ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 137อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 138อ่านอรรถกถา 26 / 139อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค
๑. สุภูติเถรคาถา

               วรรควรรณนาที่ ๑               
               อรรถกถาสุภูติเถรคาถา               
               บัดนี้ (ข้าพเจ้าจะเริ่ม) พรรณนาความแห่งเถรคาถาทั้งหลายอันเป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ฉนฺนา เม กุฏิกา ดังนี้.
               ก็เพราะเหตุที่เมื่อข้าพเจ้ากล่าวประกาศความเป็นไปแห่งเรื่องราวของคาถาเหล่านั้นๆ การพรรณนาความนี้จึงจะปรากฎและรู้ได้ง่าย ฉะนั้น ข้าพเจ้าจักประกาศเหตุเกิดแห่งเรื่องไว้ในคาถานั้นๆ แล้วทำการพรรณนาความ.
               บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาว่า ฉนฺนา เม กุฏิกา เป็นต้นมีเรื่องราวเป็นอย่างไร?
               ข้าพเจ้าจะกล่าว (พรรณนา) ดังต่อไปนี้
               ดังได้สดับมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เป็นนาถะของโลกยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น ในที่สุดแห่งแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ บุตรคนหนึ่งเกิดแล้วแก่พราหมณ์ผู้มหาศาลคนหนึ่งในนครชื่อหังสวดี พราหมณ์ได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า "นันทมาณพ".
               นันทมาณพเจริญวัยแล้ว เรียนไตรเพท เมื่อไม่เห็นสิ่งที่เป็นสาระในไตรเพทนั้น จึงบวชเป็นฤษี (อยู่) ที่เชิงเขา พร้อมด้วยมาณพ ๔๔,๐๐๐ ผู้เป็นบริวารของตน ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว. ทั้งยังบอกกัมมัฏฐานแก่อันเตวาสิกทั้งหลายอีกด้วย.
               แม้อันเตวาสิกเหล่านั้นต่างก็ได้ฌาน โดยกาลไม่นานเลย.
               ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จอุบัติแล้วในโลก อาศัยหังสวดีนครประทับอยู่.
               วันหนึ่งทรงตรวจดูหมู่สัตว์ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของเหล่าชฎิลผู้เป็นอันเตวาสิกของนันทดาบส และความปรารถนาตำแหน่งสาวกอันประกอบไปด้วยองค์สองของนันทดาบส จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแต่เช้าทีเดียว ทรงถือบาตรและจีวร ไม่ทรงชวนภิกษุอื่นไรๆ เป็นดุจสีหะเสด็จไปเพียงผู้เดียว เมื่ออันเตวาสิกของนันทดาบสไปหาผลาผล เมื่อนันทดาบสมองเห็นอยู่นั่นแล เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนอยู่ที่พื้นดิน โดยทรงพระดำริว่า ขอนันทดาบสจงรู้ความเป็นพระพุทธเจ้าของเรา ดังนี้.
               นันทดาบสเห็นพุทธานุภาพและความบริบูรณ์แห่งพระลักษณะ พิจารณาดูมนต์สำหรับทำนายลักษณะแล้วรู้ว่า ขึ้นชื่อว่าผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ครอบครองเรือนจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อบวชจะได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ตัดวัฏฏะในโลกได้ขาด. บุรุษอาชาไนยผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย แล้วกระทำการต้อนรับ ไหว้โดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วปูอาสนะถวาย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับนั่งบนอาสนะที่ดาบสปูลาดไว้แล้ว.
               ฝ่ายนันทดาบสเลือกอาสนะที่สมควรแก่ตนแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               สมัยนั้น ชฎิล ๔๔,๐๐๐ คนถือเอาผลาผลมีรสโอชะล้วนแต่ประณีตมาถึงสำนักของอาจารย์ มองดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าและอาจารย์นั่งแล้ว พูดว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายวิจารณ์กันว่า ในโลกนี้ ไม่มีใครใหญ่กว่าท่าน แต่ชะรอยบุรุษผู้นี้จักใหญ่กว่าท่าน.
               นันทดาบสกล่าวว่า พ่อคุณ พวกท่านพูดอะไร (อย่างนั้น) พวกท่านประสงค์จะเปรียบเขาสิเนรุราชซึ่งสูง ๖๘๐,๐๐๐ โยชน์กับเมล็ดพันธุ์ผักกาด พวกท่านอย่าเอาเราเข้าไปเปรียบกับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย.
               ลำดับนั้น ดาบสเหล่านั้นคิดว่า ถ้าท่านผู้นี้จักเป็นคนต่ำต้อยอาจารย์ของพวกเราคงไม่หาซึ่งข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ บุรุษอาชาไนยผู้นี้ใหญ่ขนาดไหนหนอ ดังนี้แล้วพากันหมอบลงแทบเท้า แล้วนมัสการด้วยเศียรเกล้า.
               ลำดับนั้น อาจารย์กล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า พ่อทั้งหลาย ไทยธรรมอันสมควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเราไม่มี และพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จมาในเวลาภิกษาจาร เพราะฉะนั้น พวกเราจักถวายไทยธรรมตามกำลังความสามารถ พวกท่านจงนำเอาผลาผลอันประณีตบรรดามีที่ท่านทั้งหลายนำมาแล้วมาเถิด ดังนี้แล้ว ให้นำผลาผลมาล้างมือแล้วใส่ลงในบาตรของพระตถาคตเจ้าด้วยตนเอง.
               เพียงเมื่อพระศาสดาทรงรับผลาผลเท่านั้น เทวดาทั้งหลายก็ใส่โอชะอันเป็นทิพย์ลงไป. ดาบสกรองน้ำถวายด้วยตนเองทีเดียว.
               ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว ดาบสผู้เป็นอาจารย์จึงเรียกอันเตวาสิกทั้งหมดมา กล่าวสาราณียกถาในสำนักของพระศาสดา นั่งแล้ว.
               พระศาสดาดำริว่า ขอภิกษุสงฆ์จงมา.
               ภิกษุทั้งหลายที่เป็นพระขีณาสพประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ รูปรู้ความดำริของพระศาสดาแล้ว พากันมาถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               นันทดาบสเรียกอันเตวาสิกทั้งหลายมาแล้ว พูดว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย แม้อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งแล้วก็ต่ำ อีกทั้งอาสนะของพระสมณะ๑๐๐,๐๐๐ รูปก็ไม่มี วันนี้ ท่านทั้งหลายควรกระทำสักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ให้โอฬาร ท่านทั้งหลายจงนำดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาจากเชิงเขา.
               ดาบสทั้งหลายนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาโดยครู่เดียวเท่านั้น ปูอาสนะดอกไม้ประมาณ ๑ โยชน์ถวายพระพุทธเจ้าแล้ว. เพราะเหตุที่วิสัยของท่านผู้มีฤทธิ์ เป็นอจินไตย. สำหรับพระอรรคสาวกมีเนื้อที่ประมาณ ๓ คาวุต. สำหรับภิกษุทั้งหลายที่เหลือมีเนื้อที่ประมาณกึ่งโยชน์เป็นต้นเป็นประเภท สำหรับสงฆนวกะได้มีเนื้อที่ประมาณ ๑ อุสภะ.
               เมื่อดาบสทั้งหลายปูอาสนะเสร็จแล้วอย่างนี้ นันทดาบสยืนประคองอัญชลีอยู่เบื้องหน้าพระตถาคต แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จขึ้นสู่อาสนะดอกไม้นี้ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ข้าพเจ้าตลอดกาลนาน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้แล้ว. เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้วอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายรู้อาการของพระศาสดาแล้วจึงนั่งบนอาสนะที่ถึงแล้วแก่ตน ๆ.
               นันทดาบสถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ ยืนกั้นถวายบนพระเศียรของพระตถาคตเจ้า.
               พระศาสดาทรงดำริว่า สักการะนี้ของดาบสทั้งหลายจงมีผลมาก แล้วเข้านิโรธสมาบัติ. แม้ภิกษุทั้งหลายรู้ว่าพระศาสดาเข้าสมาบัติแล้ว จึงพากันเข้าสมาบัติ.
               เมื่อพระตถาคตเจ้าประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร อันเตวาสิกทั้งหลายต่างบริโภคมูลผลาผลในป่า ในเวลาที่เหลือก็ยืนประคองอัญชลีแด่พระพุทธเจ้า.
               ส่วนนันทดาบสไม่ยอมไปภิกษาจาร ทรงฉัตรดอกไม้ (ถวายพระศาสดา) ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยปีติสุขอย่างเดียวตลอด ๗ วัน.
               พระศาสดาตรัสสั่งพระสาวกรูปหนึ่งผู้ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ องค์แห่งภิกษุผู้อยู่โดยไม่กิเลสและองค์แห่งภิกษุผู้เป็นทักขิไณยบุคคลว่า เธอจงกระทำอนุโมทนาถึงอาสนะที่สำเร็จด้วยดอกไม้แก่หมู่ฤาษี.
               ภิกษุรูปนั้นมีใจยินดีแล้ว ดุจทหารผู้ใหญ่ได้รับพระราชทานลาภใหญ่จากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ (เลือกสรร) เฉพาะพุทธวจนะ คือพระไตรปิฎกมาทำอนุโมทนา.
               ในที่สุดแห่งเทศนาของภิกษุนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมด้วยพระองค์เอง.
               ในเวลาจบเทศนา ดาบส ๔๔,๐๐๐ ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตแล้ว พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ออกตรัสว่า เธอทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด. ผมและหนวดของดาบสเหล่านั้นอันตรธานไปในทันใดนั้นเอง. บริขาร ๘ สวมใส่อยู่แล้วในกาย (ของดาบสเหล่านั้น) ครบถ้วน. ดาบสเหล่านั้นเป็นดุจพระเถระผู้มีพรรษา ๖๐ แวดล้อมพระศาสดาแล้ว.
               ส่วนนันทดาบสไม่ได้บรรลุคุณพิเศษ เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน.
               ได้ยินว่า นันทดาบสนั้นจำเดิมแต่เริ่มฟังธรรมในสำนักของพระเถระผู้อยู่อย่างปราศจากกิเลส ได้เกิดจิตตุปบาทขึ้นว่า โอหนอ แม้เราพึงได้ธุระอันพระสาวกนี้ได้แล้วในศาสนาของของพระพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคตกาล.
               ด้วยปริวิตกนั้น นันทดาบสจึงไม่สามารถทำการแทงตลอดมรรคและผลได้. แต่ท่านได้ถวายบังคมพระตถาคตเจ้า แล้วยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้กระทำอนุโมทนาถึงอาสนะที่ทำด้วย ดอกไม้ต่อหมู่ฤาษี นี้มีชื่ออย่างไรในศาสนาของพระองค์.
               พระศาสดาตรัสตอบว่า ภิกษุนั้นชื่อว่าถึงแล้วซึ่งเอตทัคคะในองค์แห่งภิกษุผู้อยู่อย่างไม่มีกิเลส และในองค์แห่งภิกษุผู้เป็นพระทักขิไณยบุคคล.
               ท่านได้ทำความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะนี้ใดที่ข้าพระองค์ผู้เข้าไปทรงไว้ซึ่งฉัตรคือดอกไม้ตลอด ๗ วัน กระทำแล้วด้วยอธิการนั้น ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่น แต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงเป็นสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ ดุจพระเถระนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด.
               พระศาสดาทรงส่งอนาคตังสญาณไปตรวจดูอยู่ว่า ความปรารถนาของดาบสนี้จักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงตรวจดูอยู่ ทรงเห็นความปรารถนาของดาบสจะสำเร็จโดยล่วงแสนกัปไปแล้ว จึงตรัสว่า ความปรารถนาของท่านจักไม่เป็นโมฆะ ในอนาคตกาลผ่านแสนกัปไปแล้ว พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้น ความปรารถนาของท่านจักสำเร็จในสำนักของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะนั้น แล้วตรัสธรรมกถา ทรงแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์แล้วแล่นไปสู่อากาศ (เหาะไปแล้ว).
               นันทดาบสได้ยืนประคองอัญชลีอุทิศเฉพาะพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ จนกระทั่งลับคลองจักษุ. ในเวลาต่อมา ท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมตามกาลเวลา. มีฌานไม่เสื่อมแล้วทีเดียว ทำกาละไปบังเกิดในพรหมโลก. และจุติจากพรหมโลกนั้นแล้วบวชอีก ๕๐๐ ชาติ ได้เป็นผู้มีการอยู่ป่าเป็นวัตร.
               แม้ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ก็ได้บวช เป็นผู้มีการอยู่ป่าเป็นวัตร บำเพ็ญคตปัจจาคตวัตรให้บริบูรณ์แล้ว.
               ได้ยินว่า ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญวัตรนี้ ชื่อว่าจะบรรลุถึงความเป็นพระมหาสาวกไม่ได้เลย. ท่านบำเพ็ญคตปัจจาคตวัตรอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ทำกาละแล้วบังเกิดในภพดาวดึงส์ ในเทวโลกชั้นกามาพจร.
               สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
               ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาชื่อนิสภะ เราได้สร้างอาศรมไว้ที่ภูเขานิสภะนั้นอย่างสวยงาม สร้างบรรณศาลาไว้ ในกาลนั้น เราเป็นชฎิลมีนามว่าโกลิยะ มีเดชรุ่งเรือง ผู้เดียวไม่มีเพื่อน อยู่ที่ภูเขาชื่อนิสภะ เวลานั้น เราไม่บริโภคผลไม้ เหง้ามันและใบไม้ ในกาลนั้น เราอาศัยใบไม้เป็นต้นที่เกิดเองและหล่นเอง เลี้ยงชีวิต เราย่อมไม่ยังอาชีพให้กำเริบ แม้จะสละชีวิต ย่อมยังจิตของตนให้ยินดี เว้นอเนสนา
               จิตสัมปยุตด้วยราคะเกิดขึ้นแล้วแก่เราเมื่อใด เมื่อนั้นเราบอกตนเองว่า เราผู้เดียวทรมานจิตนั้น ท่านกำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง และหลงใหลในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหล จงออกไปเสียจากป่า ที่อยู่นี้เป็นของท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน มีตบะ ท่านอย่าประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์เลย จงออกไปเสียจากป่าเถิด ท่านจักเป็นเจ้าของเรือนได้สิ่งที่ควรได้เมื่อใด ท่านอย่ายินดี แม้ทั้ง ๒ อย่างนั้นเลย จงออกไปจากป่าเถิด เปรียบเหมือนฟืนเผาศพ ใช้ทำกิจอะไรๆ ที่ไหนไม่ได้ ไม้นั้นเขาไม่ได้สมมติว่าเป็นไม้ในบ้านหรือในป่า ฉันใด
               ท่านก็เปรียบเหมือนฟืนเผาศพฉันนั้น จะเป็นคฤหัสถ์ก็ไม่ใช่ จะเป็นสมณะก็ไม่ใช่ วันนี้ ท่านพ้นจากเพศทั้งสอง จงออกไปจากป่าเสียเถิด ข้อนี้พึงมีแก่ท่านหรือหนอ ใครจะรู้ข้อนี้ของท่าน ใครจะนำธุระของท่านไปได้โดยเร็ว เพราะท่านมากไปด้วยความเกียจคร้าน วิญญูชนจักเกลียดท่านเหมือนชาวเมืองเกลียดของไม่สะอาดฉะนั้น ฤาษีทั้งหลายจักคร่าท่านมา ประท้วงทุกเมื่อ วิญญูชนจักประกาศท่านว่า มีศาสนาอันก้าวล่วงแล้ว ก็เมื่อไม่ได้การอยู่ร่วม ท่านจักเป็นอยู่อย่างไรได้
               ช้างมีกำลังเข้าไปหาช้างกุญชรตกมัน ๓ ครั้ง เกิดในตระกูลช้างมาตังคะมีอายุ ๖๐ ด้อยกำลังแล้วถูกนำออกจากโขลง มันถูกขับออกจากโขลงแล้วย่อมไม่ได้ความสุขสำราญ เป็นสัตว์มีทุกข์ โศกเศร้า ซบเซาหวั่นไหวอยู่ฉันใด ชฎิลทั้งหลายจักขับแม้ท่านผู้มีปัญญาทรามออก ท่านถูกชฎิลเหล่านั้นขับไล่แล้ว จักไม่ได้ความสุขสำราญฉันนั้น ท่านเพรียบพร้อมแล้วด้วยลูกศรคือความโศก ทั้งกลางวันและกลางคืน จักถูกความเร่าร้อนแผดเผา เหมือนช้างถูกขับออกจากโขลงฉะนั้น
               เบ้าทองย่อมไม่ถูกเผาไหม้ที่ไหนๆ ฉันใด ท่านมีศีลวิบัติแล้วก็ฉันนั้น จักไม่ทำกิเลสให้ไหม้ได้ในที่ไหนๆ แม้ท่านจะอยู่ครองเรือนก็จักเป็นอยู่อย่างไรได้ แม้ทรัพย์อันเป็นของมารดาบิดาที่เก็บไว้แล้วของท่านก็ไม่มี ท่านต้องทำงานเองชนิดอาบเหงื่อต่างน้ำจักมีชีวิตอยู่ในเรือนอย่างนี้ ท่านไม่ชอบใจกรรมที่ดี
               เราห้ามใจอันหมักหมมด้วยสังกิเลสอย่างนี้ ในที่นั้น เรากล่าวธรรมกถานานาชนิด ห้ามจิตจากบาปธรรม เมื่อเรามีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างนี้ เวลา ๓ หมื่นปี ล่วงเลยเราผู้อยู่ในป่าใหญ่ไปแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงเห็นเราผู้ยินดีแล้วในความไม่ประมาท ผู้แสวงหาประโยชน์อันอุดม จึงเสด็จมายังสำนักของเรา.
               พระพุทธเจ้าผู้มีพระรัศมีดังสีทองชมพูนุท ประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเสมอด้วยพระรูปพระโฉม เสด็จจงกรมอยู่บนอากาศในเวลานั้น พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอด้วยพระญาณ เสด็จจงกรมอยู่บนอากาศในเวลานั้น ดังพญารังมีดอกบานสะพรั่ง เหมือนสายฟ้า (แลบ) ในกลุ่มเมฆ พระองค์เสด็จจงกรมอยู่บนอากาศ ในเวลานั้น ดุจพญาราชสีห์ตัวไม่เกรงใคร ดุจพญาช้างตัวองอาจ ดุจพญาเสื่อโคร่งตัวไม่ครั่นคร้าม
               พระพุทธเจ้าผู้มีพระรัศมีดังสิงคี ส่องสว่างดังถ่านเพลิงไม้ตะเคียน มีพระรัศมีโชติช่วงดังดวงแก้วมณี เสด็จจงกรมอยู่บนอากาศในเวลานั้น พระพุทธเจ้ามีพระรัศมีเปรียบดังเขาไกรลาสอันบริสุทธิ์ เสด็จจงกรมอยู่บนอากาศในเวลานั้น ดังพระจันทร์ในวันเพ็ญ ดุจพระอาทิตย์ใน เวลาเที่ยง
               เวลานั้น เราได้เห็นพระองค์เสด็จจงกรมอยู่บนอากาศ จึงคิดอย่างนี้ว่า สัตว์ผู้นี้เป็นเทวดาหรือว่าเป็นมนุษย์ นระเช่นนี้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือได้พบเห็นบนแผ่นดิน ชะรอยจะเป็นอำนาจเวทมนตร์ ผู้นี้คงจักเป็นพระศาสดา ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว ได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใส เรารวบรวมเอาดอกไม้และของหอมต่างๆ ไว้ในเวลานั้น ได้ปูลาดอาสนะดอกไม้อันวิจิตรดี เป็นที่รื่นรมย์ใจ แล้วได้ทูลคำนี้กะพระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่านระผู้เป็นสารถี ว่าข้าแต่พระวีระ อาสนะอันสมควรแก่พระองค์นี้ ข้าพระองค์ปูถวายไว้แล้ว ขอได้ทรงโปรดยังจิตของข้าพระองค์ให้ร่าเริง ประทับนั่งบนอาสนะดอกโกสุมเถิด
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ไม่ทรงหวาดหวั่นดังพญาไกรสร ประทับนั่งบนอาสนะดอกโกสุมอันประเสริฐนั้น เป็นเวลา ๗ คืน ๗ วัน.
               พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลกเสด็จออกจากสมาธิแล้ว เมื่อทรงพยากรณ์กรรมของเรา ได้ตรัสพระพุทธพจน์ดังนี้ว่า ท่านจงเจริญพุทธานุสติอันยอดเยี่ยมกว่าภาวนาทั้งหลาย ครั้นเจริญพุทธานุสตินี้แล้วจักยังมนัสให้สมบูรณ์ จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอดสามหมื่นกัป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวสมบัติถึง ๘๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ จักได้เสวยสมบัตินั้นทั้งหมด นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสติ เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จักได้โภคสมบัติเป็นอันมาก จักไม่มีความบกพร่องด้วยโภคะ นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสติ
               แม้ (สิ้นเวลา) แสนกัป พระศาสดาทรงพระนามว่าโคตมะ โดยพระโคตร ผู้ทรงสมภพในองค์ของพระเจ้าโอกากราช จักเสด็จ อุบัติในโลก. ท่านสละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ข้าทาสและกรรมกรเป็นอันมาก จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักยังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดม ศากยบุตร ผู้ประเสริฐให้โปรดปราน จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า "สุภูติ"
               พระศาสดาพระนามว่าโคดม ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว จักทรงตั้งท่านว่าเป็นเลิศใน ๒ ตำแหน่งคือ ในคุณคือความเป็นพระทักขิไณยบุคคล ๑ ในการอยู่โดยไม่มีข้าศึก ๑
               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระนามสูงสุดกว่าสัตว์ผู้เกิดในน้ำ (และบนบก) (ผู้เป็นมหาวีระ) ครั้นตรัสดังนี้แล้ว เสด็จเหาะขึ้นสู่ อากาศดุจพญาหงส์ในทิฆัมพร เราอันพระโลกนาถพร่ำสอนแล้ว ถวายบังคมพระตถาคตเจ้า มีจิตเบิกบาน เจริญพุทธานุสติอันสูงสุดทุกเมื่อ ด้วยกุศลกรรมที่เราทำดีแล้วนั้นและด้วยการตั้งเจตนาไว้ เราละกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ได้เป็นจอมเทพ เสวยทิพยสมบัติ ๘๐ ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ได้เสวยสมบัติเป็นอันดี นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสติ เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เราย่อมได้โภคสมบัติมาก เราไม่มีความบกพร่องด้วยโภคะเลย นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสติ
               ในแสนกัปแต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในกาลนั้น ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง (การเจริญ) พุทธานุสติ.
               คุณพิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้กระทำเสร็จแล้วฉะนี้แล.
               ทราบว่า พระสุภูติเถระเจ้าได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล.
               ก็นันทดาบสนั้นเสวยทิพยสมบัติด้วยสามารถแห่งการเกิด สลับกันไปในดาวดึงส์พิภพ จุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว เป็นพระเจ้าจักรพรรดิและเป็นเจ้าประเทศราชในมนุษยโลก นับ ๑,๐๐๐ ครั้ง เสวยมนุษยสมบัติอันโอฬาร.
               ต่อมาในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เกิดเป็นน้องชายของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในเรือนของสุมนเศรษฐี ณ กรุงสาวัตถี ได้มีนามว่า "สุภูติ"
               สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงประกาศธรรมจักร เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ทรงกระทำการอนุเคราะห์สัตวโลก โดยการรับมอบพระวิหารเวฬุวันเป็นต้นในกรุงราชคฤห์นั้น อาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ในป่าสีตวัน.
               ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถือเอาเครื่องมือของผู้หมั่นขยันในพระนครสาวัตถี สร้างเรือนของเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ สดับข่าวการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาผู้เสด็จประทับอยู่ ณ ป่าสีตวัน ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผลโดยการเข้าเฝ้าครั้งแรกทีเดียว แล้วทูลขอให้พระศาสดาเสด็จมากรุงสาวัตถีอีก ให้สร้างพระวิหาร โดยการบริจาคทรัพย์ ๑ แสนไว้ในที่ห่างกันโยชน์หนึ่งๆ ในระยะทาง ๔๕ โยชน์ ถัดจากกรุงสาวัตถีนั้น ซื้อที่สวนของพระราชกุมารทรงพระนามว่าเชตะ ประมาณ ๘ กรีสโดยมาตราวัดหลวง ด้วยการเอาทรัพย์ปูลาดไปเป็นโกฎิๆ.
               ในวันที่พระศาสดาทรงรับพระวิหาร สุภูติกุฎุมพีนี้ได้ไปพร้อมกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังเทศนาแล้ว ได้มีศรัทธา (ปสาทะ) บรรพชาแล้ว. ท่านอุปสมบทแล้ว ทำมาติกา ๒ ให้คล่องแคล่ว ให้อาจารย์บอกกัมมัฏฐาน บำเพ็ญสมณธรรมในป่า เจริญวิปัสสนา มีเมตตาฌานเป็นบาทบรรลุพระอรหัตแล้ว. ก็เพราะเมื่อท่านแสดงธรรม ย่อมแสดงธรรมไม่เจาะจงตามทำนองที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงได้นามว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้อยู่โดยไม่มีข้าศึก. เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ก็เข้าฌานแผ่เมตตาไปทุกๆ บ้าน ออกจากฌานแล้วจึงรับภิกษา ด้วยคิดว่า โดยวิธีนี้ ทายกทั้งหลายจักมีผลมาก. เพราะฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่า เป็นผู้เลิศกว่าทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พระสุภูติเลิศกว่าภิกษุสาวกของเรา ผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่มีกิเลส พระสุภูติเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ดังนี้.
               พระมหาเถระนี้ตั้งอยู่ในพระอรหัตผลแล้ว ถึงที่สุดแห่งผลของบารมีที่ตนได้บำเพ็ญแล้ว เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องในโลก เที่ยวจาริกไปตามชนบท เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่ชนหมู่มาก ถึงกรุงราชคฤห์แล้วโดยลำดับด้วยประการฉะนี้.
               พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับการมาของพระเถระแล้ว เสด็จไปหาไหว้แล้ว ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านอยู่ในที่นี้แหละ ทรงพระดำริว่าเราจักสร้างที่อยู่ถวายดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไปแล้วก็ทรงลืมเสีย. พระเถระ เมื่อไม่ได้เสนาสนะ ก็ยังเวลาให้ผ่านไปในอัพโภกาส (กลางแจ้ง) ด้วยอานุภาพของพระเถระ ฝนไม่ตกเลย.
               มนุษย์ทั้งหลายถูกภาวะฝนแล้งบีบคั้นคุกคาม จึงพากันไปทำการร้องทุกข์ที่ประตูวังของพระราชา. พระราชาทรงใคร่ครวญดูว่า ด้วยเหตุไรหนอแล ฝนจึงไม่ตก แล้วทรงพระดำริว่า ชะรอยพระเถระจะอยู่กลางแจ้งฝนจึงไม่ตก แล้วรับสั่งให้สร้างกุฎีมุงด้วยใบไม้ถวายพระเถระ แล้วรับสั่งว่าท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านอยู่ในบรรณกุฎีนี้แหละไหว้แล้ว เสด็จหลีกไป.
               พระเถระเข้าไปสู่กุฎี แล้วนั่งขัดสมาธิบนอาสนะที่ปูลาดด้วยหญ้า. ก็ในครั้งนั้น ฝนหยาดเม็ดลงมาเล็กๆ น้อยๆ ไม่ยังสายธารให้ชุ่มชื่นทั่วถึง.
               ลำดับนั้น พระเถระประสงค์จะบำบัดภัยอันเกิดแต่ฝนแล้งแก่ชาวโลกจึงประกาศความไม่มีอันตราย ที่เป็นวัตถุภายในและภายนอกของตนจึงกล่าวคาถาว่า
                         กระท่อมของเรามุงแล้ว สะดวกสบายปราศจากลม
               ดูก่อนฝน ท่านจงตกตามสบายเถิด จิตของเราตั้งมั่นแล้ว
               หลุดพ้นแล้ว เรามีความเพียรเครื่องเผากิเลสอยู่
               ดูก่อนฝน ท่านจงตกเถิด ดังนี้.


               ฉนฺนศัพท์ในคาถานั้น มาแล้วในความเหมาะสม ดังในประโยคมีอาทิว่า เด็กหญิงคนนั้น เหมาะสมกับเด็กชายคนนี้ และดังประโยคมีอาทิว่า ไม่เหมาะสม (คือ) ไม่สมควร.
               มาแล้วในสังขยาพิเศษ ที่ทำถ้อยคำให้สละสลวย ดังในประโยคมีอาทิว่า ฉนฺนํ เตฺวว ผคฺคุณผสฺสายนานํ.
               มาแล้วในความว่า ยึดถือ ดังในประโยคมีอาทิว่า ฝนคือกิเสส ย่อมรั่วรดผู้ที่ยึดถือ ย่อมไม่รั่วรด ผู้ปราศจากกิเลส.
               มาในความว่า นุ่งห่ม ดังในประโยค มีอาทิว่า แม้เรา ก็ยังไม่ได้นุ่งห่มจักทำอะไรให้ท่านได้.
               มาในต้นบัญญัติ ดังในประโยคมีอาทิว่า ท่านฉันนะ ได้ประพฤติอนาจาร.
               มาในความว่า มุงบังด้วยหญ้าเป็นต้น ดังในประโยคว่า เรามุงบังไว้หมดแล้ว เรามุงบังไว้เรียบร้อยแล้ว และดังในประโยคว่า เรามุงบังกระท่อมไว้แล้ว ก่อไฟไว้แล้ว.
               แม้ในคาถานี้ พึงทราบว่า มาในความหมายว่า มุงบังด้วยหญ้าเป็นต้นอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงมีอธิบายว่า กุฎีที่มุงบังแล้วด้วยหญ้าหรือใบไม้ ชื่อว่ามุงบังไว้ดีแล้วทีเดียว โดยประการที่ฝนจะไม่รั่ว คือฝนจะไม่หยดลงมา ได้แก่ รั่วรดไม่ได้เลย.
               เม ศัพท์มาแล้วในกรณะ (ตติยาวิภัตติ) ดังในประโยคมีอาทิว่า บัดนี้ ไม่ควรเลย ที่จะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วโดยแสนยาก. อธิบายว่า มีความหมายเท่ากับ มยา (อันเรา).
               มาแล้วในความว่า มอบให้ ดังในประโยคมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์นั้น โดยย่อ. อธิบายว่า มีความหมายเท่ากับ มยฺหํ (แก่ข้าพระองค์).
               มาแล้วในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่กาลตรัสรู้เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ดังนี้ แม้ในคาถานี้ พึงทราบว่าใช้ในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติอย่างเดียว. อธิบายว่า มีความหมายเท่ากับ มม.
               ขึ้นชื่อว่า สิ่งไรๆ ที่จะพึงยึดถือว่า เป็นของเรา ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพทั้งหลาย เพราะพระขีณาสพเหล่านั้นอันโลกธรรมทั้งหลายเข้าไปแปดเปื้อนไม่ได้ก็จริง แต่โดยสมบัติของโลก แม้พระขีณาสพเหล่านั้นก็ยังมีเพียงการกล่าวเรียกกันว่าเรา ว่าของเรา. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สาวกทั้งหลายของเราพึงเป็นธรรมทายาทเถิด อย่าเป็นอามิสทายาทเลยด้วยเหตุดังฤา.
               ก็ท้องมารดาก็ดี กรชกายก็ดี แม้ที่อาศัยซึ่งมุงบังด้วยหญ้าเป็นต้นก็ดี ท่านเรียกว่า กระท่อม.
               สมจริงตามนั้น ท้องมารดาท่านเรียกว่า กระท่อม ดังในประโยคมีอาทิว่า
                         ท่านกล่าวมารดา ว่าเป็นกระท่อม ท่านกล่าวภรรยา
               ว่าเป็นรัง ท่านกล่าวบุตร ว่าเป็นเครื่องสืบต่อไป ท่านกล่าว
               ตัณหา ว่าเป็นเครื่องผูกแก่เรา
ดังนี้.

               กรชกายอันเป็นที่ประชุมแห่งอาการ ๓๒ มีผมเป็นต้น ท่านเรียกว่ากระท่อม ดังในประโยคมีอาทิว่า
                         เราติเตียนกระท่อม คือสรีระร่าง อันสำเร็จด้วย
               โครงกระดูก อันฉาบทาด้วยเนื้อ ร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น
               เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด
               ที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจว่าเป็นของผู้อื่น และเป็นของตน
ดังนี้.

               ที่อาศัยที่มุงบังด้วยหญ้า ท่านเรียกว่า กระท่อม ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนน้องหญิง กระท่อมของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ฝนรั่วรดได้ ดังนี้ และดังในประโยคมีอาทิว่า ขึ้นชื่อว่ากระท่อม ฉาบแล้วก็มี ยังไม่ได้ฉาบก็มีดังนี้.
               แม้ในคาถานี้พึงทราบว่า ได้แก่ ที่อาศัยอันมุงด้วยหญ้านั่นแล เพราะหมายถึงบรรณศาลา เพราะว่า กระท่อม ก็คือกุฎีนั่นเอง. อธิบายว่า กุฎี ที่ไม่ปรากฏ ท่านเรียกว่า กระท่อม.
               ส่วนสุขศัพท์ มาในสุขเวทนา ดังในประโยคมีอาทิว่า บุคคลละสุขและทุกข์ โสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนได้ ดังนี้. มาในความว่า เป็นมูลของความสุข ดังในประโยคมีอาทิว่า การบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายนำมาซึ่งความสุข การฟังพระธรรมเทศนานำมาซึ่งความสุข ดังนี้.
               มาในเหตุแห่งความสุข ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า บุญ นี้เป็นชื่อของความสุข ดังนี้. มาในอารมณ์ที่เป็นสุข ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนมหาลี ก็เพราะเหตุใดแล รูปจึงเป็นสุขอันสุขติดตามแล้ว ก้าวลงแล้วสู่ความสุข ดังนี้.
               มาในความไม่เพ่งเล็ง ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนจุนทะ รูปสมาบัติเหล่านี้เป็นสุขวิหารธรรมในปัจจุบัน ในวินัยของพระอริยเจ้า ดังนี้. มาในพระนิพพาน ดังในประโยคว่า พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้.
               มาในฐานะอันเป็นปัจจัยของความสุข ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพียงเท่านี้แม้จะเปรียบอุปมา โดยการบอกกล่าว จนถึงสวรรค์เป็นสุข ก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายนัก ดังนี้. มาในอารมณ์ที่น่าปรารถนา ดังในประโยคมีอาทิว่า เป็นไปเพื่อสวรรค์ มีสุขเป็นวิบาก ยังสวรรค์ให้เป็นไปพร้อมดังนี้.
               แม้ในคาถานี้ พึงทราบว่ามาในอารมณ์ที่น่าปรารถนา หรือในอารมณ์อันเป็นเหตุแห่งความสุข.
               ก็กุฎีนั้นยังความพอใจทั้งภายในและภายนอก ให้ถึงพร้อมแล้ว ท่านจึงเรียกว่า สุข เพราะอยู่อาศัยสบาย. อนึ่ง ท่านเรียกว่า สุข เพราะเป็นปัจจัยแห่งความสุขทางกายและสุขทางใจ โดยประกอบไปด้วยความสมบูรณ์ด้วยความสุขทุกฤดู เพราะไม่หนาวเกินไป และไม่ร้อนเกินไป.
               บทว่า นิวาตา แปลว่า ไม่มีลม. อธิบายว่า เว้นจากอันตรายอันเกิดแต่ลม เพราะมีช่องหน้าต่างอันปิดลงกลอนได้สนิท.
               บทว่า นิวาตา นี้เป็นบทแสดงถึงความที่กุฎีนั้นอำนวยความสุข เพราะว่า ในเสนาสนะที่มีลม จะไม่ได้ฤดูเป็นที่สบาย ในเสนาสนะที่อับลมจึงจะได้ฤดูเป็นที่สบายนั้น.
               บทว่า วสฺส แปลว่า ยังฝนให้ตก คือยังธารนำให้หลั่งลงมาโดยชอบ.
               เทวศัพท์ ในบทว่า เทวานี้ มาในความหมายว่า กษัตริย์ผู้สมมติเทพ ดังในประโยคมีอาทิว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระนครแปดหมื่นสี่พันอันมีเมืองกุสาวดีราชธานี เป็นประมุขเหล่านี้ของพระองค์ ขอพระองค์จงยังฉันทะให้เกิดในพระนครเหล่านี้เถิด จงทำความใยดีในชีวิต ดังนี้.
               มาในอุปปัตติเทพ ดังในประโยคมีอาทิว่า เหล่าเทพชั้นจาตุมหาราชิกา มีวรรณะมากด้วยความสุข ดังนี้.
               มาในวิสุทธิเทพ ดังในประโยคมีอาทิว่า คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นเทพเหนือเทพ ผู้เห็นไญยธรรมทั้งปวง ดังนี้. ก็ในเมื่อกล่าวถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเทพเหนือกว่าวิสุทธิเทพทั้งหลาย เทพนอกนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงแล้วทีเดียว.
               มาในอากาศดังในประโยคมีอาทิว่า ในอากาศที่แจ่มใส ปราศจากเมฆหมอก ดังนี้.
               มาในเมฆหรือหมอก ดังในประโยคมีอาทิว่า ก็ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลดังนี้.
               แม้ในคาถานี้ ได้แก่ เมฆหรือหมอก. ก็พระเถระกล่าวบังคับเมฆหมอกเหล่านั้นว่า วัสสะ (จงยังฝนให้ตก).
               บทว่า ยถาสุขํ แปลว่า ตามใจชอบ. พระเถระเมื่อจะอนุเคราะห์เหล่าสัตว์ผู้อาศัยฝนเป็นอยู่จึงกล่าวว่า อันตรายในภายนอกไม่มีแก่เรา เพราะการตกของท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงตกตามสบายเถิด ดังนี้.
               บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงถึงความไม่มีอันตรายในภายในจึงกล่าวคำมีอาทิว่า จิตฺตํ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตํ เม สุสมาหิตํ ความว่า จิตของเราตั้งอยู่แล้วในอารมณ์ด้วยดี คือดียิ่ง โดยชอบ คือโดยความเป็นเอกัคคตารมณ์อันถูกต้องทีเดียว.
               แลจิตนั้นมิได้ตั้งมั่น ด้วยเหตุเพียงข่มนิวรณ์เป็นต้นไว้ได้เท่านั้น โดยที่แท้ จิตนั้นหลุดพ้นแล้ว คือพ้นแล้วโดยพิเศษจากสังโยชน์ทั้งปวงอันสงเคราะห์ด้วยโอรัมภาคิยสังโยชน์ และอุทธัมภาคิยสังโยชน์ และจากกิเลสธรรมทั้งปวง. อธิบายว่า ละกิเลสเหล่านั้นได้ ด้วยสามารถแห่งสมุจเฉทปหานแล้วตั้งอยู่.
               บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร. อธิบายว่า เราเป็นผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว เพื่อผลสมาบัติและเพื่ออยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม โดยเริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา แต่มิใช่เพื่อจะละกิเลส เพราะไม่มีกิเลสที่จะต้องละนั่นเอง. พระเถระเมื่อจะแสดงว่า ดูก่อนฝน ท่านอันข้าพเจ้าเชิญชวนให้ตก เพราะไม่มีอันตรายในภายนอกฉันใด แม้อันตรายภายในก็ไม่มีฉันนั้น จึงกล่าวคำว่า วสฺส เทว (ดูก่อนฝนท่านจงตกเถิด) ดังนี้ไว้อีก.
               นัยอื่น บทว่า ฉนฺนา ได้แก่ ปิดแล้ว บังแล้ว.
               บทว่า กุฏิกา ได้แก่ อัตภาพ.
               ก็อัตภาพนั่นมาแล้ว โดยความหมายว่ากาย ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้เองของบุคคลซึ่งเป็นที่รวมแห่งอวัยวะมิใช่น้อย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ประกอบแล้วด้วยตัณหา ประชุมกันแล้วและมีนามรูปในภายนอก. มาแล้วในความหมายว่า เรือ ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงวิดเรือลำนี้ เรืออันเธอวิดแล้วจักถึงฝั่งได้เร็ว. มาแล้วในความหมายว่า เรือน ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนนายช่างผู้ทำเรือน ยอดของเรือนเราหักแล้ว.
               มาโดยความหมายว่า ถ้ำ ดังในประโยคมีอาทิว่า นรชนผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย ถูกกิเลสเป็นอันมากปกปิดไว้แล้ว ดำรงอยู่ด้วยอำนาจกิเลสมีราคะเป็นต้น หยั่งลงในกามคุณเครื่องทำจิตให้ลุ่มหลง.
               มาแล้วโดยความหมายว่า รถ ดังในประโยคมีอาทิว่า รถคืออัตภาพ มีศีลอันหาโทษมิได้ มีหลังคาคือบริขารขาว มีกรรมคือสติอันเดียว แล่นไปอยู่. มาแล้วในคำว่า ที่อยู่อาศัย ดังในประโยคว่า ท่านจักทำเรือน (ที่อยู่อาศัย) ไม่ได้อีกแล้ว.
               มาแล้วโดยความหมายว่า กุฎี ดังในประโยคมีอาทิว่า กุฎีคืออัตภาพมีหลังคาอันเปิดแล้ว ไฟดับสนิทแล้ว. เพราะฉะนั้น แม้ในคาถานี้ ท่านจึงเรียกอัตภาพนั้นว่า กุฏิกา (กระท่อม). อธิบายว่า อัตภาพจะมีได้ เพราะอาศัยปฐวีธาตุเป็นต้น และผัสสะเป็นต้น ที่หมายรู้กันว่า ได้แก่ กระดูก เป็นต้น เหมือนกระท่อมที่ได้นามว่าเรือน จะมีได้ เพราะอาศัยทัพสัมภาระมีไม้เป็นต้น ท่านจึงเรียกว่า กุฏิกา กระท่อมเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของลิง คือจิต.
               และสมกับที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                         กระท่อมคือร่างกระดูกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของลิง
               คือจิต เพราะฉะนั้น ลิงคือจิตจึงกระเสือกกระสนจะ
               ออกจากกระท่อม ที่มีประตู ๕ พยายามวิ่งวนไปมา
               ทางประตูบ่อยๆ
ดังนี้.

               ก็และกระท่อม คือ อัตภาพนี้นั้น ท่านกล่าวว่า อันพระเถระปิดบังแล้ว เพราะจิตที่กิเลสรั่วรด ชุ่มไปด้วยราคะเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งอสังวรทวารทั้ง ๓ ช่อง ๖ ช่อง และ๘ ช่อง อันพระเถระสำรวมแล้วด้วยปัญญา คือปิดกั้นแล้วโดยชอบนั่นเอง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เราตถาคต กล่าวการสำรวมระวังกระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นย่อมปิดกั้นได้ด้วยปัญญา ดังนี้.
               ชื่อว่ามีความสุข คือถึงแล้วซึ่งความสุข เพราะปิดบังได้ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล และเพราะความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยความสุขที่ปราศจากอามิส โดยไม่มีทุกข์ คือกิเลส. ก็เพราะเหตุที่ถึงความสุขแล้วนั้นเองจึงชื่อว่า สงัดจากลม ได้แก่ มีความประพฤติอ่อนน้อม เพราะมีความเมา คือมานะ ความดื้อดันและความแข่งดี อันขจัดได้แล้ว.
               พระเถระเมื่อจะแสดงว่า ก็แนวทางอันนี้สำเร็จแก่ข้าพเจ้าด้วยเหตุเพียงระวังสังกิเลสธรรม (อย่างเดียว) ก็หามิได้ โดยที่แท้แล้ว สำเร็จเพราะความเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดี ด้วยสมาธิอันสัมปยุตแล้วด้วยมรรคอันเลิศและเพราะความเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์ทั้งปวง ด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรคอันเลิศจึงกล่าวคำมีอาทิว่า จิตฺตํ เม สุสมาหิตํ วิมุตฺตํ (จิตของเราตั้งมั่นแล้ว หลุดพ้นแล้ว) ดังนี้.
               พึงเห็นความในคาถานี้อย่างนี้ว่า ก็ข้าพเจ้าผู้เป็นอย่างนี้แล้ว จะเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ด้วยคิดว่า บัดนี้ เราทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้วดังนี้ ก็หามิได้ โดยที่แท้แล้ว เราเป็นผู้มีความเพียรอยู่ คือเป็นผู้มีความอุตสาหะเกิดแล้วในการบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่สัตวโลก พร้อมทั้งเทวดา แม้ในเวลาเที่ยวภิกษาจาร ก็ยับยั้งอยู่ด้วยพรหมวิหารธรรมอย่างเดียวตามลำดับเรือน. เพราะฉะนั้น แม้ท่านก็จงยังฝนให้ตก คือ ยังสายฝนให้หลั่งไหลไปโดยชอบ เพื่อกระทำความน่ารัก สำหรับเราอีกทั้งเพื่ออนุเคราะห์เหล่าสัตว์ผู้เข้าไปอาศัยน้ำฝนเป็นอยู่.
               ก็ด้วยบทว่า ฉนฺนา เม กุฏิกา สุขา นิวาตา นี้ ในคาถานี้พระเถระแสดงถึงอธิศีลสิกขาของตนโดยประเภทที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
               ด้วยบทว่า จิตฺตํ เม สุสมาหิตํ นี้ แสดงถึงอธิจิตตสิกขา.
               ด้วยบทว่า วิมุตฺตํ นี้ แสดงถึงอธิปัญญาสิกขา.
               ด้วยบทว่า อาตาปี วิหรามิ นี้ แสดงถึงการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน.
               อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า ฉนฺนา เม กุฏิกาสุขา นิวาตา นี้ แสดงถึงอนิมิตวิหาร เพราะแสดงการเพิกนิมิต มีนิมิตว่าเที่ยงเป็นต้น โดยมุขคือการปกปิดไว้ซึ่งฝนคือกิเลส.
               ด้วยบทว่า จิตฺตํ เมสฺสมาหิตํ นี้ แสดงถึงอัปปณิหิตวิหาร.
               ด้วยบทว่า วิมุตฺตํ นี้ แสดงถึงสุญญตวิหาร.
               ด้วยบทว่า อาตาปี วิหรามิ นี้ แสดงถึงอุบายเป็นเครื่องบรรลุวิหารธรรม ๓ อย่างเหล่านั้น.
               ปฐเมน วา โทสปฺปหานํ, ทุติเยน ราคปฺปหานํ, ตติเยน โมหปฺปหานํ.
               อีกอย่างหนึ่ง ด้วยวิหารธรรมข้อแรกแสดงถึงการละโทสะ, ด้วยวิหารธรรมข้อที่สอง แสดงถึงการละราคะ, ด้วยวิหารธรรมข้อที่ ๓ แสดงถึงการละโมหะ.
               อนึ่ง ด้วยวิหารธรรมข้อที่ ๒ หรือข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒ แสดงถึงธรรมวิหารสมบัติ. ด้วยวิหารธรรมข้อที่ ๓ แสดงถึงวิมุตติสมบัติ. พึงทราบว่า ด้วยบทว่า อาตาปี วิหรามิ นี้ แสดงถึงความเป็นผู้ไม่เกียจคร้านในการปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น.
               ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า อิตฺถํ สุทํ ไว้เพื่อจะแสดงถึงชื่อในบรรดาชื่อและโคตรที่ยังไม่ได้แสดงไว้แล้วในคาถานั้น เพราะพระเถระผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นต้น กล่าวไว้แล้วด้วยคาถาว่า ยถานามา นี้ ดังพรรณนามานี้. ก็พระเถระเหล่าใดปรากฏเพียงชื่อ ท่านแสดงพระเถระเหล่านั้นโดยชื่อ พระเถระเหล่าใดปรากฏแล้วโดยโคตร ก็แสดงพระเถระเหล่านั้นโดยโคตร พระเถระเหล่าใดปรากฏทั้งสองอย่าง ก็แสดงพระเถระเหล่านั้นแม้ทั้งสองอย่าง (คือทั้งโดยชื่อและโคตร) ก็พระเถระนี้ ท่านกำหนดไว้แล้วโดยชื่อไม่ได้กำหนดไว้โดยโคตรอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อิตฺถํ สุทํ อายสฺมา สุภูติ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิตฺถํ เท่ากับ อิทํ ปการํ ความก็ว่า โดยอาการนี้.
               บทว่า สุทํ ตัดบทเป็น สุ อิทํ ลบอิออกเสียด้วยอำนาจสนธิ.
               และบทว่า สุ เป็นเพียงนิบาต. ประกอบ ความว่า ซึ่งคาถานี้.
               บทว่า อายสฺมา นี้เป็นคำกล่าวที่น่ารัก คือคำนี้เป็นคำกล่าวของผู้ที่มีความเคารพยำเกรงในฐานะครู.
               บทว่า สุภูติ เป็นคำระบุถึงชื่อ.
               ก็ท่านพระสุภูตินั้น แม้โดยสรีรสมบัติก็น่าชม แม้โดยคุณสมบัติก็น่าเลื่อมใส ด้วยประการฉะนี้ ท่านจึงปรากฏนามว่าสุภูติ เพราะประกอบไปด้วยสรีระร่างกายงดงาม เป็นที่เจริญตา และคุณสมบัติมีศีลเป็นต้นเป็นที่เจริญใจ. ปรากฏชื่อว่า เถระ เพราะประกอบไปด้วยคุณธรรมอันมั่นคงมีสาระ คือศีลเป็นต้น.
               บทว่า อภาสิตฺถ แปลว่า กล่าวแล้ว.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระมหาเถระเหล่านี้จึงประกาศคุณทั้งหลายของตน?
               ตอบว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้มีความมักน้อยอย่างยิ่ง ประกาศคุณของตนด้วยสามารถแห่งการพิจารณาถึงโลกุตรธรรมอันตนไม่เคยได้บรรลุโดยกาลยาวนานนี้ ล้ำลึกอย่างยิ่ง สงบประณีตเหลือประมาณ อันตนได้บรรลุแล้วเปล่งอุทานโดยที่กำลังปีติกระตุ้นเตือนแล้ว และด้วยสามารถแห่งการยกย่องคำสอนว่าเป็นนิยยานิกธรรม (นำสัตว์ออกจากภพ).
               พระโลกนาถประกาศคุณของพระองค์ ด้วยคำมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประกอบด้วยพลญาณ ๑๐ เป็นผู้แกล้วกล้า เพราะเวสารัชชธรรม ๔ ดังนี้ ด้วยสามารถแห่งพระอัธยาศัยที่เป็นไปเพื่อให้สัตว์ได้บรรลุ (มรรคผล) ฉันใด คาถาพยากรณ์อรหัตผลของพระเถระนี้ก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาสุภูติเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ปฐมวรรค ๑. สุภูติเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 137อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 138อ่านอรรถกถา 26 / 139อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=4974&Z=4979
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=495
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=495
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :