ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] [๑๓] [๑๔]อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 10อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 11อ่านอรรถกถา 25 / 12อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑

หน้าต่างที่ ๔ / ๑๔.

               ๔. เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี [๔]               
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงหมันคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ น หิ เวเรน เวรานิ ” เป็นต้น.

               มารดาหาภรรยาให้บุตร               
               ดังได้สดับมา บุตรกุฎุมพีคนหนึ่ง เมื่อบิดาทำกาละแล้ว ทำการงานทั้งปวง ทั้งที่นา ทั้งที่บ้าน ด้วยตนเอง ปฏิบัติมารดาอยู่, ต่อมา มารดาได้บอกแก่เขาว่า “พ่อ แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า.”
               บุ. แม่ อย่าพูดอย่างนี้เลย, ฉันจักปฏิบัติแม่ไปจนตลอดชีวิต.
               ม. พ่อ เจ้าคนเดียวทำการงานอยู่ ทั้งที่นาและที่บ้าน, เพราะเหตุนั้น แม่จึงไม่มีความสบายใจเลย, แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า.
               เขาแม้ห้าม (มารดา) หลายครั้งแล้วได้นิ่งเสีย. มารดานั้นออกจากเรือน เพื่อจะไปสู่ตระกูลแห่งหนึ่ง.
               ลำดับนั้น บุตรถามมารดาว่า “แม่จะไปตระกูลไหน?” เมื่อมารดาบอกว่า “จะไปตระกูลชื่อโน้น” ดังนี้แล้ว ห้ามการที่จะไปตระกูลนั้นเสียแล้ว บอกตระกูลที่ตนชอบใจให้. มารดาได้ไปตระกูลนั้นหมั้นนางกุมาริกาไว้แล้ว กำหนดวัน (แต่งงาน) นำนางกุมาริกาคนนั้นมา ได้ทำไว้ในเรือนของบุตร. นางกุมาริกานั้นได้เป็นหญิงหมัน.
               ทีนั้น มารดาจึงพูดกะบุตรว่า “พ่อ เจ้าให้แม่นำนางกุมาริกามาตามชอบใจของเจ้าแล้ว บัดนี้ นางกุมาริกานั้นเป็นหมัน, ก็ธรรมดา ตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบหาย, ประเพณีย่อมไม่สืบเนื่องไป, เพราะฉะนั้น แม่จักนำนางกุมาริกาคนอื่นมา (ให้เจ้า)” แม้บุตรนั้นกล่าวห้ามอยู่ว่า “อย่าเลย แม่” ดังนี้ ก็ยังได้กล่าว (อย่างนั้น) บ่อยๆ.
               หญิงหมันได้ยินคำนั้น จึงคิดว่า “ธรรมดา บุตรย่อมไม่อาจฝืนคำมารดาบิดาไปได้, บัดนี้ แม่ผัวคิดจะนำหญิงอื่น ผู้ไม่เป็นหมันมาแล้ว ก็จักใช้เราอย่างทาสี, ถ้าอย่างไร เราพึงนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาเสียเอง” ดังนี้แล้ว จึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง ขอนางกุมาริกาเพื่อประโยชน์แก่สามี, ถูกพวกชนในตระกูลนั้นห้ามว่า “หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น” ดังนี้แล้ว จึงอ้อนวอนว่า “ฉันเป็นหมัน ตระกูลที่ไม่มีบุตร ย่อมฉิบหาย บุตรีของท่านได้บุตรแล้ว จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ, ขอท่านโปรดยกบุตรีนั้นให้แก่สามีของฉันเถิด” ดังนี้แล้ว ยังตระกูลนั้นให้ยอมรับแล้ว จึงนำมาไว้ในเรือนของสามี.
               ต่อมา หญิงหมันนั้นได้มีความปริวิตกว่า “ถ้านางคนนี้จักได้บุตรหรือบุตรีไซร้ จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว, ควรเราจะทำนางอย่าให้ได้ทารกเลย.”

               เมียหลวงปรุงยาทำลายครรภ์เมียน้อย               
               ลำดับนั้น หญิงหมันจึงพูดกะนางนั้นว่า “ครรภ์ตั้งขึ้นในท้องหล่อนเมื่อใด ขอให้หล่อนบอกแก่ฉันเมื่อนั้น.” นางนั้นรับว่า “จ้ะ” เมื่อครรภ์ตั้งแล้ว ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น. ส่วนหญิงหมันนั้นแลให้ข้าวต้มและข้าวสวยแก่นางนั้นเป็นนิตย์. ภายหลัง นางได้ให้ยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกปนกับอาหารแก่นางนั้น. ครรภ์ก็ตก [แท้ง]. เมื่อครรภ์ตั้งแล้วเป็นครั้งที่ ๒ นางก็ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น. แม้หญิงหมันก็ได้ทำครรภ์ให้ตก ด้วยอุบายอย่างนั้นนั่นแลเป็นครั้งที่ ๒.
               ลำดับนั้น พวกหญิงที่คุ้นเคยกัน ได้ถามนางนั้นว่า “หญิงร่วมสามีทำอันตรายหล่อนบ้างหรือไม่? นางแจ้งความนั้นแล้ว ถูกหญิงเหล่านั้นกล่าวว่า “หญิงอันธพาล เหตุไร หล่อนจึงได้ทำอย่างนั้นเล่า?” หญิงหมันนี้ได้ประกอบยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกให้แก่หล่อน เพราะกลัวหล่อนจะเป็นใหญ่, เพราะฉะนั้น ครรภ์ของหล่อนจึงตก, หล่อนอย่าได้ทำอย่างนี้อีก.” ในครั้งที่ ๓ นางจึงมิได้บอก.
               ต่อมา [ฝ่าย] หญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้วจึงกล่าวว่า “เหตุไร? หล่อนจึงไม่บอกความที่ครรภ์ตั้งแก่ฉัน” เมื่อนางนั้นกล่าวว่า “หล่อนนำฉันมาแล้ว ทำครรภ์ให้ตกไปเสียถึง ๒ ครั้งแล้ว, ฉันจะบอกแก่หล่อนทำไม?” จึงคิดว่า “บัดนี้ เราฉิบหายแล้ว” คอยแลดูความประมาทของนางกุมาริกานั้นอยู่, เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว, จึงได้ช่อง ได้ประกอบยาให้แล้ว ครรภ์ไม่อาจตก เพราะครรภ์แก่ จึงนอนขวาง [ทวาร]. เวทนากล้าแข็งขึ้น. นางถึงความสิ้นชีวิต.๑-
____________________________
๑- ชีวิตกฺขยํ

               นางตั้งความปรารถนาว่า “เราถูกมันให้ฉิบหายแล้ว, มันเองนำเรามา ทำทารกให้ฉิบหายถึง ๓ คนแล้ว, บัดนี้ เราเองก็จะฉิบหาย, บัดนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้ พึงเกิดเป็นนางยักษิณี อาจเคี้ยวกินทารกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ตายไปเกิดเป็นแม่แมวในเรือนนั้นเอง. ฝ่ายสามีจับหญิงหมันแล้ว กล่าวว่า “เจ้าได้ทำการตัดตระกูลของเราให้ขาดสูญ” ดังนี้แล้ว ทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้นให้บอบช้ำแล้ว. หญิงหมันนั้นตายเพราะความเจ็บนั้นแล แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.

               ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร               
               จำเนียรกาลไม่นาน แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง. แม่แมวมากินฟองไก่เหล่านั้นเสีย. ถึงครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน. แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า “มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้ มันก็อยากกินตัวเราด้วย, เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมัน” ดังนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง.
               ฝ่ายแม่แมวได้เกิดเป็นแม่เนื้อ. ในเวลาแม่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้วๆ แม่เสือเหลืองก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง. เมื่อเวลาจะตาย แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า “พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสียถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี.
               ฝ่ายแม่เสือเหลืองจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นกุลธิดา๑- ในเมืองสาวัตถี. นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตู [เมือง].
____________________________
๑- หญิงสาวของตระกูล หญิงสาวในตระกูล หรือหญิงสาวมีตระกูล

               ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง. นางยักษิณีจำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า “หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?” พวกชาวบ้านได้บอกว่า “เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง” นางยักษิณีฟังคำนั้น แสร้งพูดว่า “หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ, ฉันจักดูเด็กนั้น” ดังนี้แล้ว เข้าไปทำเป็นแลดูอยู่ จับทารกกินแล้วก็ไป. ถึงในหนที่ ๒ ก็ได้กินเสียเหมือนกัน. ในหนที่ ๓ นางกุลธิดามีครรภ์แก่ เรียกสามีมาแล้ว บอกว่า “นาย นางยักษิณีตนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้ ๒ คนแล้วไป, เดี๋ยวนี้ ฉันจักไปสู่เรือนแห่งตระกูลของฉันคลอดบุตร” ดังนี้แล้ว ไปสู่เรือนแห่งตระกูล คลอด [บุตรที่นั่น].
               ในกาลนั้น นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ. ด้วยว่า นางยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำจากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา เพื่อท้าวเวสสวัณ ตามวาระ ต่อล่วง ๔ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้างจึงพ้น (จากเวร) ได้. นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้ำ ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี.
               ส่วนนางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น ก็รีบไปสู่เรือนนั้น ถามว่า “หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?” พวกชาวบ้านบอกว่า “ท่านจักพบเขาที่ไหน? นางยักษิณีตนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้, เพราะฉะนั้น เขาจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล” นางยักษิณีนั้นคิดว่า “เขาไปในที่ไหนๆ ก็ตามเถิด จักไม่พ้นเราได้” ดังนี้แล้ว อันกำลังเวรให้อุตสาหะแล้ว วิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง.
               ฝ่ายนางกุลธิดา ในวันเป็นที่รับชื่อให้ทารกนั้นอาบน้ำ ตั้งชื่อแล้ว กล่าวกะสามีว่า “นาย เดี๋ยวนี้ เราพากันไปสู่เรือนของเราเถิด” อุ้มบุตรไปกับสามี ตามทางอันตัดไปในท่ามกลางวิหาร มอบบุตรให้สามีแล้ว ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหารแล้ว ขึ้นมารับเอาบุตร, เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่, ยืนให้บุตรดื่มนม แลเห็นนางยักษิณีมาอยู่ จำได้แล้ว ร้องด้วยเสียงอันดังว่า “นาย มาเร็วๆ เถิด นี้นางยักษิณีตนนั้น” ดังนี้แล้ว ไม่อาจยืนรออยู่จนสามีนั้นมาได้ วิ่งกลับบ่ายหน้าไปสู่ภายในวิหารแล้ว.

               เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร               
               ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท. นางกุลธิดานั้นให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า “บุตรคนนี้ ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์แล้ว ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด”
               สุมนเทพผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน.
               พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนทเถระมาแล้ว ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา” พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว.
               นางกุลธิดากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีนี้มา”
               พระศาสดาตรัสว่า “นางยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย” ดังนี้แล้ว ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า “เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่”
               ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
                         ๔. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
                         อเวเรน จ สมฺมนฺติ                 เอส ธมฺโม สนนฺตโน
                         “ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับ
                         ด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร,
                         ธรรมนี้เป็นของเก่า.”

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ เวเรน เป็นต้น ความว่า เหมือนอย่างว่า บุคคล แม้เมื่อล้างที่ซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาด มีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น ด้วยของไม่สะอาดเหล่านั้นแล ย่อมไม่อาจทำให้เป็นที่หมดจด หายกลิ่นเหม็นได้, โดยที่แท้ ที่นั้นกลับเป็นที่ไม่หมดจดและมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าเก่าอีก ฉันใด. บุคคลเมื่อด่าตอบชนผู้ด่าอยู่ ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วยเวรได้, โดยที่แท้ เขาชื่อว่าทำเวรนั่นเองให้ยิ่งขึ้น ฉันนั้นนั่นเทียว. แม้ในกาลไหนๆ ขึ้นชื่อว่าเวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับได้ด้วยเวร, โดยที่แท้ ชื่อว่าย่อมเจริญอย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้.
               สองบทว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ความว่า เหมือนอย่างว่า ของไม่สะอาดมีน้ำลายเป็นต้นเหล่านั้น อันบุคคลล้างด้วยน้ำที่ใสย่อมหายหมดได้, ที่นั้นย่อมเป็นที่หมดจด ไม่มีกลิ่นเหม็น ฉันใด, เวรทั้งหลายย่อมระงับ คือย่อมสงบ ได้แก่ย่อมถึงความไม่มีด้วยความไม่มีเวร คือด้วยน้ำคือขันติและเมตตา ด้วยการทำไว้ในใจโดยแยบคาย [และ] ด้วยการพิจารณา ฉันนั้นนั่นเทียว.
               บาทพระคาถาว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า ธรรมนี้ คือที่นับว่า ความสงบเวร ด้วยความไม่มีเวร เป็นของเก่า คือเป็นมรรคาแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพทั้งหลาย ทุกๆ พระองค์ดำเนินไปแล้ว.
               ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีนั้นตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว, เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์ แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว.

               นางยักษิณีรู้ฝนมากฝนน้อย               
               พระศาสดาได้ตรัสกะหญิงนั้นว่า “เจ้าจงให้บุตรของเจ้าแก่นางยักษิณีเถิด.”
               ญ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กลัว.
               ศ. เจ้าอย่ากลัวเลย, อันตรายย่อมไม่มีแก่เจ้า เพราะอาศัยนางยักษิณีนี้.
               นางได้ให้บุตรแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. นางยักษิณีนั้นอุ้มทารกนั้น จูบกอดแล้ว คืนให้แก่มารดาอีก ก็เริ่มร้องไห้.
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามนางยักษิณีนั้นว่า “อะไรนั่น?”
               นางยักษิณีนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพระองค์ แม้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยไม่เลือกทาง ยังไม่ได้อาหารพอเต็มท้อง, บัดนี้ ข้าพระองค์จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร.”
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสปลอบนางยักษิณีนั้นว่า “เจ้าอย่าวิตกเลย” ดังนี้แล้ว ตรัสกะหญิงนั้นว่า “เจ้าจงนำนางยักษิณีไปให้อยู่ในเรือนของตนแล้ว จงปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี.” หญิงนั้นนำนางยักษิณีไปแล้ว ให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง ได้ปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดีแล้ว.
               ในเวลาซ้อมข้าวเปลือก สากปรากฏแก่นางยักษิณีนั้นดุจต่อยศีรษะ. เขาจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแล้ว พูดว่า “ฉันจักไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด”
               แม้อันหญิงสหายนั้นให้พักอยู่ในที่เหล่านี้ คือในโรงสาก ข้างตุ่มน้ำ ริมเตาไฟ ริมชายคา ริมกองหยากเยื่อ ริมประตูบ้าน,
               (นาง) ก็กล่าวว่า “ในโรงสากนี้ สากย่อมปรากฏดุจต่อยศีรษะฉันอยู่, ที่ข้างตุ่มน้ำนี้ พวกเด็กย่อมราดน้ำเป็นเดนลงไป, ที่ริมเตาไฟนี้ ฝูงสุนัขย่อมมานอน, ที่ริมชายคานี้ พวกเด็กย่อมทำสกปรก, ที่ริมกองหยากเยื่อนี้ ชนทั้งหลายย่อมเทหยากเยื่อ, ที่ริมประตูบ้านนี้ เด็กพวกชาวบ้าน ย่อมเล่นการพนันกันด้วยคะแนน” ดังนี้แล้ว ได้ห้ามที่ทั้งปวงนั้นเสีย.
               ครั้งนั้น หญิงสหายจึงให้นางยักษิณีนั้นพักอยู่ในที่อันสงัดภายนอกบ้านแล้ว นำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดีไปเพื่อนางยักษิณีนั้น แล้วปฏิบัติในที่นั้น. นางยักษิณีนั้นคิดอย่างนี้ว่า “เดี๋ยวนี้ หญิงสหายของเรานี้มีอุปการะแก่เรามาก, เอาเถอะ เราจักทำความแทนคุณสักอย่างหนึ่ง” ดังนี้แล้ว ได้บอกแก่หญิงสหายว่า “ในปีนี้จักมีฝนดี, ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ดอนเถิด, ในปีนี้ฝนจักแล้ง ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ลุ่มเถิด. ข้าวกล้าอันพวกชนที่เหลือทำแล้ว ย่อมเสียหายด้วยน้ำมากเกินไปบ้าง ด้วยน้ำน้อยบ้าง. ส่วนข้าวกล้าของนางกุลธิดานั้น ย่อมสมบูรณ์เหลือเกิน.

               นางยักษิณีเริ่มตั้งสลากภัต               
               ครั้งนั้น พวกชนที่เหลือเหล่านั้นพากันถามนางว่า “แม่ ข้าวกล้าที่หล่อนทำแล้ว ย่อมไม่เสียหายด้วยน้ำมากเกินไป ย่อมไม่เสียหายด้วยน้ำน้อยไป, หล่อนรู้ความที่ฝนดีและฝนแล้งแล้วจึงทำการงานหรือ? ข้อนี้เป็นอย่างไรหนอแล?”
               นางบอกว่า “นางยักษิณีผู้เป็นหญิงสหายของฉัน บอกความที่ฝนดีและฝนแล้งแก่ฉัน, ฉันทำข้าวกล้าทั้งหลายในที่ดอนและที่ลุ่ม ตามคำของยักษิณีนั้น, เหตุนั้น ข้าวกล้าของฉันจึงสมบูรณ์ดี, พวกท่านไม่เห็นโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ที่ฉันนำไปจากเรือนเนืองนิตย์หรือ? สิ่งของเหล่านั้น ฉันนำไปให้นางยักษิณีนั้น, แม้พวกท่านก็จงนำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดี ไปให้นางยักษิณีบ้างซิ, นางยักษิณีก็จักแลดูการงานของพวกท่านบ้าง”
               ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองทั้งสิ้นพากันทำสักการะแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. จำเดิมแต่นั้นมา นางยักษิณีแม้นั้นแลดูการงานทั้งหลายของชนทั้งปวงอยู่ ได้เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศ [และ] มีบริวารมากแล้ว.
               ในกาลต่อมา นางยักษิณีนั้นเริ่มตั้งสลากภัต ๘ ที่แล้ว สลากภัตนั้น ชนทั้งหลายยังถวายอยู่จนกาลทุกวันนี้แล.

               เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี จบ               
               ------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] [๑๓] [๑๔]
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 10อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 11อ่านอรรถกถา 25 / 12อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=268&Z=329
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=18&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=18&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :