บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] หน้าต่างที่ ๖ / ๑๑. ข้อความเบื้องต้น พระมหาโมคคัลลานะเห็นเปรตถูกไฟไหม้ เล่าการเห็นเปรตให้พระลักขณเถระฟัง พระศาสดาก็เคยทรงเห็นเปรตนั้น อันภิกษุทั้งหลายทูลถามบุรพกรรมของเปรตนั้นแล้ว จึงทรงพยากรณ์ (ดังต่อไปนี้) ว่า บุรพกรรมของอชครเปรต เศรษฐีชื่อว่าสุมงคล ปูพื้นที่ด้วยแผ่นอิฐทองคำ ให้สร้างวิหารในที่ประมาณ ๒๐ อุสภะ ด้วยทรัพย์ประมาณเท่านั้นแล้ว ก็ให้ทำการฉลองด้วยทรัพย์ประมาณเท่านั้นเหมือนกัน. วันหนึ่ง ท่านเศรษฐีไปสู่สำนักพระศาสดาแต่เช้าตรู่ เห็นโจรคนหนึ่งนอนเอาผ้ากาสาวะคลุมร่างตลอดถึงศีรษะ ทั้งมีเท้าเปื้อนโคลน อยู่ในศาลาหลังหนึ่ง ใกล้ประตูพระนคร จึงกล่าวว่า "เจ้าคนนี้ มีเท้าเปื้อนโคลน คงจักเป็นมนุษย์ที่เที่ยวเตร่ในเวลากลางคืนแล้ว (มา) นอน." กรรมชั่วให้ผลชั่ว เศรษฐีได้ทราบว่า "ข่าวว่า พระคันธกุฎีถูกไฟไหม้" เดินมาอยู่ ในเวลาพระคันธกุฎีถูกไฟไหม้แล้ว จึงมาถึง แลดูพระคันธกุฎีที่ไฟไหม้ ก็มิได้ทำความเสียใจแม้สักเท่าปลายขนทราย คู้แขนข้างซ้ายเข้ามาปรบด้วยมือข้างขวาอย่างขนานใหญ่. ขณะนั้น ประชาชนยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ ถามท่านเศรษฐีว่า "นายขอรับ เพราะเหตุไร ท่านจึงปรบมือ ในเวลาที่พระคันธกุฎีซึ่งท่านสละทรัพย์ประมาณเท่านี้สร้างไว้ถูกไฟไหม้เล่า?" เศรษฐีตอบว่า "พ่อแม่ทั้งหลาย ข้าพเจ้าทำกรรมประมาณเท่านี้ (ชื่อว่า) ได้ฝังทรัพย์ไว้ในพระศาสนาที่ไม่สาธารณะแก่อันตรายมีไฟเป็นต้น ข้าพเจ้าจึงมีใจยินดี ปรบมือด้วยคิดว่า เราจักได้สละทรัพย์ประมาณเท่านี้ สร้างพระคันธกุฎี (ถวาย) พระศาสดาแม้อีก." ท่านเศรษฐีสละทรัพย์ประมาณเท่านั้น สร้างพระคันธกุฎีอีก ได้ถวายแด่พระศาสดา ซึ่งมีภิกษุ ๒ หมื่นรูปเป็นบริวาร. โจรเห็นกิริยานั้นแล้ว คิดว่า "เราไม่ฆ่าเศรษฐีนี้เสีย จักไม่อาจทำให้เก้อเขินได้ เอาเถอะ เราจักฆ่ามันเสีย" ดังนี้แล้ว จึงซ่อนกริชไว้ในระหว่างผ้านุ่ง แม้เดินเตร่อยู่ในวิหารสิ้น ๗ วัน ก็ไม่ได้โอกาส. ฝ่ายมหาเศรษฐีถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข สิ้น ๗ วัน ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษผู้หนึ่งเผานาของข้าพระองค์ ๗ ครั้ง ตัดเท้าโคในคอก ๗ ครั้ง เผาเรือน ๗ ครั้ง บัดนี้ แม้พระคันธกุฎี ก็จักเป็นเจ้าคนนั้นแหละเผา ข้าพระองค์ขอให้ส่วนบุญในทานนี้แก่เขาก่อน." ผู้ทำกรรมดีย่อมชนะผู้ทำกรรมชั่ว ทีนั้น เศรษฐีถามกรรมทุกๆ อย่างกะเขาว่า "เจ้าทำกรรมนี้ด้วยนี้ด้วย ประมาณเท่านี้แก่เราหรือ?" เมื่อเขารับสารภาพว่า ขอรับ ผมทำ" จึงถาม (ต่อไป) ว่า "เราไม่เคยเห็นเจ้าเลย, เหตุไร เจ้าจึงโกรธได้ทำอย่างนั้นแก่เรา?" เขาเตือนให้เศรษฐีระลึกถึงคำที่ตนผู้ออกจากพระนครในวันหนึ่งพูดแล้ว ได้บอกว่า "ผมเกิดความแค้นเคืองขึ้นเพราะเหตุนี้." เศรษฐีระลึกถึงภาวะแห่งถ้อยคำที่ตนพูดได้แล้ว ให้โจรอดโทษให้ด้วยถ้อยคำว่า "เออพ่อ เราพูดจริง เจ้าจงอดโทษข้อนั้นแก่เราเถิด." แล้วกล่าวว่า ลุกขึ้นเถิด เราอดโทษให้แก่เจ้าละ เจ้าจงไปเถิด." โจร. นายขอรับ ถ้าท่านอดโทษแก่ผมไซร้ ขอจงทำผมพร้อมทั้งบุตรและภริยา ให้เป็นทาส (ผู้รับใช้) ในเรือนของท่านเถิด. เศรษฐี. แน่ะพ่อ เมื่อเรากล่าวคำมีประมาณเท่านี้ เจ้าก็ได้ทำการตัดเห็นปานนี้ เราไม่อาจจะกล่าวอะไรๆ กับเจ้าผู้อยู่ในเรือนได้เลย. เราไม่มีกิจเกี่ยวด้วยเจ้าผู้จะอยู่ในเรือน เราอดโทษให้แก่เจ้า ไปเถิด พ่อ. โจรครั้นทำกรรมนั้นแล้ว ในกาลสิ้นอายุ บังเกิดแล้วในอเวจี ไหม้ในอเวจีสิ้นกาลนาน ในกาลบัดนี้ เกิดเป็นอชครเปรต ถูกไฟไหม้อยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยวิบาก [แห่งกรรม] ที่ยังเหลือ. พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมของเปรตนั้นอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาคนพาลทำกรรมอันลามกอยู่ ย่อมไม่รู้ แต่ภายหลัง เร่าร้อนอยู่เพราะกรรมอันตนทำแล้ว ย่อมเป็นเช่นกับไฟไหม้ป่า ด้วยตนของตนเอง" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
แก้อรรถ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ย่อมไม่รู้" เพราะความไม่รู้ว่า "ผลของกรรมนี้ มีชื่อเห็นปานนี้." บทว่า เสหิ ความว่า เพราะกรรมอันเป็นของตนเหล่านั้น. บทว่า ทุมฺเมโธ ความว่า บุคคลผู้มีปัญญาทราม เกิดในนรก ย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องอชครเปรต จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ |