ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 138อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 139อ่านอรรถกถา 26 / 140อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค
๒. มหาโกฏฐิตเถรคาถา

               อรรถกถามหาโกฏฐิตเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระมหาโกฏฐิตเถระ เริ่มต้นว่า อุปสนฺโต.
               ท่านมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร?
               ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ แม้พระเถระนี้ก็บังเกิดในตระกูลที่มีโภคะมาก ในพระนครชื่อว่าหงสาวดี เจริญวัยเติบใหญ่แล้ว สืบทอดสมบัติ โดยที่มารดาบิดาล่วงลับไป อยู่ครอบครองเรือน.
               วันหนึ่งเห็นชาวเมืองหงสาวดีถือของหอมและระเบียบเป็นต้น มีจิตน้อมโน้ม โอนไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เดินไปในเวลาเป็นที่แสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ก็เดินเข้าไปพร้อมกับมหาชน เห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่ง เป็นเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาทั้งหลายคิดว่า
               ได้ยินว่า ภิกษุนี้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ถึงปฏิสัมภิทาในพระศาสนานี้ ไฉนหนอ แม้เราก็พึงถึงความเป็นผู้เลิศด้วยปฏิสัมภิทาญาณเหมือนภิกษุนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ดังนี้
               ในเวลาที่พระศาสดาจบพระธรรมเทศนาลงก็ตรงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้.
               พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว.
               เขาถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกระทำประทักษิณไปยังเรือนของตน ประดับตกแต่งที่สำหรับนั่งของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ จัดแจงขาทนียโภชนียาหาร อันประณีตอยู่ตลอดคืนยังรุ่ง ครั้นรัตติกาลนั้นผ่านไป ก็อังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุหนึ่งแสนรูปเป็นบริวาร ให้เสวยโภชนะแห่งข้าวสาลีอันหอมละมุน มีสูปะและพยัญชนะหลากรส มีข้าวยาคูและของ เคี้ยวหลายอย่างเป็นบริวาร ในเวลาเสร็จภัตกิจแล้ว คิดว่า เราปรารถนาตำแหน่งใหญ่มากหนอ ก็การถวายทานเพียงวันเดียวแล้วปรารถนาตำแหน่ง นั้นไม่สมควรแก่เราเลย เราจักถวายทานตลอด ๗ วันโดยลำดับแล้วจึงปรารถนาดังนี้.
               เขาถวายมหาทานอยู่ตลอด ๗ วันโดยทำนองนั้นแหละ ในเวลาเสร็จภัตกิจแล้ว สั่งให้คนเปิดคลังผ้า วางผ้าเนื้อละเอียด พอทำจีวรอันมีราคาสูงสุดไว้ที่บาทมูลของพระพุทธเจ้าและถวายไตรจีวรแด่ภิกษุแสนรูป เข้าไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับย้อนหลังจากนี้ไป ๗ วัน พระองค์ทรงตั้งภิกษุรูปใดไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ แม้ข้าพระองค์ก็พึงบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคตกาล แล้วพึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเถิด ดังนี้แล้วหมอบลงแทบบาทมูลของพระศาสดา ทำความปรารถนาแล้ว.
               พระศาสดาทรงเห็นความสำเร็จแห่งความปรารถนาของเขาแล้วทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ความปรารถนาของท่านจักสำเร็จในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดมนั้น.
               แม้ในอปทาน ท่านก็กล่าวคาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า
               ในกัปนับจากภัทรกัปนี้ไปแสนหนึ่ง พระพิชิตมารทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นมุนี มีจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัดได้ ทรงยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรงฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยให้ประชาชนข้ามพ้นได้เป็นอันมาก พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา แสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ทรงยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน
               เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ
               พระมหามุนีพระองค์นั้นสูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงดงามคล้ายทองคำล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุของสัตว์ยืนประมาณแสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้นได้ทรงยังประชาชนเป็นอันมากให้ ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้
               ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพทในพระนครหงสาวดี ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่าโลกทั้งปวง แล้วสดับพระธรรมเทศนา.
               ครั้งนั้น พระธีระเจ้าพระองค์นั้นทรงตั้งสาวกผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ฉลาดในอรรถ ธรรม นิรุตติและปฏิภาณในตำแหน่งเอตทัคคะ เราได้ฟังดังนั้นแล้วก็ชอบใจ จึงได้นิมนต์พระชินวรเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกให้เสวยและฉัน ถึง ๗ วัน
               ในกาลนั้น เรายังพระพุทธเจ้าผู้เปรียบด้วยสาคร พร้อมทั้งพระสาวกให้ครองผ้า แล้วหมอบลงแทบบาทมูลปรารถนาฐานันดรนั้น.
               ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่าโลกได้ตรัสว่า จงดูพราหมณ์ผู้สูงสุดที่หมอบอยู่แทบเท้าผู้นี้ มีรัศมีเหมือนกลีบดอกบัว พราหมณ์นี้ปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้แตกฉาน ซึ่งเป็นตำแหน่งประเสริฐสุด เพราะการบริจาคทานด้วยศรัทธานั้น และเพราะการสดับพระธรรมเทศนา พราหมณ์นี้จักเป็นผู้ถึงสุขในทุกภพ เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ จักได้สมมโนรถเช่นนี้ ในกัปนับแต่นี้ไปแสนหนึ่ง พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่าโกฏฐิตะ
               เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว เป็นผู้เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระชินสีห์เจ้า ตราบเท่าสิ้นชีวิต ในครั้งนั้น เพราะเราเป็นผู้มีสติประกอบไปด้วยปัญญา เพราะผลแห่งกรรมนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และได้เป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยเวลาสุดคณะนับ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงเป็นผู้ถึงความสุขในทุกภพ เราท่องเที่ยวไปแต่ในสองภพ คือในเทวดาและมนุษย์ คติอื่นเราไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งกรรมที่สั่งสมไว้ดี.
               เราเกิดแต่ในสองตระกูล คือตระกูลกษัตริย์และตระกูลพราหมณ์ หาเกิดในตระกูลต่ำทรามไม่ นี้เป็นผลแห่งกรรมที่สั่งสมไว้ดี.
               เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเป็นบุตรของพราหมณ์ เกิดในตระกูลที่มีทรัพย์สมบัติมาก ในพระนครสาวัตถี มารดาของเราชื่อจันทวดี บิดาชื่ออัสสลายนะ ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบิดาเรา เพื่อความบริสุทธิ์ทุกอย่าง
               เราเลื่อมใสในพระสุคตเจ้า ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต พระโมคคัลลานะเป็นอาจารย์ พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ เราตัดทิฏฐิพร้อมด้วยมูลรากเสียได้ในเมื่อกำลังปลงผม และเมื่อกำลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ก็ได้บรรลุพระอรหัต
               เรามีปรีชาแตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติและปฏิภาณ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เลิศกว่าโลก จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราอันท่านพระอุปติสสะไต่ถามในปฏิสัมภิทา ก็แก้ได้ไม่ขัดข้อง ฉะนั้น เราจึงเป็นผู้เลิศในพระศาสนา
               เราเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกพันดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ
               วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำเสร็จแล้ว คุณพิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
               เขาสั่งสมซึ่งบุญและญาณสมภาร ในภพนั้นๆ อย่างนี้แล้ว ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้.
               มารดาบิดาได้ขนานนามเขาว่า "โกฏฐิตะ".
               โกฏฐิตมาณพนั้นเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท สำเร็จศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ วันหนึ่งไปยังสำนักของพระศาสดา ฟังธรรมแล้วได้มีศรัทธา บวชแล้ว จำเดิมแต่เวลาที่ได้อุปสมบทแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นผู้ชำนาญเชี่ยวชาญในปฏิสัมภิทาญาณ เข้าไปหาพระมหาเถระผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายแล้วถามปัญหาก็ดี เข้าเฝ้าพระทศพลแล้วทูลถามปัญหาก็ดี ก็ถามปัญหาเฉพาะในปฏิสัมภิทาเท่านั้น.
               พระเถระรูปนี้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เพราะเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในภพนั้น และเพราะเป็นผู้มีความชำนาญที่สั่งสมไว้แล้วด้วยประการดังพรรณนามานี้
               ครั้งนั้น พระศาสดาทรงกระทำมหาเวทัลลสูตร ให้เป็นอัตถุปปัติ ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ โดยมีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระมหาโกฏฐิตะเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้บรรลุปฏิสัมภิทา.
               สมัยต่อมา เมื่อท่านเสวยวิมุตติสุขได้กล่าวคาถา โดยเปล่งเป็นอุทาน.
               ได้ยินว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
                         บุคคลผู้สงบ งดเว้นจากการทำความชั่ว พูดด้วยปัญญา
                         ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลายเหมือนลมพัด
                         ใบไม้ให้ร่วงหล่นไปฉะนั้น ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปสนฺโต ความว่า บุคคล ชื่อว่าสงบแล้ว เพราะกระทำความสงบระงับ อินทรีย์ทั้งหลายมีมนะเป็นที่ ๖ โดยกระทำให้หมดพยศ.
               บทว่า อุปรโต ความว่า งดคือเว้นจากการทำความชั่วทุกอย่าง.
               บทว่า มนฺตภาณี ความว่า ปัญญา ท่านเรียกว่ามันตา ก็บุคคลชื่อว่ามันตภาณี เพราะพิจารณาด้วยปัญญานั้นแล้วจึงกล่าว. อธิบายว่า กล่าวโดยไม่ละความเป็นผู้กล่าวในกาลเป็นต้น.
               อีกอย่างหนึ่ง บุคคลชื่อว่า มนฺตภาณี เพราะกล่าวด้วยสามารถแห่งการกล่าวมนต์. อธิบายว่า เว้นคำที่เป็นทุภาษิต กล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต อันประกอบด้วยองค์ ๔ เท่านั้น โดยการกล่าวของตน.
               บุคคลชื่อว่า อนุทฺธโต (ไม่ฟุ้งซ่าน) เพราะไม่ฟุ้งซ่านโดยการยกตน ด้วยสามารถแห่งชาติเป็นต้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าสงบแล้ว เพราะสงบกายทุจริต ๓ ได้โดยเว้นขาดจากกายทุจริตนั้น ชื่อว่างดเว้น เพราะงดเว้น คือละมโนทุจริตทั้ง ๓ ได้. ชื่อว่าพูดด้วยปัญญา เพราะพูดละเมียดละไม ไม่ล่วงละเมิดวจีทุจริต ๔. ชื่อว่าไม่ฟุ้งซ่าน เพราะไม่มีความฟุ้งซ่านอันเกิดแต่นิมิต คือทุจริต ๓ อย่าง.
               ก็ผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลอันบริสุทธิ์ โดยละทุจริต ๓ อย่างได้เช่นนี้ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น เพราะละอุทธัจจะได้กระทำสมาธินั้นแหละให้เป็นปทัฎฐาน เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมชื่อว่ากำจัดบาปธรรมทั้งหลายได้ คือขจัดสังกิเลสธรรมที่ชื่อว่าลามก เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความลามกได้แม้ทุกอย่าง ตามลำดับแห่งมรรค ได้แก่ละได้ด้วยสามารถแห่งสมุจเฉทปหาน.
               เหมือนอะไร?
               เหมือนลมพัดใบไม้ให้ร่วงไปฉะนั้น. อุปมาเหมือนลม (มาลุตะ) ย่อมกำจัดใบ คือใบที่เหลืองของต้นไม้ คือให้สลัดหลุดจากขั้วฉันใด ผู้ที่ตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติตามที่กล่าวแล้วก็ฉันนั้น ย่อมนำบาปธรรมทั้งปวงออกจากสันดานของตนได้.
               พึงทราบว่า คาถานี้ของพระเถระก็จัดว่าเป็นคาถาพยากรณ์อรหัตผลโดยการอ้างถึงพระอรหัตผล.
               ก็ในคาถานี้ ท่านแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งประโยค ด้วยการกล่าวถึงการละกายทุจริตและวจีทุจริต แสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งอาสยะ ด้วยการกล่าวถึงการละมโนทุจริต แสดงถึงการละนิวรณ์ของท่านผู้มีประโยคและอาสยะบริสุทธิ์อย่างนี้ เพราะตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่านนั้น ด้วยการกล่าวถึงความไม่มีอุทธัจจะ นี้ว่า "อนุทฺธโต"
               บรรดาประโยคและอาสยะเหล่านั้น ศีลสมบัติย่อมแจ่มแจ้งด้วยความบริสุทธิ์แห่งประโยค. การกำหนดธรรมที่เป็นอุปการะต่อสมถภาวนา ย่อมแจ่มแจ้งด้วยความบริสุทธิ์แห่งอาสยะ สมาธิภาวนาย่อมแจ่มแจ้งด้วยการละนิวรณ์. ปัญญาภาวนาย่อมแจ่มแจ้งด้วยบาทคาถานี้ว่า ธุนาติ ปาปเก ธมฺเม (ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลายได้).
               ด้วยประการดังพรรณนามานี้ สิกขา ๓ มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น คำสอนที่งาม ๓ อย่าง ปหาน ๓ มีตทังคปหานเป็นต้น ข้อปฏิบัติโดยมัชฌิมาปฏิทา พร้อมกับการเว้นส่วนสุด ๒ อย่าง และอุบายเป็นเครื่องก้าวล่วงภพในอบายเป็นต้น บัณฑิตพึงเอามาขยายประกอบความตามเหมาะสม.
               แม้ในคาถาที่เหลือ ก็พึงทราบการประกอบความตามสมควรโดยนัยนี้.
               ก็ข้าพเจ้าจะพรรณนาเพียงใจความเท่านั้น ในตอนหลัง ในคาถานั้นๆ.
               คำว่า อิตฺถํ สุทํ อายสฺมา มหาโกฏฺฐิโต ได้ยินว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตะ (ได้ภาษิตคาถานี้ไว้) อย่างนี้ นี้เป็นคำกล่าวยกย่องอย่างเดียวกันกับกล่าวยกย่องพระมหาโมคคัลลานะฉะนี้แล.

               จบอรรถกถามหาโกฏฐิตเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ๒. มหาโกฏฐิตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 138อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 139อ่านอรรถกถา 26 / 140อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=4980&Z=4984
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=893
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=893
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :