคามิผล เมื่อเกลียวผมที่สามถูกยกขึ้นก็ดำรงอยู่ในอนาคามิผล ก็เวลาที่ปลงผมเสร็จและการทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตผล ได้มีในเวลาไม่ก่อนไม่หลังกัน.
               พระบรมศาสดาเสด็จประทับสำราญพระอิริยาบถ ในแคว้นมัลละแล้ว เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในเวฬุวันมหาวิหาร.
               ท่านพระทัพพมัลลบุตรนี้เร้นอยู่แล้วในที่ลับ ณ กรุงราชคฤห์นั้น ตรวจดูความสำเร็จกิจของตน ประสงค์จะอุทิศกายช่วยขวนขวายกิจของสงฆ์ จึงคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงปูลาดเสนาสนะและจัดภัตตาหารเพื่อพระภิกษุสงฆ์. ท่านไปยังสำนักของพระศาสดาแล้ว กราบทูลถึงปริวิตกของตน.
               พระบรมศาสดาทรงประทานสาธุการแล้ว ทรงมอบตำแหน่งปูลาดเสนาสนะ และตำแหน่งภัตตุทเทสก์แก่ท่าน.
               ลำดับนั้น พระบรมศาสดาทรงพระดำริว่า ทัพพสามเณรนี้ยังเล็กแท้ แต่ดำรงอยู่ในตำแหน่งใหญ่ ดังนี้แล้วจึงโปรดให้ท่านอุปสมบท ในเวลาที่มีอายุได้ ๗ ขวบเท่านั้น. นับจำเดิมแต่อุปสมบทแล้ว พระเถระจัดแจงเสนาสนะและแจกภิกษาแด่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดที่อาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ ความที่ท่านเป็นผู้จัดแจงเสนาสนะได้ปรากฏกระฉ่อนไปทั่วทุกทิศว่า
               ได้ยินว่า พระทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะแก่ภิกษุผู้ชอบพอกันไว้ในที่เดียวกัน จัดแจงเสนาสนะในที่ใกล้บ้าง ไกลบ้าง (บางครั้ง) เมื่อไม่สามารถจะไปได้ก็ต้องนำไปด้วยฤทธิ์.
               ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายขอให้ท่านทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะ ทั้งในเวลาทั้งนอกเวลา อย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านจงจัดแจงเสนาสนะในชีวกัมพวันวิหารให้พวกเรา ท่านจงจัดเสนาสนะในมัทธกุจฉิมิคทายวันให้พวกเรา ต่างพากันเห็นฤทธิ์ของพระทัพพมัลลบุตรนั้นแล้วจึงไป. แม้ท่านพระทัพพมัลลบุตรก็เนรมิตกายอันสำเร็จด้วยมโนมยิทธิ ให้ภิกษุที่เหมือนตนแต่ละรูปแก่พระเถระแต่ละองค์ เดินนำหน้าใช้นิ้วมือที่เรืองแสงชี้ว่านี้เตียง นี้ตั่ง จัดแจงเสนาสนะแล้วจึงกลับยังที่อยู่ของตน.
               นี้เป็นความสังเขปในเรื่องนี้ แต่โดยพิสดาร เรื่องนี้จะมีมาในพระบาลีเท่านั้น. พระบรมศาสดาทรงกระทำเหตุนี้แหละให้เป็นอัตถุปบัติ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ในเวลาต่อมา เสด็จประทับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยสงฆ์ แต่งตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าบรรดาภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ ด้วยพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระทัพพมัลลบุตรเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้จัดแจงเสนาสนะ.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
               พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลกทั้งหมด เป็นมุนี มีพระจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ตรัสสอนทำให้สัตว์รู้ชัด ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรงฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้น (สงสาร) พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าทุกคนให้ดำรงอยู่ในเบญจศีล
               เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงหมดความอากูล ว่างจากพวกเดียรถีย์และวิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้นสูง ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ.
               ครั้งนั้น เหล่าสัตว์มีอายุขัยแสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้นดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้น ทรงยังประชาชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้.
               ครั้งนั้น เราเป็นบุตรเศรษฐีมียศใหญ่ ในพระนครหงสาวดี เข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ส่องโลกให้สว่างไปทั่ว แล้วได้สดับพระธรรมเทศนา เราได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดาผู้ตรัสสรรเสริญสาวกของพระองค์ ผู้แต่งตั้งเสนาสนะให้ภิกษุทั้งหลาย ก็ชอบใจจึงทำอธิการแด่พระองค์ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พร้อมทั้งพระสงฆ์ แล้วหมอบลงแทบพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วปรารถนาฐานันดรนั้น.
               ครั้งนั้น พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้นได้ทรงพยากรณ์กรรมของเราไว้ว่า เศรษฐีบุตรนี้ได้นิมนต์พระโลกนายกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ให้ฉันตลอด ๗ วัน เขามีดวงตาดุจกลีบบัว มีจะงอยบ่าเหมือนของราชสีห์ มีผิวพรรณดุจทองคำ หมอบอยู่แทบเท้าของเรา ปรารถนาตำแหน่งอันสูงสุด ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม ผู้สมภพในวงศ์ของพระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เศรษฐีบุตรนี้จักได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ปรากฏโดยชื่อว่า "ทัพพะ" เป็นภิกษุผู้เลิศฝ่ายเสนาสนปัญญาปกะเหมือนปรารถนา.
               ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีแล้ว และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวยเทพสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้งและได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงมีความสุขในที่ทุกสถาน.
               ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระผู้เป็นนายกทรงพระนามว่าวิปัสสี ผู้มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ้งธรรมทั้งปวงได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เราเป็นผู้มีจิตขัดเคืองได้พูดตู่สาวกของพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์นั้น ผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ และเราจับสลากแล้ว ถวายข้าวสุกที่หุงด้วยน้ำนมแก่พระเถระทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่านรชน พระองค์นั่นแหละ.
               ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่าวิญญูชน ทรงพระนามว่ากัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่เดียรถีย์ผู้หลอกลวงเสีย ทรงแนะนำเวไนยสัตว์แล้วเสด็จปรินิพพาน พร้อมทั้งพระสาวก.
               ครั้นเมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว ครั้นเมื่อศาสนธรรมกำลังจะสูญสิ้นอันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พากันสลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้าคร่ำครวญว่า ดวงตาคือพระธรรมจักดับแล้ว เราจักไม่ได้เห็นท่านผู้มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟังพระสัทธรรม โอหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย.
               ครั้งนั้น พื้นปฐพีทั้งหมดนี้ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสั่นสะเทือน สาครสมุทรดุจเหือดแห้ง แม่น้ำครวญครางน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลองดังทั่ว ๔ ทิศ อสนีบาตอันน่ากลัวตกลงโดยรอบ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏเกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง หมู่มฤคร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร
               ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม ๗ รูปด้วยกัน ได้เห็นความอุบาทว์อันร้ายแรงแสดงเหตุว่า พระศาสนาจะสิ้นสูญ จึงเกิดความสังเวช คิดกันว่า เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมีชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่ บำเพียรตามคำสอนของพระชินสีห์.
               ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินในป่าสูงลิ่ว เราไต่ภูเขาขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะองให้ตกลงเสีย. ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่า การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหาได้ยาก. อีกประการหนึ่ง ความเชื่อที่บุคคลได้แล้วหาได้ยาก และพระศาสนายังเหลืออีกเล็กน้อย ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสียจะต้องตกลงไปในสาคร คือความทุกข์อันไม่มีสิ้นสุด เพราะฉะนั้น พวกเราควรกระทำความเพียรตลอดเวลาที่พระศาสนายังดำรงอยู่เถิด ดังนี้.
               ครั้งนั้น พระเถระนั้นเป็นพระอรหันต์ พระอนุเถระได้เป็นพระอนาคามี พวกเราที่เหลือจากนี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบความเพียร จึงได้ไปยังเทวโลก. องค์ที่ข้ามสงสารไปได้ปรินิพพานแล้ว อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส เราทั้งหลาย คือตัวเรา ๑ พระปุกกุสาติ ๑ พระสภิยะ ๑ พระพาหิยะ ๑ พระกุมารกัสสปะ ๑ เกิดในที่นั้นๆ อันพระโคดมบรมศาสดาทรงอนุเคราะห์ จึงหลุดพ้นไปจากเครื่องจองจำคือวัฏสงสารได้.
               เราเกิดในพวกมัลลกษัตริย์ ในพระนครกุสินารา เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์นั่นแล มารดาได้ถึงแก่กรรม เขาช่วยกันยกขึ้นสู่เชิงตะกอน เราตกลงมาจากเชิงตะกอนนั้นตกลงไปในกองไม้ ฉะนั้นจึงปรากฏนามว่า ทัพพะ.
               ด้วยผลแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ เรามีอายุได้ ๗ ขวบก็หลุดพ้นจากกิเลส ด้วยผลที่ถวายข้าวสุกผสมน้ำมัน เราจึงเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ด้วยบาปเพราะกล่าวตู่พระขีณาสพ เราจึงถูกคนโจทมากมาย บัดนี้ เราล่วงบุญและบาปได้ทั้งสองอย่างแล้ว ได้บรรลุบรมสันติธรรม เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราแต่งตั้งเสนาสนะให้ท่านผู้มีวัตรอันดีงามทั้งหลายยินดี พระพิชิตมารทรงพอพระทัยในคุณข้อนั้น จึงได้ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
               เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้ว วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว คุณพิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้กระทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
               บาปกรรมที่ท่านกระทำไว้ด้วยสามารถแห่งการกำจัดพระเถระผู้เป็นพระขีณาสพรูปหนึ่งในกาลก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้หมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี อันมีมาแล้วเหมือนภิกษุชื่อว่าเมตติยะและภุมมชกะ ที่ถูกเตือนด้วย กมฺมปิโลติกาย นั้นแหละ เข้าใจผิดว่า พวกเราถูกพระเถระนี้ ทำให้แตกกับคฤหบดีชื่อว่ากัลยาณภัตติยะ จึงกำจัดเสียด้วยปาราชิกธรรมอันหามูลมิได้. และเมื่ออธิกรณ์นั้นอันสงฆ์ระงับแล้วด้วยสติวินัย. พระเถระนี้ เมื่อจะประกาศคุณของตนเพื่ออนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
               เมื่อก่อน พระทัพพมัลลบุตรองค์ใด เป็นผู้อันบุคคลอื่นฝึกฝนได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ พระทัพพมัลลบุตรองค์นั้นเป็นผู้อันพระศาสดาได้ทรงฝึกฝนด้วยการฝึกฝนด้วยมรรคอันประเสริฐ เป็นผู้สันโดษข้ามความสงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนได้แล้ว ดังนี้.

               ศัพท์ว่า โย ในคาถานั้น แสดงถึงบุคคลผู้ไม่ได้กำหนดแน่นอน.
               ด้วยบทว่า โส นี้ พึงทราบว่า ท่านกำหนดความแน่นอนของบุคคลนั้นไว้แล้ว.
               แม้ด้วยบททั้งสอง พระเถระกล่าวหมายถึงตนเอง โดยทำให้เป็นดุจคนอื่น.
               บทว่า ทุทฺทมโย ความว่าฝึกได้โดยยาก คือไม่อาจเพื่อจะฝึกได้. และพระเถระกล่าวบทนี้ไว้ เพราะคิดถึงความดิ้นรนแห่งจิตที่เคลื่อนไปด้วยความเมาของเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึกคือทิฏฐิ และความไม่สงบแห่งอินทรีย์ ทั้งหลาย.
               บทว่า ทเมน ได้แก่ ฝึกฝนด้วยมรรคอันเลิศ สูงสุด. อธิบายว่า ผู้ที่ฝึกแล้วด้วยการฝึกด้วยมรรคอันเลิศนั้น สมควรกล่าวได้ว่า มีตนอันฝึกแล้ว ด้วยการฝึกด้วยมรรคอันเลิศนั้น สมควรกล่าวได้ว่า มีตนอันฝึกแล้ว เพราะไม่มีสิ่งที่จะต้องฝึกอีก ไม่ใช่ฝึกด้วยอย่างอื่น.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ทเมน ความว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ฝึกแล้ว.
               บทว่า ทพฺโพ เท่ากับ ทฺรพฺโย ความว่า สมควร. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีถึงพระเถระนี้แหละ จึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนทัพพะ ผู้ที่สมควรจะไม่กล่าวแก้อย่างนี้เลย.
               บทว่า สนฺตุสฺสิโต ความว่า สันโดษแล้ ด้วยสันโดษในปัจจัยตามมีตามได้ ด้วยสันโดษในฌานสมาบัติและด้วยสันโดษในมรรคผล.
               บทว่า วิติณฺณกงฺโข ความว่า ชื่อว่ามีความสงสัยปราศไปแล้ว ด้วยความสงสัยในวัตถุ ๑๖ และในวัตถุ ๘ เพราะเพิกถอน ความสงสัยได้แล้ว ด้วยปฐมมรรคนั่นแหละ.
               บทว่า วิชิตาวี ความว่า ชื่อว่าชนะแล้ว เพราะชนะแล้ว คือกำจัดได้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็นฝ่ายสังกิเลส แม้ทั้งหมดอันบุรุษชาติอาชาไนยพึงชนะ.
               บทว่า อเปตเภรโว ความว่า ชื่อว่าปราศจากความขลาด คือ ชื่อว่าปราศจากภัย เพราะภัย ๒๕ อย่างปราศไปแล้วโดยประการทั้งปวง.
               บทว่า ทพฺโพ เป็นคำระบุถึงชื่อ ซ้ำอีก.
               ในบทว่า ปรินิพฺพุโต นี้ ปรินิพพานมี ๒ คือ กิเลสปรินิพพาน ซึ่งได้แก่ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ ขันธปรินิพพาน ซึ่งได้แก่ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑.
               ใน ๒ อย่างนั้น ในคาถานี้ ท่านหมายเอากิเลสปรินิพพาน เพราะฉะนั้น จึงได้ความว่า ชื่อว่าปรินิพพานแล้ว ด้วยกิเลสปรินิพพาน เพราะปหาตัพพธรรม (ธรรมที่ควรละ) อันมรรคละได้แล้วโดยประการทั้งปวง.
               บทว่า ฐิตตฺโต ความว่า เป็นผู้มีจิตมั่นคง คือไม่หวั่นไหว ได้แก่ไม่สั่นสะเทือนด้วยโลกธรรมทั้งหลาย เพราะถึงความเป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น.
               ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาต ลงในอรรถแห่งเหตุ.
               ด้วย หิ นิบาตนั้น ส่องความว่า เพราะเหตุที่เมื่อก่อน พระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้อันบุคคลอื่นสอนได้ยาก แต่ท่านอันพระศาสดาทรงฝึกด้วยการฝึกฝนด้วยมรรคอันสูงสุด เป็นผู้สันโดษ ข้ามความสงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด ฉะนั้น พระทัพพมัลลบุตรนั้นจึงดับกิเลสได้แล้ว และต่อแต่นั้นก็เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น ทำจิตให้เลื่อมใสในปรินิพพานนั้นที่มีแล้วอย่างนี้ ไม่ใช่ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างอื่น.
               เพราะฉะนั้น พระเถระเมื่อจะอนุเคราะห์เหล่าสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ เพราะการแนะนำของผู้อื่น จึงพยากรณ์อรหัตผล.

               จบอรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ๕. ทัพพเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 141อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 142อ่านอรรถกถา 26 / 143อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=4999&Z=5005
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=1286
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=1286
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :