ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 421อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 422อ่านอรรถกถา 25 / 423อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อัฏฐกวรรค
อัตตทัณฑสูตร

               อรรถกถาอัตตทัณฑสูตรที่ ๑๕               
               อัตตทัณฑสูตรมีคำเริ่มต้นว่า อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ ดังนี้
               พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร?
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการทะเลาะกันเพราะเรื่องน้ำของเจ้าศากยะและเจ้าโกลิยะ ดังได้พรรณนาไว้แล้วในเรื่องการเกิดขึ้นแห่งสัมมาปริพพาชนิยสูตร ทรงดำริว่าพวกพระญาติทะเลาะกัน เอาเถิด เราจักห้ามพระญาติเหล่านั้นดังนี้ เสด็จประทับยืน ณ ท่ามกลางเหล่าเสนาทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงตรัสพระสูตรนี้.
               ในสูตรนั้นพึงทราบความในคาถาต้นดังนี้
               ภัยอันใดเกิดขึ้นในปัจจุบันและสัมปรายภพ ภัยนั้นทั้งหมดเกิดแต่อาชญาของตน เกิดแต่เหตุทุจริตของตน เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงเห็นชนผู้ทะเลาะกัน จงเห็นชนมีเจ้าศากยะเป็นต้นนี้ทะเลาะกัน ทำร้ายกัน เบียดเบียนกันและกัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงตำหนิชนผู้พิโรธตอบโต้กัน ผู้ปฏิบัติผิดนั้นอย่างนี้แล้วเพื่อให้เกิดสังเวชแก่ชนนั้น ด้วยการแสดงสัมมาปฏิบัติของพระองค์ จึงตรัสว่า สํเวคํ กิตฺตยิสฺสามิ ยถา สํวิชิตํ มยา เราจักแสดงความสลดใจ ตามที่เราได้สลดใจมาแล้ว.
               อธิบายว่า เคยเป็นพระโพธิสัตว์มาแล้วนั่นเอง.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงประการตามที่พระองค์สลดพระทัยมาแล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า ผนฺทมานํ หมู่สัตว์กำลังดิ้นรนอยู่ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ผนฺทมานํ ได้แก่ หมู่สัตว์กำลังดิ้นรนอยู่ด้วยตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า อปฺโปทเก คือ ในแอ่งน้ำน้อย. บทว่า อญฺญมญฺเญหิ พฺยารุทฺเธ ทิสวา คือ เพราะเห็นคนทั้งหลายผู้พิโรธกันและกันเหมือนสัตว์ต่างๆ. บทว่า มํ ภยมาวิสิ คือ ภัยได้เข้ามาถึงเราแล้ว.
               บทว่า สมนฺตมสาโร โลโก โลกโดยรอบหาแก่นสารมิได้ คือโลกโดยรอบตั้งแต่นรกเป็นต้นหาแก่นสารมิได้ คือเว้นจากแก่นสารมีความเป็นของเที่ยงเป็นต้น.
               บทว่า ทิสา สพฺพา สเมริตา คือ ทิศทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว เพราะความเป็นของไม่เที่ยง. บทว่า อิจฺฉํ ภวนฺมตฺตโน คือ เราปรารถนาความต้านทานแก่ตนอยู่. บทว่า นาทฺทสาสึ อโนสิตํ คือ ไม่ได้เห็นสถานที่อะไรๆ อันทุกข์มีชราเป็นต้นไม่ครอบงำแล้ว.
               บทว่า โอสาเนเตวว พฺยารุทฺเธ ทิสาว เม อรตึ อหุ เราไม่ได้มีความยินดี เพราะได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้อันทุกข์มีชราเป็นต้นกระทบแล้วในที่สุด คือเรามิได้มีความยินดี เพราะเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้อันทุกข์มีชราเป็นต้นกระทบแล้ว ถึงความพินาศไปในที่สุด แห่งความเป็นหนุ่มสาวเป็นต้นนั้นเอง.
               บทว่า อเถตฺถ สลฺลํ คือ เราได้เห็นกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้นในสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้. บทว่า หทยนิสฺสิตํ อันอาศัยหทัย คืออันอาศัยจิต.
               หากมีคำถามว่า กิเลสดุจลูกศรมีอานุภาพอย่างไร
               พึงทราบคาถาว่า เยน สลฺเลน โอติณฺโณ สัตว์ถูกกิเลสดุจลูกศรเสียบติดแล้ว.
               บทว่า ทิสา สพฺพา วิธาวติ สัตว์ย่อมแล่นไปยังทิศทั้งปวง คือสัตว์ย่อมแล่นไปยังทิศคือความทุจริตทั้งปวงบ้าง ยังทิศบูรพาเป็นต้นบ้าง. บทว่า ตเมว สลฺลํ อพฺพุยฺห น ธาวติ น สีทติ คือ บัณฑิตถอนกิเลสดุจลูกศรนั้นแลออกเสียได้ ย่อมไม่แล่นไปยังทิศและไม่จมลงในโอฆะ ๔.
               เมื่อมนุษย์ทั้งหลายถูกกิเลสดุจลูกศรอันมีอานุภาพมากเสียบอย่างนี้แล้ว พึงทราบคาถาว่า ตตฺถ สิกฺขานุคียนฺติ ยานิ โลเก คธิตานิ หมู่มนุษย์ย่อมพากันเล่าเรียนศิลปะ เพื่อให้ได้อารมณ์ที่น่ายินดีในโลก.
               บทนั้นมีความดังนี้
               กามคุณ ๕ ใดในโลก ท่านเรียกว่า คธิตานิ ยินดี เพราะอรรถว่าย่อมปรารถนาเพื่อจะได้คืน หรือเพราะเสพตลอดกาลนาน หรือเพราะกล่าวเล่าเรียนศิลปะหลายแขนงมีศิลปะการฝึกช้างเป็นต้นอันเป็นเครื่องหมายในกามคุณเหล่านั้น ท่านทั้งหลายจงดูเถิด โลกนี้มัวเมากันเพียงไร กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตไม่พึงขวนขวายในอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น หรือในศิลปะเหล่านั้น พึงเบื่อหน่ายกามทั้งหลายโดยประการทั้งปวง ด้วยการเห็นลักษณะมีลักษณะไม่เที่ยงเป็นต้นโดยถ่องแท้ พึงศึกษานิพพานเพื่อตนเถิด.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงสิ่งที่ควรศึกษา จึงตรัสคำมีอาทิว่า สจฺโจ สิยา ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า สจฺโจ พึงเป็นผู้มีสัจจะ คือพึงเป็นผู้ประกอบด้วยวาจาสัจจะ ญาณสัจจะ มรรคสัจจะ.
               บทว่า ริตฺตเปสุโณ คือ ละคำส่อเสียด.
               บทว่า เววิจฺฉํ คือ ความตระหนี่.
               บทว่า นิทฺทํ ตนฺทึ สเห ถีนํ พึงครอบงำความหลับ ความเกียจคร้าน ความท้อแท้ ได้แก่พึงครอบงำธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ คือความง่วงเหงาหาวนอน ความเกียจคร้านทางกายและความเกียจคร้านทางจิต.
               บทว่า นิพฺพานมนโส คือ มีจิตน้อมไปในนิพพาน. บทว่า สาหสา ความผลุนผลัน คือ เพราะเหตุแห่งความผลุนผลันอันมีประเภทแห่งความประพฤติกำหนัดเป็นต้นของคนกำหนัด. บทว่า นาภินฺนเทยฺย ไม่พึงยินดีสิ่งที่ล่วงมาแล้ว คือรูปที่ล่วงมาแล้วเป็นต้น. บทว่า นเว คือ ในปัจจุบัน. บทว่า หิยฺยมาเน คือ อารมณ์ที่หายไป. บทว่า อากาสํ น สิโต สิยา คือ ไม่พึงเป็นผู้อาศัยอากาศ.
               จริงอยู่ ตัณหา ท่านเรียกว่าอากาศ เพราะเป็นช่องแห่งรูปเป็นต้น.
               หากมีคำถามว่า เพราะอะไร จึงไม่พึงเป็นผู้อาศัยตัณหา.
               พึงทราบคาถาต่อไปว่า อหํ หิ อิมํ เคธํ พฺรูมิ เพราะเรากล่าวตัณหานี้ว่าเป็นความกำหนัดยินดี.
               บทนั้นมีความดังนี้
               เพราะเรากล่าวตัณหาที่เรียกว่าอากาศนี้ว่าเป็นความกำหนัดยินดี เพราะเป็นช่องทางแห่งรูปเป็นต้น.
               มีอะไรยิ่งไปกว่านั้น มีดังนี้
               เรากล่าวตัณหาว่าเป็นโอฆะ เพราะการทำลายลง กล่าวตัณหาว่าอาชวะ เพราะแล่นไปเร็ว กล่าวตัณหาว่าเป็นเครื่องกระซิบ เพราะเหตุให้กระซิบว่า นี้ของเรา นี้ของเรา กล่าวตัณหาว่าเป็นอารมณ์ เพราะปล่อยได้ยาก กล่าวตัณหาว่าทำใจให้กำเริบ เพราะเหตุทำให้หวั่นไหว.
               อนึ่ง ตัณหานี้เป็นเปือกตมคือกาม ชื่อว่ายากที่สัตว์จะล่วงไปได้ เพราะเป็นความห่วงใยของโลก และเพราะสัตว์ก้าวพ้นไปได้ยาก.
               หากมีคำถามว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ไม่พึงเป็นผู้อาศัยอากาศดังนี้ อากาศคืออะไร.
               ตอบว่า เคธํ พฺรูมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรากล่าวอากาศว่าเป็นความกำหนัดยินดี ด้วยเหตุนั้น พึงทราบการเชื่อมคาถานั้นด้วยประการฉะนี้.
               ในบทนั้น พึงทราบการแก้บทว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรากล่าวอากาศว่าเป็นความกำหนัดยินดี เหมือนอย่างเรากล่าวว่า ตัณหาเป็นห้วงน้ำใหญ่ ตัณหาเป็นความแล่นไปเร็ว ตัณหาเป็นเครื่องกระซิบใจ ตัณหาเป็นอารมณ์ ตัณหาเป็นความกำเริบ ตัณหาเป็นเปือกตมคือกามในโลกพร้อมทั้งเทวโลกอันสัตว์ข้ามได้ยาก. ไม่พึงเป็นผู้อาศัยอากาศอันเป็นปริยายว่า ความกำหนัดยินดีเป็นต้นอย่างนี้.
               พึงทราบคาถาว่า สจฺจา อโวกฺกมฺม มุนี ไม่ปลีกออกจากสัจจะแล้ว.
               บทนั้นมีความดังนี้
               พราหมณ์ไม่ปลีกออกจากสัจจะ ๓ อย่างดังกล่าวมาก่อนแล้ว เรียกชื่อว่าเป็นมุนี เพราะปฏิบัติปฏิปทาเพื่อความเป็นมุนี ตั้งอยู่บนบกคือนิพพาน พราหมณ์นั้นแลสละคืนอายตนะทั้งหมดแล้ว เรากล่าวว่าเป็นผู้สงบ.
               มีอะไรยิ่งไปกว่านั้น มีคาถาว่า สเว วิทวา มุนีนั้นแลเป็นผู้รู้ดังนี้ เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ญตฺวา ธมฺมํ คือ รู้ธรรมอันปรุงแต่งโดยนัยมีความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า สมฺมา โส โลเก อริยาโน มุนีนั้นเป็นอยู่ในโลกโดยชอบ คือเพราะละกิเลสอันทำให้เป็นอยู่โดยมิชอบเสียได้. ก็เมื่อไม่ทะเยอทะยานอย่างนี้ พึงทราบคาถาต่อไปว่า โยธ กาเม ผู้ใดข้ามกามทั้งหลายในโลกนี้ได้ ดังนี้เป็นต้น.ฺ
               ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคํ ธรรมเป็นเครื่องข้อง คือผู้ใดข้ามธรรมเป็นเครื่องข้อง ๗ อย่างได้. บทว่า นาชฺเฌติ คือ ย่อมไม่เพ่งเล็ง. เพราะฉะนั้น ในบรรดาท่านทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจะเป็นอย่างนี้ เรากล่าวถึงผู้นั้น.
               พึงทราบคาถาต่อไปว่า ยํ ปุพฺเพ ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ คือกิเลสชาตและกรรมในอดีตปรารภสังขารในอดีตเกิดขึ้นเป็นธรรมดา. บทว่า ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ กิเลสชาตเคื่องกังวลในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน คือ กิเลสชาตเครื่องกังวลมีราคะเป็นต้นปรารภสังขารแม้ในอนาคตอย่าได้มีแก่ท่าน. บทว่า มชฺเฌ เจ โน คเหสฺสสิ หากท่านจักไม่ถือเอาในปัจจุบัน คือหากท่านจักไม่ถือธรรมมีรูปในปัจจุบันเป็นต้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการบรรลุพระอรหัตด้วยบทว่า อุปสนฺโต จริสฺสสิ ท่านจักเป็นผู้สงบเที่ยวไปอย่างนี้แล้ว บัดนี้ได้ตรัสคาถาทั้งหลายต่อจากนี้ด้วยการสรรเสริญพระอรหัต.
               ในบทเหล่านั้น พึงทราบความแห่งคาถาว่า สพฺพโส โดยประการทั้งปวงเป็นต้น.
               บทว่า มมายิตํ ยึดถือในนามรูปว่าเป็นของเรา คือทำความยึดถือว่าเป็นของเรา หรือยึดถือวัตถุว่า สิ่งนี้ของเรา ดังนี้. บทว่า อสตา จ น โสจติ คือ ไม่เศร้าโศกเพราะเหตุแห่งนามรูปอันไม่มี เพราะเหตุแห่งความไม่ยินดี. บทว่า น ชิยฺยติ ไม่เสื่อมคือไม่ถึงความชรา.
               มีอะไรยิ่งไปกว่านี้อีกมีคาถาว่า ยสฺส นตฺถิ ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า กิญฺจนํ เครื่องกังวลคือธรรมชาตมีรูปเป็นต้นไรๆ.
               มีอะไรยิ่งไปอีก มีคำถามว่า อนุฏฺฐุรี ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุฏฺฐุรี แปลว่า ไม่มีความขวนขวาย. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อนุทฺธรี ก็มี. บทว่า สพฺพธิ สโม คือเป็นผู้เสมอในอารมณ์ทั้งปวง. อธิบายว่าเป็นผู้วางเฉย.
               บทนี้ ท่านอธิบายว่า บุคคลใดไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี เราเป็นผู้ถูกถามถึงบุคคลนั้นผู้ไม่หวั่นไหวจะบอกอานิสงส์ ๔ อย่างในบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่มีความขวนขวาย ไม่กำหนัดยินดี ไม่หวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอารมณ์ทั้งปวง.
               มีอะไรยิ่งไปกว่านี้ มีคาถาว่า อเนชสฺส ผู้ไม่หวั่นไหว ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า นิสงฺขติ ธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งคือสังขารอย่างใดอย่างหนึ่งในปุญญาภิสังขารเป็นต้น เพราะสังขารนั้นถูกปรุงแต่ง หรือย่อมปรุงแต่ง ฉะนั้นท่านจึงเรียก นิสงฺขติ.
               บทว่า วิยารมฺภา จากการปรารภคือจากการปรารภ ๓ อย่างมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น.
               บทว่า เขมํ ปสฺสติ สพฺพธิ ย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทุกสถานคือเห็นความไม่มีภัยในที่ทั้งปวงนั้นเอง.
               เมื่อเห็นอย่างนี้ พึงทราบคาถาต่อไปว่า น สเมสุ ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า น วทเต ย่อมไม่กล่าวยกย่องตน คือไม่กล่าวยกย่องตนแม้ในบุคคลผู้เสมอกันด้วยถือตัวว่าเราเป็นเช่นเดียวกันเป็นต้น แม้ในบุคคลผู้ต่ำกว่า แม้ในบุคคลผู้สูงกว่า.
               บทว่า นาเทติ น นิรสฺสติ ไม่ยึดถือ ไม่สละ คือไม่ยึดถือไม่สละธรรมไรๆ ในบรรดาธรรมมีรูปเป็นต้น.
               บทที่เหลือชัดแล้วทั้งหมด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัตด้วยประการฉะนี้.
               เมื่อจบเทศนา ศากยกุมารและโกลิยกุมาร ๕๐๐ ได้ผนวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพาภิกษุเหล่านั้นเสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน.

               จบอรรถกถาอัตตทัณฑสูตรที่ ๑๕               
               แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย               
               ชื่อปรมัตถโชติกา               
               --------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อัฏฐกวรรค อัตตทัณฑสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 421อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 422อ่านอรรถกถา 25 / 423อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=10675&Z=10734
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=29&A=9223
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=29&A=9223
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๑  พฤษภาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :