บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ปฏิโลมํ ความว่า ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้นที่กล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้ เมื่อดับด้วยการดับโดยไม่เกิดขึ้น ท่านเรียกว่า ปฏิโลม เพราะไม่ทำกิจที่ตนควรกระทำ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปฏิโลม เพราะย้อนความเป็นไป ก็เพราะไม่ได้กล่าวถึงตั้งแต่ที่สุดหรือท่ามกลางจนถึงเบื้องต้น ในที่นี้ ความที่ปัจจยาการเป็นปฏิโลม โดยความอื่นจากนี้จึงไม่ถูก. อนึ่ง บทว่า ปฏิโลม เป็นการแสดงภาวนปุงสกลิงค์ เหมือนในประโยคว่า วิสมํ จนฺทิมสุริยา ปริวตฺตนฺติ พระจันทร์และพระอาทิตย์เวียนไปไม่สม่ำเสมอ. บทว่า อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ ความว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ไม่มี คือถูกมรรคละเสียแล้ว ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็ไม่มี คือเป็นไปไม่ได้. บทว่า อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺเฌติ ความว่า เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ดับ คือเพราะ ในที่นี้ คำที่เหลือที่จะพึงกล่าว พึงทราบตามนัยที่กล่าวในอรรถกถาปฐมโพธิสูตร. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงประการที่พระองค์ทรงกระทำปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลม ไว้ในพระทัยดังพรรณนามาฉะนี้ โดยสังเขปแล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงโดยพิสดาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวิชฺชานิโรธา ความว่า เพราะอวิชชาดับเด็ดขาด อนึ่ง อวิชชาอันเป็นปัจจัยให้เกิดในโลกนี้และในภูมิอันมิใช่ของพระอริยะทั้งหมด อันมรรคที่ ๒ และมรรคที่ ๓ ย่อมละได้ตามลำดับ ไม่ใช่ละกิเลสนอกนี้ได้. จริงอยู่ อวิชชา บทว่า สงฺขารนิโรโธ ความว่า ย่อมดับโดยสังขารไม่เกิดขึ้น. เพื่อแสดงว่า ก็เพราะสังขารดับไปอย่างนี้วิญญาณจึงดับ และเพราะวิญญาณเป็นต้นดับ นามรูปเป็นต้นก็ดับเหมือนกัน ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ แล้วกล่าวว่า กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมดับไปด้วยประการฉะนี้. ในคำเหล่านั้น คำที่ควรกล่าวมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันกล่าวกองทุกข์ทั้งมวลดับไปโดยสิ้นเชิงแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ แม้ก็จริง ถึงกระนั้น เพื่อแสดงเนื้อความนี้ในอนุโลมว่า ปัจจยุปปันนธรรมใดๆ ยังไม่ดับไป คือยังเป็นไปอยู่ เพราะปัจจัยธรรมใดๆ มี ท่านจึงกล่าวว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฯเปฯ สมุทโย โหติ ดังนี้ ฉันใด เพื่อแสดงว่า ปัจจยุปปันนธรรมนั้นๆ ย่อมดับ คือไม่เป็นไป เพราะปัจจัยธรรมนั้นๆ ไม่มี โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อปัจจยุปปันนธรรมนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในที่นี้ว่า อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ ฯเปฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ ดังนี้ ฉันนั้น. แต่ไม่ได้กล่าวเพื่อแสดงความดับกองทุกข์นับเนื่องในกาล ๓ เหมือนในอนุโลม. พึงทราบความแปลกกันแม้นี้ว่า จริงอยู่ เมื่อไม่มีอริยมรรคภาวนาแห่งกองทุกข์ที่เป็นอนาคต ท่านประสงค์เอาความดับกองทุกข์ที่ควรจะเกิดด้วยอริยมรรคภาวนา. บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า รู้อรรถนี้ที่ท่านกล่าวว่า กองทุกข์มีสังขารเป็นต้น ย่อมดับด้วยอำนาจอวิชชาดับเป็นต้น โดยอาการทั้งปวง. บทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงอานุภาพแห่งการหยั่งรู้การสิ้นปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้น ที่ประกาศไว้อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ในเมื่อรู้แจ้งอรรถนั้น. ในข้อนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ เพราะเหตุที่พระองค์ทรงรู้ รู้ทั่วถึง แทงตลอดความสิ้นไป กล่าวคือความดับไม่เกิดขึ้นแห่งปัจจัยธรรมมีอวิชชาเป็นต้น ฉะนั้น โพธิปักขิยธรรมหรือจตุสัจธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ปรากฏเกิดขึ้น หรือแจ่มชัดแก่พราหมณ์นั้นผู้มีเพียรเพ่งอยู่โดยนัยดังกล่าวแล้ว ทีนั้น ความสงสัยมีประเภทดังกล่าวแล้วในกาลก่อนพึงเกิดขึ้น เพราะไม่รู้แจ้งความดับปัจจัยโดยชอบ ทั้งหมดนั้น ย่อมหายไป คือดับไปแล. คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. จบอรรถกถาทุติยโพธิสูตรที่ ๒ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โพธิวรรคที่ ๑ โพธิสูตรที่ ๒ จบ. |