บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อาสยานุสยญาณและอินทริยปโรปริยัตญาณ ชื่อว่าพุทธจักษุ ในคำว่า พุทฺ สมดังที่ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นแล้วแล ซึ่งเหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตามาก ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน. บทว่า โลกํ ได้แก่ โลก ๓ คือ โอกาสโลก ๑ สังขารโลก ๑ สัตวโลก ๑. ในโลกทั้ง ๓ นั้น โอกาสโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า พระจันทร์พระอาทิตย์ เวียนรอบส่องทิศให้ สว่างไสวมีประมาณเท่าใด โอกาสโลก มีประมาณ พันหนึ่งเท่านั้น อำนาจของท่าน เป็นไปในโอกาส โลกนี้. สังขารโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลก ๑ ได้แก่สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ สัตวโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง. แม้ในที่นี้ พึงทราบสัตวโลก. บรรดาโลกเหล่านั้น โลกกล่าวคือจักรวาล ชื่อว่าโอกาสโลก เพราะอรรถว่าเห็นคือปรากฏโดยอาการวิจิตร. สังขาร ชื่อว่าโลก เพราะอรรถว่าย่อยยับ คือผุพัง. ชื่อว่าสัตวโลก เพราะอรรถว่าเป็นที่ดูบุญและบาปและผลแห่งบุญและบาป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์ในสัตว์เหล่านั้นด้วยพระมหากรุณา มี ก็พระองค์ทรงตรวจดูสัปดาห์ไหน? สัปดาห์ที่ ๑. จริงอยู่ ในที่สุดแห่งปัจฉิมยาม ในวันสุดสัปดาห์ที่ทรงเข้าสมาธิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานอันแสดงอานุภาพแห่ง จึงตรวจดูสัตวโลกว่า อันดับแรก เราใช้เรือคือธรรมนี้ข้ามห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร ที่แสนจะข้ามได้โดยยากอย่างนี้ จึงยืนอยู่ที่ฝั่งคือพระนิพพาน เอาเถิด บัดนี้ ถึงสัตวโลกเราก็จักให้ข้ามด้วย สัตวโลก เป็นอย่างไรหนอ ดังนี้. ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ครั้นล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้น ทรงตรวจดูสัตวโลก ด้วยพุทธจักษุ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โวโลเกสิ ความว่า ทรงเห็นโดยอาการต่างๆ คือกระทำให้ประจักษ์ด้วยญาณของพระองค์ เหมือนผลมะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือ. บทมีอาทิว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ เป็นบทแสดงอาการดูแล. บทว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ ได้แก่ ด้วยความทุกข์เป็นอเนก. จริงอยู่ ทุกข์ท่านเรียกว่า สันตาปะ เพราะอรรถว่าทำให้เดือดร้อน. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทุกข์มีอรรถว่าบีบคั้น มีอรรถว่าปรุงแต่ง มีอรรถว่าทำให้เดือดร้อน มีอรรถว่าแปรปรวน. ก็ทุกข์นั้นมีอรรถหลายประการ ด้วยอำนาจทุกขทุกข์เป็นต้น และด้วยอำนาจชาติเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ. ผู้เดือดร้อน คือถูกทุกข์เป็นอเนก บีบคั้น เบียดเบียน. บทว่า ปริฬาเหหิ แปลว่า ด้วยความเร่าร้อน. บทว่า ปริฑยฺหมาเน ได้แก่ ผู้ถูกไฟเผารอบด้านเหมือนเชื้อไฟ. บทว่า ราคเชหิ แปลว่า เกิดแต่ราคะ. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้. จริงอยู่ กิเลสมีราคะเป็นต้นย่อมเกิดในสันดานใด ย่อมเบียดเบียนสันดานนั้น เหมือนเผาอยู่. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ. เพราะไฟเหล่านั้นทำจิตและกายให้เศร้าหมอง ฉะนั้น จึงเรียกว่ากิเลส. ก็ในบทเหล่านี้ ด้วยบทว่า ปริฑยฺหมาเน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงกิเลสมีราคะเป็นต้นเป็นปวัตติทุกข์ และความที่สัตว์ถูกปวัตติทุกข์นั้นครอบงำ. อนึ่ง ด้วยบทว่า สนฺตปฺปมาเน นี้ ทรงแสดงถึงความที่สัตว์เหล่านั้นเป็นทุกข์ทุกระยะกาล และความเป็นผู้มีอันตรายไม่ขาดระยะเพราะทุกข์นั้น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอปราชิตบังลังก์ ณ ควงโพธิพฤกษ์ ใน ในลำดับแห่งอุทานที่ ๓ ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นว่า วัฏทุกข์ของสัตว์ทั้งสิ้นนี้ มีกิเลสเป็นมูล ขึ้นชื่อว่ากิเลสเหล่านี้เป็นปวัตติทุกข์ (ทุกข์ในปัจจุบัน) และเป็นเหตุแห่งทุกข์แม้ต่อไป เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้ จึงเดือดร้อนหม่นไหม้ เพราะกิเลสเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อทฺทสา โข ภควา ฯเปฯ โมหเชหิปิ ดังนี้ บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง ถึงความที่สัตวโลกถูกความเร่าร้อนหม่นไหม้ดังกล่าวแล้วครอบงำอยู่. บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งมหาอุทานนี้ อันประกาศถึงความดับสนิท ความเร่าร้อนหม่นไหม้ทั้งปวง บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ โลโก สนฺตปชาโต ความว่า สัตวโลกนี้แม้ทั้งหมดเกิดความเดือดร้อน เพราะชรา โรค และมรณะ เพราะความวอดวายต่างๆ และเพราะความกลุ้มรุมแห่งกิเลส. อธิบายว่า ถูกทุกข์ทางกายและใจที่เกิดขึ้นแล้วครอบงำ. บทว่า ผสฺสปเรโต ความว่า ผู้ถูกทุกขสัมผัสเป็นอเนกนั่นแหละครอบงำ คือเบียดเบียน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ผสฺสปเรโต ความว่า ผู้ถูกผัสสะทั้ง ๖ อันเป็นปัจจัยแก่ทุกขเวทนา ๓ กล่าวคือสุขเวทนาเป็นต้นครอบงำ คือติดข้องอยู่ด้วยความเป็นไปในอารมณ์นั้นๆ ทางทวารนั้นๆ. บทว่า โรคํ วทติ อตฺตโต ความว่า สัตวโลก เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริงถึงโรค ทุกข์ หรือเบญจขันธ์ กล่าวคือเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมกล่าวโดยเป็นอัตตาว่า เราได้รับสุข รับทุกข์ ด้วยอำนาจการถือผิดด้วยสำคัญว่าเป็นเรา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อตฺตโน ดังนี้ก็มี. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า สัตวโลกนี้นั้นถูกทุกขธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งครอบงำ เมื่อไม่อาจอดกลั้นไว้ได้เพราะไม่ได้เจริญอัตตา จึงบ่นเพ้อไปโดยนัยมีอาทิว่า โอ ทุกข์ ทุกข์เช่นนี้จงอย่ามีแม้แก่ตนของเรา จึงกล่าวถึงโรคของตนอย่างเดียว แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อละโรคนั้น. อีกอย่างหนึ่ง สัตวโลกเมื่อไม่รู้ตามเป็นจริงถึงทุกข์ตามที่กล่าวแล้วนั้น จึงกล่าวว่าของตน ด้วยความสำคัญว่าของเรา คือเปล่งวาจาว่านี้ของเรา ด้วยอำนาจตัณหาคาหะ (การ บทว่า เยน หิ มญฺญติ ความว่า สัตวโลก เมื่อกล่าวเบญจขันธ์อันเป็นตัวโรคนี้ โดยความเป็นตน หรือของตน ด้วยอาการอย่างนี้ จึงสำคัญโดยทิฏฐิ มานะและตัณหา โดยประการอันเป็นเหตุมีรูปและเวทนาเป็นต้นใด หรือโดยประการมีความเป็นของเที่ยงเป็นต้นใด. บทว่า ตโต ตํ โหติ อญฺญถา ความว่า เบญจขันธ์อันเป็นวัตถุแห่งความสำคัญนั้น ย่อมเป็นโดยประการอื่นจากอาการที่ตนกำหนดไว้นั้น และเป็นการยึดถือว่าตนในสิ่งที่มิใช่ตน. อธิบายว่า ไม่ทำความอหังการ มมังการให้สำเร็จ เพราะไม่อาจให้อยู่ในอำนาจได้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตโต ความว่า เบญจขันธ์นั้นอันบุคคลสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้น ย่อมเป็นโดยประการอื่น คือเป็นสภาวะไม่เที่ยงเป็นต้นทีเดียว เพราะภาวะเพียงสักว่าความสำคัญนั้น. ก็ความสำคัญไม่สามารถทำภาวะหรือลักษณะให้เป็นอย่างอื่นได้. บทว่า อญฺญถาภาวี ภวสตฺโต ความว่า สัตวโลกผู้ติดข้องในความเจริญในหิตสุขที่ยังไม่เกิด แม้จะคิดตามความพอใจ ด้วยความสำคัญ ก็มีความเป็นอย่างอื่นจากความสำคัญนั้นด้วยการปฏิบัติผิด มีแต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์และเป็นทุกข์ ประสบแต่ความคับแค้นถ่ายเดียว. บทว่า ภวเมวาภินนฺทติ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ยังเพลิดเพลินคือหวังภพ คือความเจริญที่ไม่มีซึ่งตนกำหนดโดยความสำคัญผิดนั้นเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อญฺญถาภาวี ความว่า มีความเป็นอย่างอื่นด้วยตัวเองจากอาการที่กำหนดด้วยความสำคัญโดยนัยมีอาทิว่า อัตตาของเราเที่ยง แต่เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน. บทว่า ภวสตฺโต ความว่า สัตวโลกติดข้องสยบอยู่ เพราะ บทว่า ภวเมวาภินนฺทติ ความว่า ยึดถือภพอันมีสภาวะไม่เที่ยงนั่นแล โดยเป็นของเที่ยง แล้วเพลิดเพลินความสำคัญอันน้อมไปในภพนั่นแหละ ด้วยความยินดีภพด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ คือไม่เบื่อหน่ายในภพนั้น. บทว่า ยทภินนฺทติ ตํ ภยํ ความว่า ภพคือความเจริญ หรือภพมีกามเป็นต้น ที่สัตวโลกเพลิดเพลินนั้น ชื่อว่าเป็นภัย เพราะอรรถว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง โดยเป็นเหตุเกิดภพ เพราะมีสภาวะแปรปรวนมีไม่เที่ยงเป็นต้น และเพราะถูกความพินาศหลายประการติดตาม. บทว่า ยสฺส ภายติ ความว่า ชราและมรณะเป็นต้นอันเป็นเหตุให้สัตวโลกกลัวนั้น จัดเป็นทุกข์เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ และเพราะเป็นตัวทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยสฺส ภายติ ความว่า สัตวโลกย่อมกลัวต่อการเสพใด เพราะความเพลิดเพลินภพ การเสพ กล่าวคือความขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) นั้น และความกลัวแต่การเสพนั้น จัดว่าเป็นทุกข์ คือมีสภาวะเป็นทุกข์ทีเดียว เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ และเพราะทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้นไม่กลับกลาย (เป็นอย่างอื่น). อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยสฺส ภายติ ตํ ทุกฺขํ ความว่า ความกลัวที่สัตวโลกผู้ไม่รู้การสลัดออก ซึ่งอนิจจ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวัฏฏะด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงวิวัฏฏะ (นิพพาน) จึงตรัสว่า ก็บุคคลอยู่ประพฤติ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภววิปฺปหานาย ได้แก่ เพื่อละกามภพเป็นต้น. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอรรถอวธารณะห้ามความอื่น. ศัพท์ว่า ปน เป็นนิบาตใช้ในอรรถปทปูรณะ ทำให้เต็มบท. บทว่า อิทํ เป็นบทกล่าวเฉพาะที่ใกล้. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ มรรคพรหมจรรย์. บทว่า วุสฺสติ แปลว่า ย่อมบำเพ็ญ. ท่านอธิบายคำนี้ไว้ว่า มรรคพรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้สงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ มีศีลขันธ์เป็นต้น เราประพฤติสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง บำเพ็ญบารมีมาสิ้น ๔ อสงไขยกำไรแสนกัปแล้วเหยียบย่ำหัวมารทั้ง ๓ ที่ควงไม้โพธิ์ได้บรรลุแล้ว จึงประพฤติบำเพ็ญ เพื่อประโยชน์แก่การละอย่างเด็ดขาด ด้วยการละเหตุเกิดแห่งกามภพเป็นต้นโดยส่วนเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอริยมรรคอันเป็นเหตุนำสัตว์ออกจากทุกข์โดยแท้จริงด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงความไม่มีมรรคอื่นจากอริยมรรคนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า เย หิ เกจิ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เป็นบทแสดงไขความไม่แน่นอน. คำว่า หิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า เกจิ ได้แก่ บางพวก. แม้ด้วยบททั้งสองท่านถือเอาคนผู้มีวาทะอย่างนั้นซึ่งมีทิฏฐิเป็นคติ โดยไม่กำหนดแน่นอน. บทว่า สมณา ได้แก่ เป็นสมณะด้วยเพียงเข้าไปบวช ไม่ใช่ด้วยการสงบบาป. บทว่า พฺรหฺมณา ได้แก่ เป็นพราหมณ์โดยเหตุเพียงกำเนิด ไม่ใช่ผู้ลอยบาป. วา ศัพท์เป็นวิกัปปัตถะ. บทว่า ภเวน ภวสฺส วิปฺป โมกฺขมาหํสุ ความว่า สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวความหลุดพ้นจากภพทั้งปวง คือความบริสุทธิ์จากสงสาร ด้วยกามภพหรือรูปภพ. ถามว่า ก็สมณพราหมณ์พวกไรกล่าวอย่างนี้? ตอบว่า พวกที่กล่าวถึงนิพพานในปัจจุบัน. ก็บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น บางพวกกล่าวว่า อัตตาที่เพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ อย่างสูง ย่อมถึงความดับ (นิพพาน) อย่างยิ่งในปัจจุบัน. บางพวกกล่าวว่า บรรดาฌานฝ่ายรูปาวจร อัตตาผู้พรั่งพร้อมด้วยปฐมฌาน ฯลฯ บางพวกกล่าวว่า อัตตาผู้พรั่งพร้อมด้วยจตุตถฌาน ย่อมถึงพระนิพพานอย่างยิ่งในปัจจุบัน. เหมือนดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตามมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้แหละเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕. พึงทราบความพิสดาร. แต่เกจิอาจารย์เหล่านั้นกล่าวว่า เพราะเหตุที่การแสวงหากามเป็นต้นเพื่อตน จักไม่มีแก่ผู้ที่เพียบพร้อมด้วยสุขเป็นต้น เหมือนปลิงที่อิ่มแล้ว เพราะดื่มไว้เต็มที่ ไม่มีการกระหายเลือด ก็เมื่อไม่มีการแสวงหากาม ภพก็ไม่มีเหมือนกัน ก็นัยนี้ควรได้แก่ผู้ตั้งอยู่ในภพใดๆ ความหลุดพ้นจากภพทั้งปวงย่อมมีได้ด้วยภพนั้นๆ ฉะนั้น จึง ก็แม้ผู้ที่มีลัทธิว่า คนพาลและบัณฑิต ท่องเที่ยวไปตลอดกาลเท่านี้ ตั้งอยู่ในภพสุดท้าย จะหลุดพ้นจากสงสาร ชื่อว่า กล่าวการหลุดพ้นภพด้วยภพ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ทั้งคนพาลและบัณฑิต ท่องเที่ยวไป ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัป จักกระทำที่สุดทุกข์ได้ ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ภเวน ได้แก่ภวทิฏฐิ. สัสสตทิฏฐิ ท่านเรียกว่าภวทิฎฐิ เพราะเป็นไปโดยอรรถว่า เกิดมี คือตั้งอยู่ติดต่อกัน. ในที่นี้ ภวทิฎฐินั่นแหละท่านเรียกว่าภพ เหมือนในประโยคว่า ภวตัณหา โดยลบบทเบื้องปลาย. ก็เมื่อว่าด้วยอำนาจทิฎฐิ สมณพราหมณ์บางพวก ย่อมสำคัญภพพิเศษเท่านั้น อันมีสภาวะเที่ยงเป็นต้นว่าเป็นการหลุดพ้นจากภพ เพราะมีความเป็นไปสงบกิเลส และเพราะอายุเป็นอยู่ได้นาน เหมือนพกาพรหมกล่าวไว้ว่า สิ่งนี้เที่ยง สิ่งนี้ยั่งยืน สิ่งนี้มีความเป็นไปติดต่อกัน สิ่งนี้มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา. สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแลผู้ถือผิดตรงกันข้ามมีความเห็นในสิ่งที่มิใช่เครื่องสลัดออกว่าเป็นเครื่องสลัดออก (จากทุกข์) ความหลุดพ้นจากภพจะมีแต่ไหน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เรากล่าวว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่หลุดพ้นจากภพ. บทว่า วิภเวน แปลว่า ด้วยการขาดสูญ (อุจเฉททิฎฐิ). บทว่า ภวสฺส นิสฺสรณมาหํสุ ความว่า สมณพราหมณ์ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วิภเวน ได้แก่ อุจเฉททิฎฐิ. อุจเฉททิฎฐิ ท่านกล่าวว่าวิภวะปราศจากภพ โดยนัยดังกล่าวแล้ว เพราะเป็นไปด้วยอรรถว่า อัตตาและโลกไม่มี คือพินาศ ขาดสูญ. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมน้อมไปด้วยอุจเฉททิฎฐิ แล้วเกิดในภพนั้นๆ ขาดสูญไป. อุจเฉททิฎฐินั้นนั่นแหละเป็นสังสารสุทธิ เพราะเหตุนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงชื่อว่าอุจเฉทวาทะ มีวาทะว่าขาดสูญ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้แหละเป็นสิ่งมีรูป อาศัย อนึ่ง ตรัสไว้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล ฯลฯ ทั้งคนพาลและบัณฑิตเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มี. สมณพราหมณ์แม้เหล่านั้นผู้ยึดถือผิดตรงกันข้ามอย่างนี้ จักสลัดออกจากภพได้แต่ที่ไหน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เรากล่าวว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้นไม่สลัดออกจากภพไปได้. เพราะสัตวโลกยังไม่ได้ถอนกิเลสที่เหลือให้หมดด้วยอริยมรรคภาวนา แม้ในกาลไหนๆ ก็ไม่ได้ความหลุดพ้นด้วยการสลัดออกจากภพ. จริงอย่างนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้ตกไปในส่วนสุดทั้งสองว่ามี (หรือ) ไม่มี เพราะไม่หยั่งรู้ตามความเป็นจริง จึง สมณพราหมณ์เหล่านั้นจะมีความหลุดพ้นแต่ที่ไหน. พระศาสดา เมื่อทรงแสดงว่า สมณพราหมณ์เหล่าใดไม่ข้องแวะส่วนสุด ๒ อย่างนั้น เพราะไม่งมงายในปวัตติเป็นต้น โดยแจ่มแจ้งในสัจจะทั้ง ๔ ย่อมขึ้นสู่ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปธิ ได้แก่ อุปธิมีขันธ์เป็นต้น. ศัพท์ว่า หิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ปฏิจฺจ แปลว่า อาศัย คือทำให้เป็นที่อาศัย. บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้น. ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร? ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า สัตว์เหล่านี้มีทิฎฐิเป็นคติ สำคัญว่าหลุดพ้นในที่ใด พวกเขาก็ได้ประสบอุปธิ คือ ขันธ์ กิเลส และอภิสังขารในที่นั้น สัตวโลกนั้นจะสลัดออกจากทุกข์ได้แต่ที่ไหน. ก็เพราะอภิสังขารเกิดมีในที่ที่กิเลสเกิดมี ความสืบเนื่องแห่งภพจึงไม่ขาดไปเลย เพราะฉะนั้น วัฎทุกข์ (ของสัตวโลก) จึงไม่ดับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดมี เพราะอาศัยอุปธิ. บัดนี้ เพื่อแสดงเหตุเครื่องสลัดทุกข์ จึงตรัสว่า เพราะอุปาทานทั้งปวงสิ้นไป ทุกข์จึงไม่เกิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพุปาทานกฺขยา ความว่า เพราะละได้เด็ดขาดซึ่งอุปาทานทั้งหมด ๔ อย่างนี้ คือ ในอุปาทาน ๔ เหล่านั้น อุปาทาน ๓ เหล่านี้ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทานและอัตต พึงทราบว่า กามุปาทานอันยังสัตว์ให้ไปอบายมรรคที่ ๑ ให้สิ้นไป. ที่เป็นกามราคะอย่างหยาบ มรรคที่ ๒ ให้สิ้นไป. กามราคะและพยาบาทอย่างละเอียด มรรคที่ ๓ ให้สิ้นไป. การละรูปราคะอรูปราคะ มรรคที่ ๔ ให้สิ้นไป รวมความว่าอุปาทานอันมรรคทั้ง ๔ ให้สิ้นไป คือถึงการไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา. บทว่า นตฺถิ ทุกฺขสฺส สมฺภโว ความว่า เพราะอุปาทานสิ้นไปโดยประการทั้งปวงอย่างนี้ คือเพราะรกชัฏคือกิเลส แม้ทั้งหมดโดยที่รวมอยู่ในฐานเดียวกันกับอุปาทานนั้นไม่เกิดขึ้น วัฏทุกข์แม้มีประมาณน้อยก็ไม่เกิด คือไม่ปรากฏ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงปวัตติคือ (ทุกขสัจ และนิวัตติคือนิโรธสัจ) พร้อมด้วยเหตุดังพรรณนามาฉะนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่า สัตวโลกนี้เมื่อไม่รู้นัยนี้ ก็เงยศีรษะขึ้นจากวัฏฏะไม่ได้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า โลกมิมํ ปสฺส. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกมิมํ ปสฺส ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชักนำในการกระทำการพิจารณาดู จึงตรัสเรียกเฉพาะพระองค์ว่า จงดูโลกนี้ เพราะพระองค์เข้าถึงภาววิสัย (ของโลก) โดยประจักษ์ด้วยพุทธจักษุ. บทว่า ปุถุ แปลว่า มาก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปุถุ แปลว่า เป็นพวกๆ. บทว่า อวิชฺชา ปเรตา ความว่า ถูกอวิชชาอันเป็นตัวปกปิดสัจจะ ๔ ครอบงำ. ซึ่งตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ความไม่รู้ในทุกข์. บทว่า ภูตา แปลว่า เกิดแล้ว คือบังเกิดแล้ว เพราะกรรมและกิเลส. บทว่า ภูตรตา ความว่า ยินดียิ่งด้วยตัณหาในสัตว์ทั้งหลาย คือในสัตว์อื่นด้วยความสำคัญว่า บิดา มารดา บุตรและภรรยาเป็นต้น หรือในภูต คือเบญจขันธ์ด้วยกำหนดว่าเป็นสตรี บุรุษเป็นต้น ด้วยภาวะว่าเที่ยงเป็นต้น และด้วยการถือว่าตนและมีในตน โดยไม่หยั่งรู้สภาวะแห่งเบญจขันธ์ว่าไม่เที่ยง ไม่งาม เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา. บทว่า ภวาอปริมุตฺตา ความว่า ไม่หลุดพ้นจากภพจากสงสาร ด้วยการยึดถือด้วยอำนาจตัณหาและทิฎฐิดังที่กล่าวแล้ว. ก็ในบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า โลกมิมํ นี้ อันดับแรก เมื่อจะทรงนำหมู่สัตว์แม้ทั้งสิ้นเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยภาวะเสมอกันก่อน จึงทรงแสดงศัพท์โดยไม่เจาะจงด้วยเอกวจนะ แล้วทรงประกาศอานุภาพ ก็แลครั้นทำคำอธิบายดังว่ามานี้แล้วทำให้เป็นทุติยาวิภัตติว่า โลกมิมํ แม้นิเทศที่เป็นปฐมาวิภัตติพหุวจนะโดยพระบาลีว่า อวิชฺชาย ปเรตา เป็นต้น ก็เป็นอันไม่ผิด เพราะมีพากย์ต่างกัน แต่เมื่อว่าโดยความประสงค์ให้เป็นพากย์อันเดียวกัน อาจารย์บางพวกจึงกล่าวว่าภูตอันอวิชชาครอบงำ ยินดีในภูต ไม่พ้นไปจากภพได้. แต่บาลีเก่ากล่าวโดยความต่างแห่งวิภัตติเท่านั้น. บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิปัสสนาวิถีอันเป็นโคจรของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นวิสัยแห่งเดียรถีย์ ซึ่งเป็นอุบายให้พ้นจากภพทั้งหมด จึงตรัสคำมีอาทิว่า เย หิ เกจิ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย หิ เกจิ ภวา ความว่า ก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีอายุยืน หรือมีอายุชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งมีประเภทแตกต่างกันโดยจำแนกเป็นกามภพเป็นต้น สัญญาภพเป็นต้นและเอกโวการภพเป็นต้น ที่สมมติกันว่ามีความสำราญ ที่ต่างกันโดยสาระ และเว้นจากความสำราญ. บทว่า สพฺพธิ ได้แก่ ในที่ทั้งปวงโดยวิภาคมีอาทิว่า เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง. บทว่า สพฺพตฺถตาย ได้แก่ โดยภาวะทั้งปวง มีสวรรค์ อบาย และมนุษย์เป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยในบท มีอาทิว่า สพฺเพ เต ดังต่อไปนี้. ภพทั้งหมดนั้นมีรูปและเวทนาเป็นต้นเป็นธรรม ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้วกลับไม่มี. ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดและความดับบีบคั้น. ชื่อว่ามีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เพราะจะต้องแปรปรวนไปด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ชราและมรณะ. อิติ ศัพท์ มีอาทิเป็นอรรถหรือมีปการะเป็นอรรถ. คืออย่างไร? คือ ด้วย อิติ ศัพท์นั้น พระองค์ทรงสงเคราะห์แม้อนัตตลักษณะ แล้วตรัสว่า ชื่อว่าอนัตตา เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ หรือชื่อว่าอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ เหตุมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา. สัตวโลกพิจารณาเห็นเบญจขันธ์นี้ กล่าวคือภพ ตามความเป็นจริง คือไม่แปรผัน ด้วยปัญญาอันชอบ คือด้วยญาณอันชอบ ได้แก่ด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรคอันประกอบด้วยวิปัสสนา คือแทงตลอดด้วยปริญญาอภิสมัยเป็นต้น จึงละตัณหาในภพอันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ภพเที่ยง ด้วยประการฉะนี้ คือด้วยอาการแทงตลอดลักษณะ ๓ คือดับได้เด็ดขาดพร้อมกับการบรรลุอรหัตมรรคนั่นแล ย่อมไม่เพลิดเพลิน คือย่อมไม่ปรารถนา วิภพ คือความตัดขาด เพราะละอุจเฉททิฎฐิได้ด้วยประการทั้งปวง. เพราะความสิ้นไป คือเพราะละตัณหา ๑๐๘ ประเภทมีกามตัณหาเป็นต้น และมีประเภทหาที่สุดมิได้โดยวิภาคการกำหนดเป็นต้นของสัตวโลกผู้เป็นอยู่อย่างนั้น โดยอาการทั้งปวง คือโดยประการทั้งปวง การดับโดยไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งสังกิเลสทั้งสิ้นโดยที่รวมอยู่ในฐานเดียวกับตัณหานั้น โดยไม่เหลือ คือโดยเด็ดขาด ด้วยธรรมเครื่องสำรอก คือด้วยอริยมรรคนั้น คือพระนิพพาน. ครั้นทรงแสดงอุปาทิเสสนิพพาน โดยการละตัณหาเป็นประธาน ดัง คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ เพราะภิกษุผู้ขีณาสพผู้ทำลายกิเลสโดยนัยดังกล่าวแล้ว ดับสนิทด้วยกิเลสปรินิพพานเพราะสิ้นตัณหาโดยประการทั้งปวง ไม่มีอุปทานคือหมดอุปาทาน หรือเพราะไม่ยึดมั่น กิเลสมารและอภิสังขารมาร ภพใหม่จึงไม่มี คือไม่มีอุปปัตติภพโดยการปฏิสนธิต่อไป. และภิกษุผู้เป็นอย่างนั้นครอบงำมารเสียได้ คือในขณะอริยมรรค ครอบงำกิเลสมาร อภิสังขารมารและเทวบุตรมาร ในขณะจริมกจิต จิตดวงสุดท้าย (อรหัตมรรค) ครอบงำขันธมาร และมัจจุมารเสียได้ รวมความว่า ท่านครอบงำมารทั้ง ๕ เสียได้ คือให้พ่ายแพ้ ได้แก่ทำให้หมดพยศด้วยการไม่ให้เงยศีรษะขึ้นได้อีก เพราะท่านชนะสงครามที่พวกมารทำให้เกิดในที่นั้นๆ. ก็ด้วยประการอย่างนี้ ท่านชื่อว่าชนะสงคราม ชื่อว่าผู้คงที่ คือเป็นพระอรหันต์ เพราะถึงลักษณะของความเป็นผู้คงที่ เพราะไม่มีวิการในอารมณ์ทั้งปวงมีอิฏฐารมณ์เป็นต้น ชื่อว่าก้าวล่วง คือก้าวล่วงด้วยดี ซึ่งภพทั้งปวง คือภพแม้ทั้งหมดมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว ไม่จัดเข้าในที่ใดที่หนึ่ง โดยที่แท้เป็นผู้หาบัญญัติมิได้เบื้องหน้าแต่ปรินิพพานไป เหมือนไฟหมดเชื้อ ฉะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอายอดแห่งอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จึงให้มหาอุทานนี้จบลง ด้วยประการฉะนี้. จบอรรถกถาโลกสูตรที่ ๑๐ จบนันทวรรควรรณนาที่ ๓ ----------------------------------------------------- รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. กรรมสูตร ๒. นันทสูตร ๓. ยโสชสูตร ๔. สาริปุตตสูตร ๕. โกลิตสูตร ๖. ปิลินทวัจฉสูตร ๗. มหากัสสปสูตร ๘. ปิณฑปาตสูตร ๙. สิปปสูตร ๑๐. โลกสูตร ฯ .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน นันทวรรคที่ ๓ โลกสูตร จบ. |