บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] [๑๓] [๑๔] [๑๕] [๑๖] [๑๗] [๑๘] [๑๙] [๒๐] [๒๑] [๒๒] [๒๓] [๒๔] [๒๕] [๒๖] [๒๗] [๒๘] [๒๙] [๓๐] [๓๑] [๓๒] [๓๓] [๓๔] [๓๕] [๓๖] [๓๗] [๓๘] [๓๙] หน้าต่างที่ ๓๓ / ๓๙. ข้อความเบื้องต้น บุรพกรรมของสองพี่น้อง ได้ยินว่า ในอดีตกาล กุฎุมพี ๒ คนพี่น้องในกรุงพาราณสี ยังชนให้ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก. ต่อมาวันหนึ่ง น้องชายไปยังไร่อ้อย คิดว่า "เราจักให้อ้อยลำหนึ่งแก่พี่ชาย ลำหนึ่งจักเป็นของเรา" แล้วผูกลำอ้อยทั้งสองลำในที่ๆ ตัดแล้ว เพื่อต้องการไม่ให้รสไหลออก ถือเอาแล้ว. ได้ยินว่า ในครั้งนั้น กิจด้วยการหีบอ้อยด้วยเครื่องยนต์ ไม่มี, ในเวลาอ้อยลำที่เขาตัดที่ปลายหรือที่โคนแล้วยกขึ้น รส (อ้อย) ย่อมไหลออกเองทีเดียว เหมือนน้ำไหลออกจากธมกรกฉะนั้น. ก็ในเวลาที่เขาถือเอาลำอ้อยจากไร่เดินมา พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขา น้องชายถวายอ้อยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าดื่มรส (อ้อย) นั้นแล้ว เขาคิดว่า "ดีจริง พระผู้เป็นเจ้าของเราดื่มรส (อ้อย) แล้ว, ถ้าพี่ชายของเราจักให้นำมูลค่ามา เราก็จักให้มูลค่า; ถ้าจักให้เรานำส่วนบุญมา เราก็จักให้ส่วนบุญ" แล้วกล่าวว่า "นิมนต์ท่านน้อมบาตรเข้ามาเถิด ขอรับ" แล้วได้แก้ลำอ้อยแม้ที่ ๒ ถวายรส. นัยว่า เขามิได้มีความคิดที่จะลวงแม้มีประมาณเท่านี้ว่า "พี่ชายของเราจักนำอ้อยลำอื่นจากไร่อ้อยมาเคี้ยวกิน" ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้ใคร่จะแบ่งรสอ้อยนั้นกับด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่าอื่น เพราะความที่ตนดื่มรสอ้อยลำแรกนั้น จึงรับไว้เท่านั้น แล้วก็นั่งอยู่. เขาทราบอาการของท่านแล้ว จึงไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งความ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็กล่าวว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านตั้งไว้แล้ว จงสำเร็จอย่างนั้น" แล้วทำอนุโมทนาแก่เขาด้วย ๒ คาถาว่า "อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ" เป็นต้น แล้วก็อธิษฐานโดยประการที่เขาจะเห็นได้ แล้วเหาะไปสู่ เขาเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้ว ไปสู่สำนักพี่ชาย เมื่อพี่ชายถามว่า "เจ้าไปไหน?" จึงบอกว่า "ฉันไปตรวจดูไร่อ้อย" ถูกพี่ชายกล่าวว่า "จะมีประโยชน์อะไรด้วยคนอย่างเจ้าไปไร่อ้อย เจ้าควรจะถือเอาลำอ้อยมา ๑ ลำหรือ ๒ ลำมิใช่หรือ?" กล่าวว่า "พี่ ถูกละ ฉันถือเอาอ้อยมา ๒ ลำ แต่ฉันเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงถวายรสแต่ลำอ้อยของฉัน แล้วถวายรสแต่ลำอ้อยแม้ของพี่ ด้วยคิดว่า เราจักให้มูลค่าหรือส่วนบุญ พี่จักรับเอามูลค่าอ้อยนั้น หรือจักรับเอาส่วนบุญ?" พี่ชาย. ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำอะไร? น้องชาย. ท่านดื่มรสจากลำอ้อยของฉันแล้ว ก็ถือเอารสจากลำอ้อยของพี่ ไปสู่ พี่ชายเลื่อมใสขออนุโมทนาส่วนบุญ น้องชายปรารถนาสมบัติ ๓ อย่าง ส่วนพี่ชายปรารถนาพระอรหัตด้วยประการฉะนี้. นี้เป็นบุรพกรรมของชนทั้งสองนั้น. สองพี่น้องได้เกิดร่วมกันอีกในชาติต่อมา พี่น้องทั้งสองแม้นั้น เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว, ผู้พี่ชายก็คงเป็นพี่ชาย ผู้น้องชายก็คงเป็นน้องชาย ถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่งในพันธุมดีนคร. บรรดาเด็กทั้งสองนั้น มารดาบิดาได้ตั้งชื่อของผู้พี่ชายว่า "เสนะ" ของผู้น้องชายว่า "อปราชิต" เมื่อพี่น้องทั้งสองนั้นกำลังรวบรวมขุมทรัพย์อยู่ ในเวลาเติบโตแล้ว๑-, เสนกุฎุมพีได้ฟังการป่าวร้องในพันธุมดีนครของอุบาสกผู้โฆษณาธรรมว่า "พุทธรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก, ธรรมรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก, สังฆรัตนะเกิดขึ้นแล้วในโลก, พวกท่านจงให้ทานทั้งหลาย จงทำบุญทั้งหลาย วันนี้เป็นดิถีที่ ๑๔ วันนี้เป็นดิถีที่ ๑๕ พวกท่านจงทำอุโบสถ จงฟังธรรม" เห็นมหาชนถวายทานในกาลก่อนภัตแล้ว ไปเพื่อฟังธรรมในกาลภายหลังภัต จึงถามว่า "พวกท่านจะไปไหน? เมื่อมหาชนบอกว่า "พวกฉันจะไปสู่สำนักพระศาสดา เพื่อฟังธรรม." จึงพูดว่า "แม้ฉันก็จักไป" แล้วก็ไปพร้อมกับชนเหล่านั้นทีเดียว นั่งแล้วในที่สุดบริษัท. พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของเขา จึงตรัสอนุปุพพีกถา. เขาฟังธรรมของพระศาสดาแล้ว เกิดความอุตสาหะในบรรพชา จึงทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า "ก็พวกญาติที่ท่านจะพึงอำลามีไหม?" เสนกุฎุมพี. มี พระเจ้าข้า. พระศาสดา. ถ้าอย่างนั้น ท่านไปอำลา แล้วจงมา. ____________________________ ๑- หมายความว่า ได้ตั้งหลักฐานในการครองเรือนแล้ว. พี่ชายลาน้องชายออกบวชแล้วได้บรรลุพระอรหัต น้องชาย. ก็พี่เล่า? ขอรับ. เสนกุฎุมพี. ฉันจักบวชในสำนักของพระศาสดา. น้องชาย. พี่พูดอะไร? ฉันเมื่อมารดาตายแล้ว ก็ได้พี่เป็นเหมือนมารดา, เมื่อบิดาตายแล้ว ก็ได้พี่เป็นเหมือนบิดา ตระกูลนี้ก็มีโภคะมาก พี่ดำรงอยู่ในเรือนนี่แหละ ก็สามารถจะทำบุญได้. พี่อย่าทำอย่างนั้น. เสนกุฎุมพี. ฉันฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้ว ฉันดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน ไม่อาจบำเพ็ญธรรมนั้นได้ ฉันจักบวชให้ได้ เจ้าจงกลับ. เขายังน้องชายให้กลับไปด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก ก็บรรลุพระอรหัต. ฝ่ายน้องชายคิดว่า "เราจักทำสักการะแก่บรรพชิตผู้พี่ชาย" จึงถวายทานแก่ ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะน้องชายนั้นว่า "ดีละ เจ้าผู้เป็นบัณฑิต เจ้าจงให้สร้าง ____________________________ #- คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่. น้องชายสร้างพระคันธกุฎีถวายพระศาสดา ก็ในเวลาสร้างพระคันธกุฎีนั้นแล หลานชายชื่ออปราชิต ผู้มีชื่อเหมือนกับตนนั่นแล เข้าไปหาอปราชิตกุฎุมพีนั้นแล้ว กล่าวว่า "แม้ฉันก็จักสร้าง ท่านจงให้ส่วนบุญแก่ฉันเถิด ลุง" เขากล่าวว่า "พ่อ ฉันไม่ให้ ฉันจักสร้างไม่ให้ทั่วไปด้วยชนเหล่าอื่น." หลานชายนั้นอ้อนวอนแม้เป็นอันมาก เมื่อไม่ได้ส่วนบุญ จึงคิดว่า "การที่เราได้กุญชรศาลา๑- ข้างหน้าพระคันธกุฎี ย่อมควร" ดังนี้แล้ว จึงให้สร้างกุญชรศาลาที่สำเร็จด้วยแก้ว ๙ ประการ. เขาเกิดเป็นเมณฑก ก็บานหน้าต่างใหญ่ ๓ บาน ที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ได้มีแล้วใน ____________________________ ๑- ศาลามีรูปคล้ายช้าง. #- กุงฺกุมํ หญ้าฝรั่น ๑. ยวนปุปฺผํ ดอกไม้เกิดในยวนประเทศ ๑. ตครํ กฤษณา ๑. ตุรุกฺโข กำยาน ๑. ##- เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ปรากฏโดยมาก :- เพื่อจะโปรยพระสรีระด้วยสายแห่งเกสรทั้งหลาย อันตั้งขึ้นแล้วด้วยกำลังลม ในกาลแห่งพระตถาคตประทับนั่งภายในแล้ว กระเบื้องที่ยอดพระคันธกุฎีได้สำเร็จด้วยทองคำอันสุกปลั่ง. หาง (กระเบื้อง) สำเร็จด้วยแก้วประพาฬตอนล่าง กระเบื้องมุงสำเร็จด้วยแก้วมณี. พระคันธกุฎีนั้นได้ตั้งอยู่งดงามดุจนกยูงลำแพน ด้วยประการฉะนี้. คฤหบดีชื่ออปราชิต ยังพระคันธกุฎีให้สำเร็จด้วยอาการอย่างนี้แล้ว จึงเข้าไปหาพระ พระเถระนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ทราบว่า กุฎุมพีผู้นี้ให้สร้างพระคันธกุฎีเพื่อพระองค์ บัดนี้ เธอหวังการใช้สอย." พระศาสดาเสด็จลุกจากอาสนะแล้ว เสด็จไปสู่ที่เฉพาะหน้าพระคันธกุฎี ทอด พระศาสดาเสด็จเข้าไปแล้ว. ____________________________ ๒- เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ปรากฏโดยมาก :- ลำดับนั้น กุฎุมพีกราบทูลพระองค์ว่า "ขอพระองค์โปรดเสด็จเข้าไปเถิด พระเจ้าข้า" พระศาสดาประทับยืนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแล ทอดพระเนตรดูพระเถระพี่ชายของกุฎุมพีนั้นถึง ๓ ครั้ง, พระเถระทราบด้วยอาการที่พระองค์ทอดพระเนตรแล้วนั่นแล กล่าวกะน้องชายว่า "มาเถิด พ่อ เธอจงทูลพระศาสดาว่า การรักษาจักมีแก่ข้าพระองค์เอง ขอเชิญพระองค์ประทับอยู่ตามสบายเถิด" เขาฟังคำพระเถระแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า พวกมนุษย์เข้าไปที่โคนไม้แล้วไม่มีความเยื่อใยหลีกไปฉันใด, อนึ่ง พวกมนุษย์ข้ามแม่น้ำ ไม่มีความเยื่อใย สละพ่วงแพเสียได้ฉันใด, ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ไม่มีความเยื่อใยฉันนั้น ประทับอยู่เถิด." ก็พระศาสดาประทับยืนอยู่เพื่ออะไรฯ ได้ยินว่า พระองค์ทรงมีพระปริวิตกอย่างนี้ว่า "ชนเป็นอันมาก ย่อมมาสู่สำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในเวลาก่อนภัตบ้าง ในเวลาหลังภัตบ้าง เมื่อชนเหล่านั้นถือเอารัตนะทั้งหลายไปอยู่ พวกเราไม่อาจห้ามได้ กุฎุมพีพึงติเตียนว่า เมื่อรัตนะประมาณเท่านี้เราโปรยลงแล้วที่บริเวณ, พระศาสดาไม่ห้ามปรามอุปัฏฐากของพระองค์ แม้ผู้นำ (รัตนะ) ไปอยู่ ดังนี้แล้ว ทำความอาฆาตในเรา พึงเป็นผู้เข้าถึงอบาย เพราะเหตุนี้ พระศาสดาจึงได้ประทับยืนอยู่แล้ว. เขาตั้งการรักษารัตนะที่โปรยไว้รอบพระคันธกุฎี ได้ยินว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "ชนทั้งหลายผู้มีศรัทธา ประสงค์จะฟังธรรมก่อนจึงจักไปทีเดียว ส่วนผู้ไม่มีศรัทธาไปด้วยความโลภในทรัพย์ ฟังธรรมแล้ว ก็จักพ้นจากทุกข์ได้" เพราะเหตุนั้น เขาจึงให้บอกอย่างนั้น เพื่อต้องการจะสงเคราะห์ชน. มหาชนถือเอารัตนะทั้งหลายตามกำหนดที่เขาบอกแล้วนั่นแล. เมื่อรัตนะที่เขาโปรยลงไว้คราวเดียว หมดแล้ว เขาจึงให้โปรยลงเรื่อยๆ โดยถ่องแถวเพียงเข่าถึง ๓ ครั้ง. อนึ่ง เขาวางแก้วมณีอันหาค่ามิได้ประมาณเท่าผลแตงโม แทบบาทมูลของพระศาสดา. ได้ยินว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "ชื่อว่าความอิ่มจักไม่มีแก่ชนทั้งหลายผู้แลดูรัศมีแห่งแก้วมณี พร้อมด้วยพระรัศมีอันมีสีดุจทองคำ แต่พระสรีระของพระศาสดา" เพราะฉะนั้น เขาจึงได้ทำอย่างนั้น. แม้มหาชนก็แลดูไม่อิ่มเลย. พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิลักแก้วมณี แม้พราหมณ์นั้นวางมือไว้แทบบาทมูลคล้ายจะถวายบังคมพระศาสดา ถือเอาแก้วมณีซ่อนไว้ในเกลียวผ้า หลีกไปแล้ว. กุฎุมพีไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสในพราหมณ์นั้นได้. ในกาลจบธรรมกถา กุฎุมพีนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า รัตนะ ๗ ประการอันข้าพระองค์โปรยล้อมรอบพระคันธกุฎีสิ้น ๓ ครั้ง โดยถ่องแถวเพียงเข่า เมื่อชนทั้งหลายถือเอารัตนะเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าความอาฆาตมิได้มีแล้วแก่ข้าพระองค์ จิตยิ่งเลื่อมใสขึ้นเรื่อยๆ แต่วันนี้ ข้าพระองค์คิดว่า "โอหนอ! พราหมณ์นี้ ไม่ควรถือเอาแก้วมณี" เมื่อพราหมณ์นั้นถือเอาแก้วมณีไปแล้ว จึงไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสได้." พระศาสดาทรงสดับคำของกุฎุมพีนั้นแล้ว ตรัสว่า "อุบาสก ท่านไม่อาจเพื่อจะทำของมีอยู่ของตน ให้เป็นของอันชนเหล่าอื่นพึงนำไปไม่ได้ มิใช่หรือ?" ดังนี้แล้ว ได้ประทานนัยแล้ว. กุฎุมพีนั้นดำรงอยู่ในนัยที่พระศาสดาประทานแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ได้ทำการปรารถนาว่า "พระเจ้าข้า พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาแม้เส้นด้ายแห่งชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ จงอย่ามี นับแต่วันนี้เป็นต้นไป, แม้ไฟก็อย่าไหม้ของๆ ข้าพระองค์, แม้น้ำก็อย่าพัด." แม้พระศาสดาก็ได้ทรงทำอนุโมทนาแก่กุฎุมพีนั้นว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ." กุฎุมพีนั้น เมื่อทำการฉลองพระคันธกุฎี ถวายมหาทานแก่ภิกษุ ๖๘ แสน ในภายในวิหารนั่นแหละ ตลอด ๙ เดือน ในกาลเป็นที่สุด ได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุทุกรูป. ผ้าสาฎกสำหรับทำจีวรของภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ ได้มีค่าถึงพันหนึ่ง. อปราชิตกุฎุมพีเกิดเป็นโชติกเศรษฐี ก็ในวันที่กุฎุมพีนั้นเกิด สรรพอาวุธทั้งหลายในพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์แล้ว. แม้อาภรณ์ทั้งหลายที่สวมกาย๑- ของชนทั้งปวง เป็นราวกะว่ารุ่งโรจน์ เปล่งรัศมีออกแล้ว. พระนครได้รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน. แม้เศรษฐีก็ได้ไปสู่ที่บำรุงพระราชาแต่เช้าตรู่. ____________________________ ๑- กายารุฬฺหา อันขึ้นแล้วสู่กาย. ครั้งนั้น พระราชาตรัสถามเศรษฐีนั้นว่า "วันนี้ สรรพอาวุธทั้งหลายรุ่งโรจน์แล้ว, พระนครก็รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน ท่านรู้เหตุในเรื่องนี้ไหม?" เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทราบ. พระราชา. เหตุอะไร? เศรษฐี. เศรษฐี. ทาสของพระองค์เกิดในเรือนของข้าพระองค์, ความรุ่งโรจน์นั้นได้มีแล้วด้วยเดชแห่งบุญของเขานั่นแหละ. พระราชา. เขาจักเป็นโจรกระมัง? เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้อนั้นไม่มี, สัตว์มีบุญได้ทำอภินิหารไว้แล้ว. พระราชาทรงตั้งทรัพย์ค่าเลี้ยงดูวันละพัน ด้วยพระดำรัสว่า "ถ้ากระนั้น เธอเลี้ยงเขาไว้ให้ดีจึงจะควร นี้จงเป็นค่าน้ำนมสำหรับเขา." ครั้นในวันเป็นที่ตั้งชื่อ ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อของเขาว่า "โชติกะ" นั่นแหละ เพราะพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน. ต่อมา ในเวลาที่เขาเติบโตแล้ว เมื่อภาคพื้นอันเขาลงชำระอยู่ เพื่อ ท้าวสักกะเสด็จมานิรมิตสมบัติให้โชติกเศรษฐี เหล่าชน. พวกฉันจับจองที่ปลูกเรือน สำหรับโชติกะ. ท้าวสักกะตรัสว่า "พวกท่านจงหลีกไป, โชติกะนี้จักไม่อยู่ในเรือนที่พวกท่านปลูก" แล้วทอดพระ ครั้งนั้น ท้าวเธอทรงดำริว่า "ขอต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จงผุด ก็บรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งได้มี ____________________________ ๑- เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ ปรากฏโดยมาก :- ก็ประมาณนั่น ได้เป็นประมาณแห่งปากขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์. เบื้องล่างได้มีที่สุดแผ่นดิน, ประมาณขอบปากแห่งขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นแก่โชติกเศรษฐี ท่านมิได้กล่าวไว้. ขุมทรัพย์ทุกขุมเต็มเปี่ยมเทียวผุดขึ้น เหมือนผลตาลที่เขาฝานหัวฉะนั้น, ลำอ้อย ๔ ลำเป็นวิการแห่งทองคำ ประมาณเท่าต้นตาลรุ่นๆ เกิดขึ้นที่มุมปราสาททั้ง ๔. ลำอ้อยเหล่านั้นมีใบเป็นวิการแห่งแก้วมณี มีข้อเป็นวิการแห่งทองคำ. นับว่าสมบัตินั้นเกิดขึ้นแล้ว เพื่อแสดงบุรพกรรม (ของเขา). พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานฉัตรตั้งให้เป็นเศรษฐี ครั้งนั้น เทพดานำนางมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นแล้ว ให้นั่งในห้องอันเป็นสิริ. หญิงนั้นเมื่อมา ถือเอาทะนานข้าวสารทะนานหนึ่ง และแผ่นศิลาอันลุกโพลง ๓ แผ่น (มา), ภัตของชนทั้งสองนั้นได้มีแล้วด้วยทะนานข้าวสารนั้นนั่นเทียว ตลอดชีวิต. ดังได้สดับมา ถ้าชนเหล่านั้นเป็นผู้มีประสงค์จะยังแม้เกวียน ๑๐๐ เล่มให้เต็มด้วยข้าวสาร, มันก็คงปรากฏเป็นทะนานอันเต็มด้วยข้าวสารอยู่นั่นเอง. ในเวลาหุงภัต พวก เขาทั้งสองย่อมหุงต้มอาหารด้วยแผ่นศิลาอันลุกโพลงด้วยอาการอย่างนี้. ชนเหล่านั้นย่อมอยู่ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี ไม่รู้แสงสว่าง มหาชนต่างแตกตื่นมาชมสมบัติ โชติกเศรษฐีสั่งให้หุงภัตด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว ให้ๆ แก่ชนทั้งหลายผู้มาแล้วๆ สั่งว่า "ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้า จงถือเอาเครื่องประดับ จากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย" แล้วให้เปิดปากขุมทรัพย์ที่มีประมาณคาวุตหนึ่ง แล้วสั่งว่า "ชนทั้งหลายจงถือเอาทรัพย์พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้." เมื่อชนทั้งหลายผู้อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ถือเอาทรัพย์ไปอยู่ ปากแห่งขุมทรัพย์มิได้พร่องลงแล้ว แม้เพียงองคุลีเดียว. ได้ยินว่า นั่นเป็นผลแห่งรัตนะที่เขาโปรยลง ทำให้เป็นทรายในบริเวณพระคันธกุฎี. พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะชมปราสาท ในกาลต่อมา เมื่อพวกมนุษย์น้อยลง เพราะถือเอาวัตถาภรณ์และทรัพย์ตามความปรารถนาไปแล้ว พระราชาจึงตรัสกะบิดาของโชติกะว่า "ฉันมีความประสงค์จะชมปราสาทของบุตรของท่าน." บิดาของโชติกะนั้นกราบทูลว่า "ดีละ สมมติเทพ" แล้วไปบอกแก่บุตรว่า "พ่อ พระราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาทของเจ้า" เขาพูดว่า "ดีละ คุณพ่อ ขอพระองค์เสด็จมาเถิด." พระราชาได้เสด็จไปในที่นั้นพร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นอันมาก. ทาสีผู้ปัดกวาดเทหยากเยื่อที่ซุ้มประตูที่ ๑ ได้ถวายมือแด่พระราชา. พระราชาทรงละอายด้วยทรงสำคัญว่า "ภรรยาของเศรษฐี" จึงไม่ทรงวางพระหัตถ์ที่แขนของนาง. พระราชาทรงสำคัญทาสีแม้ที่ซุ้มประตูที่เหลือทั้งหลายว่า "ภรรยาของเศรษฐี" อย่างนั้น จึงไม่ทรงวางพระหัตถ์ที่แขนของทาสีเหล่านั้น. โชติกเศรษฐีมาต้อนรับพระราชาถวายบังคมแล้ว อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ กราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอเชิญเสด็จไปข้างหน้าเถิด" แผ่นดินที่ประดับด้วยแก้วมณี ย่อมปรากฏแก่พระราชา เป็นเหมือนเหวที่ลึกตั้ง ๑๐๐ ชั่วบุรุษ. ท้าวเธอทรงสำคัญว่า "โชติกะนี้ ขุดบ่อไว้เพื่อต้องการจับเรา" จึงไม่อาจเพื่อจะเสด็จพระ โชติกะกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ นี้มิใช่บ่อ ขอพระองค์จงเสด็จมาข้างหลังข้าพระองค์" แล้วได้เป็นผู้นำเสด็จ.๒- พระราชาทรงเหยียบพื้นในเวลาที่โชติกะนั้นเหยียบแล้ว เสด็จเที่ยวทอดพระเนตรปราสาทตั้งแต่พื้นชั้นล่าง. ____________________________ ๑- ปาทํ นิกฺขิปิตุํ เพื่ออันวางพระบาทลง. ๒- ปุรโต อโหสิ ได้มีข้างหน้า. พระเจ้าอชาตศัตรูทรงน้อยพระทัย เมื่อพระราชากำลังเสด็จขึ้นสู่พื้นปราสาทชั้นบนนั่นแหละ เป็นเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า. ท้าวเธอตรัสเรียกเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า "มหาเศรษฐี พวกเราจักบริโภคอาหารเช้าในที่นี้นี่แหละ." เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่ พระกระยาหารสำหรับสมมติเทพ ข้าพระองค์ตระเตรียมไว้แล้ว." ท้าวเธอทรงสรงสนานด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อ แล้วประทับนั่งบนบัลลังก์อันเป็นที่นั่งของเศรษฐีนั่นแหละ ที่เขาตกแต่งไว้ในมณฑป เป็นที่นั่งของเศรษฐี ซึ่งทำด้วยแก้ว. ____________________________ ๑- อิมสฺส อิมสฺมึ ปาสาเท วสิตุํ น ทสฺสามิ เราจักไม่ให้อยู่ในปราสาทนี้ แก่คฤหบดีนี้. พระราชาประทับเสวยในบ้านโชติกเศรษฐี เศรษฐีกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ นี้ไม่ใช่ภาชนะ นี้เป็นข้าวปายาสเปียก. พวกบุรุษคดโภชนะใส่ในภาชนะทองคำใบอื่น แล้ววางไว้บนถาดเดิม." ได้ยินว่า การบริโภคภาชนะนั้นด้วยไออุ่นที่พลุ่งขึ้นจากภาชนะข้าวปายาสเปียกนั้น ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความสบาย. พระราชา เมื่อเสวยโภชนะที่มีรสอร่อย ก็มิได้ทรงรู้ประมาณ. ลำดับนั้น เศรษฐีถวายบังคมท้าวเธอแล้ว ประคองอัญชลีกราบทูลว่า "พอที พระเจ้าข้า, เพียงเท่านี้ก็พอ พระองค์ไม่ทรงสามารถเพื่อจะให้โภชนะที่ยิ่งกว่านี้ไป ให้ย่อยได้." ทีนั้น พระราชาตรัสกะเขาว่า "คฤหบดี เธอทำความหนักใจหรือ จึงพูดถึงภัตของตน?" เศรษฐี. "ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า, เพราะภัตเพื่อหมู่พลของพระองค์แม้ทั้งหมด ก็อันนี้แหละ, แกงก็อันนี้ ก็แต่ว่าข้าพระองค์กลัวต่อความเสื่อมยศ." พระราชา. เพราะเหตุไร? เศรษฐี. ถ้าว่า เหตุสักว่าความอึดอัดแห่งพระกาย จะพึงมีแก่สมมติเทพเจ้าไซร้, ข้าพระองค์ย่อมกลัวต่อคำว่า วานนี้ พระราชาเสวย (ภัต) ในเรือนของเศรษฐี. เศรษฐีคงจักทำอะไร (ถวายเป็นแน่) พระเจ้าข้า. พระราชา. ถ้าอย่างนั้น ท่านจงนำภัตไป จงนำน้ำมา. ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระราชา ราชบริพารทั้งหมดก็บริโภคภัตนั้นนั่นแหละ. พระราชาทรงสนทนากับเศรษฐี เศรษฐี. มี พระเจ้าข้า. พระราชา. นางอยู่ที่ไหน? เศรษฐีกราบทูลว่า นางนั่งอยู่ในห้องอันมีสิริ ยังไม่ทราบเกล้าว่า สมมติเทพเสด็จมา. ก็พระราชาพร้อมด้วยราชบริพาร เสด็จมาแล้วแต่เช้าตรู่ก็จริง, ถึงอย่างนั้น นางก็ยังไม่รู้ว่าท้าวเธอเสด็จมา. ลำดับนั้น เศรษฐีรู้ว่า "พระราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตรภริยาของเรา" จึงไปสู่สำนักของนางแล้ว บอกว่า "พระราชาเสด็จมาแล้ว, การที่หล่อนเฝ้าพระราชา ไม่ควรหรือ?" ภรรยาเศรษฐีน้อยใจที่ยังมีผู้ใหญ่กว่าตน สามี. หล่อนจงถือเอาพัดก้านตาลมาพัดถวายพระราชา. เมื่อนางถือพัดก้านตาลมาพัดถวายพระราชาอยู่ ลม (มี) กลิ่นแห่งพระภูษาสำหรับโพกของพระราชา กระทบนัยน์ตาของนางแล้ว. ภรรยาเศรษฐีน้ำตาไหล เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ นางมิได้ร้องไห้. พระราชา. เมื่อเป็นเช่นนั้น นั่นอะไรกันเล่า? เศรษฐี. น้ำตาของนางไหลออกมาแล้ว เพราะกลิ่นแห่งพระภูษาสำหรับโพกของพระองค์ ด้วยว่าภรรยาของข้าพระองค์นี้ ไม่เคยเห็นแสงสว่างของประทีปหรือแสงสว่างของไฟ ย่อมบริโภคนั่งและนอนด้วยแสงสว่างของแก้วมณีเท่านั้น ส่วนสมมติเทพคงจักประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งประทีป. พระราชา. ถูกละ เศรษฐี. เศรษฐีกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าเช่นนั้น จำเดิมแต่วันนี้ ขอพระองค์จงประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี" แล้วได้ถวายแก้วมณีอันหาค่ามิได้ ใหญ่ประมาณเท่าผลแตงโม. พระราชาทอดพระเนตรเรือนแล้ว ตรัสว่า "สมบัติของโชติกะมากจริง" แล้วได้เสด็จไป. นี้เป็นเรื่องเกิดของพระโชติกเถระก่อน๑- ____________________________ ๑- เบื้องหน้าแต่นี้ เรื่องพระชฏิลเถระ พึงเป็นเรื่องอันท่านเรียงไว้ในภายหลัง. เด็กชฎิละถูกมารดาเอาลอยน้ำ ความพิสดารว่า ในกรุงพาราณสี ได้มีธิดาของเศรษฐีคนหนึ่งเป็นผู้มีรูปสวย. มารดาบิดาให้หญิงคน วันหนึ่ง วิทยาธรตนหนึ่งกำลังเหาะไปทางอากาศ เห็นนางกำลังเปิดหน้าต่าง แลดูภายนอกอยู่ เกิดความสิเนหา จึงเข้าไปทางหน้าต่างแล้ว ได้ทำความเชยชิดกับนาง. นางอาศัยการอยู่ร่วม (หลับนอน) กับวิทยาธรนั้น ตั้งครรภ์แล้ว ต่อกาลไม่นานเลย. ลำดับนั้น หญิงคนใช้นั้นเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า "คุณนาย นี่อะไรกัน? อันนางบอกว่า "ข้อนั้นจงยกไว้ เจ้าอย่าบอกแก่ใครๆ" จึงได้เป็นผู้นิ่งเสียเพราะกลัว. โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน แม้นางคลอดบุตรแล้ว ให้หญิงคนใช้นำภาชนะใหม่มา ให้เด็กนั้นนอนในภาชนะนั้นแล้ว ปิดภาชนะนั้นเสีย วางพวงดอกไม้ไว้ข้างบน สั่งหญิงคนใช้ว่า "เจ้าจงเอาศีรษะเทินภาชนะนี้ไปลอยเสียในแม่น้ำคงคา ถ้าถูกใครๆ ถามว่า นี้อะไร? เจ้าพึงบอกว่า พลีกรรมของคุณนายของฉัน" หญิงคนใช้นั้นได้ทำอย่างนั้น. หญิง ๒ คนเถียงกันเพราะเด็กชฎิละ หญิงทั้งสองนั้นเถียงกัน ไปสู่ศาลวินิจฉัยแล้ว แจ้งเนื้อความนั้น เมื่อพวกอำมาตย์ไม่สามารถจะวินิจฉัยได้ จึงได้ไปสู่สำนักพระราชา. พระราชาทรงสดับคำของหญิงทั้งสองนั้น จึงตรัสว่า "เจ้าจงเอาเด็ก เจ้าจงเอาภาชนะ." ก็หญิงผู้ที่ได้เด็ก ได้เป็นอุปัฏฐายิกาของพระมหากัจจายนเถระ เพราะเหตุนั้น หญิงนั้นจึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ ด้วยคิดว่า "จักให้เด็กนี้บวชในสำนักของพระเถระ." เหตุที่เด็กนั้นได้รับตั้งชื่อว่าชฎิละ ในเวลาที่เขาเดินได้ พระเถระเข้าไปสู่เรือนนั้นเพื่อบิณฑบาต. อุบาสิกานิมนต์พระเถระให้นั่งแล้ว ได้ถวายอาหาร. พระเถระเห็นเด็ก จึงถามว่า "อุบาสิกา ท่านได้เด็กหรือ?" อุบาสิกาเรียนว่า "ได้ เจ้าค่ะ, ดิฉันเลี้ยงเด็กนี้ไว้ด้วยหวังว่า จักให้บวชในสำนักของท่าน ขอท่านจงให้เขาบวช" ดังนี้แล้ว ได้ถวายแล้ว. พระมหากัจจายนะรับเด็กไปมอบให้อุปัฏฐาก พระเถระตอบว่า "เออ อุบาสก เขาจักบวช แต่ยังเป็นเด็กเล็กนัก จง อุบาสกนั้นรับว่า "ดีละ ขอรับ" แล้วตั้งเด็กไว้ในฐานะเพียงดังบุตรบำรุงแล้ว. ก็สินค้าในเรือนของอุบาสกนั้น เป็นของที่สั่งสมไว้แล้วสิ้น ๑๒ ปี. เขาไปสู่ระหว่างแห่งบ้าน นำเอาสินค้าแม้ทั้งหมดไปสู่ตลาด ให้เด็กนั่งในตลาดแล้ว บอกราคาแห่งสินค้านั้นๆ แล้วกล่าวว่า "เจ้าพึงถือเอาทรัพย์ชื่อมีประมาณเท่านี้ แล้วจึงให้สิ่งนี้และสิ่งนี้" ดังนี้แล้วหลีกไป. เทพดาช่วยให้เด็กขายของได้หมด เด็กตอบว่า "ฉันไม่ได้ให้สินค้าฉิบหาย ฉันขายสินค้าทั้งหมดตาม เมื่อเรือนสำเร็จแล้ว จึงบอกว่า "พวกเจ้าจงไป จงอยู่ในเรือนของตน." ชฎิลกุมารได้เป็นเศรษฐีเพราะภูเขาทองผุดใกล้เรือน พระราชาพอสดับว่า "ข่าวว่า ภูเขาทองชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นใกล้เรือนของชฎิลกุมาร" จึงทรงส่งฉัตรสำหรับเศรษฐีไปประทานแก่เขา. เขาได้เป็นผู้มีชื่อว่า ชฎิลเศรษฐี. เขาได้บุตร ๓ คน. ชฎิลเศรษฐีให้บุรุษเที่ยวสืบหาเศรษฐีที่เสมอกับตน "ถ้าตระกูลเศรษฐีที่มีโภคะเสมอด้วยเราทั้งหลายจักมีไซร้ บุตรทั้งหลายก็จักให้บวชได้, ถ้าไม่มีไซร้ บุตรทั้งหลายก็จักไม่ให้, ในชมพูทวีป ตระกูลที่มีโภคะเสมอด้วยเราทั้งหลาย มีอยู่หรือหนอ" จึงให้ช่างทำอิฐที่สำเร็จด้วยทองคำ ด้ามปฏักที่สำเร็จด้วยทองคำ และเขียงเท้าที่สำเร็จด้วยทองคำ เพื่อต้องการจะทดลองดู ให้ในมือของบุรุษทั้งหลายแล้ว ส่งไปว่า "พวกเจ้าจงไป จงถืออิฐที่สำเร็จด้วยทองคำเป็นต้นเหล่านี้ ทำเป็นเหมือนแลดูอะไรๆ นั่นเทียว เที่ยวไปในพื้นชมพูทวีป รู้ความที่ตระกูลแห่งเศรษฐีที่มีโภคะเสมอด้วยเรามีอยู่หรือไม่มีแล้ว จงมา." บุรุษเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปถึงภัททิยนคร. พวกบุรุษพบเมณฑกเศรษฐี บุรุษเหล่านั้นเห็นแพะทองคำทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้วในหนหลัง มีขนาดเท่าช้าง ม้า และโคอุสุภะ ซึ่งเอาหลังจดหลัง ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นแล้วในที่ประมาณ ๘ กรีส ที่หลังเรือนนั้นแล้ว เที่ยวไปในระหว่างๆ แพะเหล่านั้นแล้วออกไป. ลำดับนั้น เศรษฐีถามบุรุษเหล่านั้นว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านเที่ยวไปตรวจดูผู้ใด, ผู้นั้น พวกท่านเห็นแล้วหรือ?" เมื่อพวกเขากล่าวว่า "เห็น นาย" จึงส่งไปแล้วด้วยพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงไป." บุรุษเหล่านั้นไปจากที่นั้นนั่นแหละแล้ว เมื่อเศรษฐีของตนพูดว่า "พ่อทั้งหลาย ตระกูลเศรษฐีที่มีโภคะเสมอเราทั้งหลาย พวกเจ้าเห็นแล้วหรือ?" บอกว่า "นาย ท่านจะมีอะไร? สมบัติชื่อเห็นปานนี้ของเมณฑกเศรษฐีมีอยู่ ในภัททิยนคร" แล้วบอกเรื่องราวนั้นทั้งหมด. ชฎิลเศรษฐีให้สืบเสาะเป็นครั้งที่ ๒ ก็ในเวลาพวกชนถามว่า "นี้อะไรกัน?" ก็บอกว่า "เมื่อพวกฉันจะขายผ้ากัมพลซึ่งมีค่ามากผืนหนึ่ง ผู้ซื้อไม่มี พวกฉันแม้จะถือเที่ยวไปอยู่ ก็กลัวโจร เพราะเหตุนั้น พวกฉันจักเผามันเสีย แล้วจึงจักไป." พวกบุรุษพบโชติกเศรษฐี ทาสีนั้นรับเอาผ้ากัมพลแล้วร้องไห้ ไปสู่สำนักของนาย บอกว่า "นาย เมื่อความ โชติกเศรษฐี. ฉันมิได้ส่งไปให้เจ้าเพื่อประโยชน์แก่การนุ่งหรือการห่มนั่น แต่ส่งผ้ากัมพลผืนนั้นไปให้เจ้า เพื่อต้องการจะให้พับเข้าแล้ววางไว้ใกล้ที่นอนของเจ้า ในเวลาจะนอน เช็ดเท้าที่ล้างแล้วด้วยน้ำหอม (ต่างหาก) เจ้าไม่อาจทำกิจแม้นั่นได้หรือ? ทาสีนั้นกล่าวว่า "ถ้ากระนั้น ดิฉันอาจเพื่อจะทำกิจนั่นได้" จึงได้รับเอาไปแล้ว. ฝ่ายบุรุษเหล่านั้นเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงไปสู่สำนักเศรษฐีของ เศรษฐีฟังคำของบุรุษเหล่านั้นแล้วมีใจยินดี คิดว่า "บัดนี้ เราจักได้บวช" จึงไปสู่สำนักของพระราชา กราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์มีประสงค์จะบวช." พระราชาตรัสว่า "ดีละ มหาเศรษฐี ท่านจงบวชเถิด." เศรษฐีนั้นไปสู่เรือนแล้ว ให้เรียกบุตรทั้งหลายมาแล้ว วางจอบมีด้าม เศรษฐีรับจอบจากมือของลูกชายคนใหญ่นั้น ส่งให้ในมือของลูกชายคนกลาง. แม้ลูกชายคนกลางแม้นั้น สับภูเขาทองอยู่ เวลาเขาสับนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่เขาสับหินดาดฉะนั้น. ลำดับนั้น เศรษฐีจึงส่งจอบนั้นให้ในมือของลูกชายคนเล็ก. เมื่อลูกชายคนเล็กนั้น รับเอาจอบนั้นฟันอยู่ เวลาที่เขาฟันนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่เขาสับดินเหนียวที่เขาทำให้เป็นกองไว้ฉะนั้น. ลำดับนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะลูกชายคนเล็กนั้นว่า "มาเถิดพ่อ พอละ ด้วยทรัพย์ประมาณเท่านี้" แล้วให้เรียกพี่ชาย ๒ คนนอกนี้มาแล้ว บอกว่า "ภูเขาทองลูกนี้ ไม่ใช่เกิดเพื่อพวกเจ้า เกิดขึ้นเพื่อพ่อและลูกชายคนเล็ก พวกเจ้าจงใช้สอยรวมกันกับลูกชายคนเล็กนี้เถิด." ถามว่า " ก็เพราะเหตุไร ภูเขาทองนั้นจึงเกิดเพื่อบิดาและลูกชายคนเล็กเท่านั้น? เพราะเหตุไร ชฎิลเศรษฐีจึงถูกโยนลงไปในน้ำในเวลาเกิดแล้ว?" แก้ว่า เพราะกรรมที่ตนทำแล้วนั่นเอง. บุรพกรรมของชฎิลเศรษฐี พระขีณาสพองค์หนึ่งไปสู่เจติยสถาน แลดูแล้วถามว่า "พ่อทั้งหลาย เพราะเหตุไร มุขทางทิศอุดรแห่งเจดีย์ จึงยังไม่ก่อขึ้น?" มหาชน. ทองยังไม่พอ. พระขีณาสพ. ฉันจักเข้าไปสู่ภายในบ้านแล้วชักชวน, พวกท่านจงทำกรรมโดยเอื้อเฟื้อเถิด. ท่านกล่าวอย่างนั้นแล้วเข้าไปสู่พระนคร ชักชวนมหาชนว่า "แม่และพ่อทั้งหลาย ทองที่หน้ามุขข้างหนึ่งแห่งพระเจดีย์ของพวกเรา ยังไม่พอ พวกท่านจงรู้ทองเถิด" ได้ไปสู่ตระกูลแห่งนายช่างทองแล้ว. ฝ่ายนายช่างทองกำลังนั่งทะเลาะกับภรรยาอยู่ ในขณะนั้นเอง. ครั้งนั้น พระเถระกล่าวกะเขาว่า "ทองสำหรับหน้ามุขที่พระเจดีย์ อันท่านทั้งหลายรับไว้ยังไม่พอ, การที่ท่านรู้ทองนั้นย่อมควร. เขากล่าวด้วยความโกรธต่อภรรยาว่า "ท่านจงโยนพระศาสดาของท่านลงในน้ำแล้วไปเสีย". ลำดับนั้น นางจึงกล่าวกะเขาว่า "ท่านทำกรรมอย่างสาหัสยิ่ง ท่านโกรธดิฉัน ควรจะด่าหรือควรจะเฆี่ยนดิฉันเท่านั้น, เหตุไฉน ท่านจึงทำเวรในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบันเล่า?" ทันใดนั้นเอง นายช่างทองเป็นผู้ถึงความสลดใจแล้ว กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงอดโทษแก่กระผม" แล้วหมอบลงแทบเท้าของพระเถระ. พระเถระ. โยม ฉันหาถูกท่านว่ากล่าวอะไรๆ ไม่ ท่านจงยังพระศาสดาให้อดโทษเถิด. นายช่างทอง. ท่านเจ้าข้า กระผมจะทำอย่างไรเล่า จึงจะให้พระศาสดาอดโทษได้? พระเถระ. ท่านจงทำหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ หม้อ บรรจุเข้าไว้ภายในที่บรรจุพระธาตุแล้ว เป็นผู้มีผ้าชุ่ม มีผมชุ่ม ยังพระศาสดาให้อดโทษเถิด โยม. เขารับว่า "ดีละ ขอรับ" แล้วเมื่อจะทำดอกไม้ทองคำ ให้เรียกบุตรชายคนใหญ่ในบุตร ๓ คนมาแล้ว กล่าวว่า "มานี่แน่ะ พ่อ, พ่อได้กล่าวกะพระศาสดาด้วยคำเป็นเวร เพราะฉะนั้น พ่อจักทำดอกไม้เหล่านี้ บรรจุในที่บรรจุพระธาตุ ให้พระศาสดาอดโทษ, แม้เจ้าแล ก็จงเป็นสหายของเรา." ลูกชายคนใหญ่นั้นบอกว่า "พ่ออันฉันใช้ให้กล่าวคำเป็นเวร หามิได้ พ่อทำแต่ลำพังเถิด" แล้วไม่ปรารถนาจะทำ. ช่างทองให้เรียกลูกชายคนกลางมาแล้ว กล่าวเหมือนอย่างนั้น. แม้ลูกชายคนกลางนั้น ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้น แล้วไม่ปรารถนาจะทำ. เขาจึงให้เรียกลูกชายคนเล็กมาแล้ว ก็กล่าว (เหมือนอย่างนั้น). ลูกชายคนเล็กนั้นคิดว่า "ธรรมดาว่ากิจที่เกิดขึ้นแก่บิดา ย่อมเป็นภาระของบุตร" จึงเป็นสหายของบิดา ได้ทำดอกไม้ทั้งหลายแล้ว. นายช่างทองยังหม้อดอกไม้ขนาดคืบหนึ่ง ๓ หม้อ ให้สำเร็จแล้วบรรจุในที่บรรจุพระธาตุ มีผ้าชุ่ม มีผมชุ่ม ยังพระศาสดาให้อดโทษแล้ว. เขาได้ถูกโยนลงไปในน้ำในเวลาเกิดถึง ๗ ครั้ง ด้วยประการฉะนี้. ก็อัตภาพของเขาที่ตั้งอยู่แล้วในที่สุดนี้ แม้ในบัดนี้ ก็ถูกโยนลงไปในน้ำ เพราะผลของกรรมนั้นเหมือนกัน. ส่วนบุตรของเขาสองคนใด ไม่ปรารถนาจะเป็นสหายในเวลาทำดอกไม้ทองคำ เพราะเหตุนั้น ภูเขาทองจึงไม่เกิดสำหรับบุตรทั้งสองนั้น แต่เกิดสำหรับลูกชายคนเล็ก เพราะความที่เขาทำดอกไม้ทองคำร่วมกัน (กับบิดา). ชฎิลเศรษฐีออกบวชได้บรรลุพระอรหัต โดยสมัยอื่น พระศาสดาเสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้เสด็จไปสู่ประตูเรือนของบุตรทั้งหลายของเศรษฐีนั้น. บุตรเหล่านั้นได้ถวาย ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "ชฎิลผู้มีอายุ แม้ในวันนี้ ความ พระชฎิล. ผู้มีอายุ ตัณหาหรือมานะในภูเขาทองและบุตรเหล่านั้นของผม ย่อมไม่มี. ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า "พระชฎิลเถระนี้ พูดไม่จริง พยากรณ์ พระศาสดาทรงสดับคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาหรือมานะในภูเขาทองและบุตรเหล่านั้นของบุตรของเรา ย่อมไม่มี" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ ผู้ใดละตัณหาอันเป็นไปในทวาร ๖ ในโลกนี้เสียได้ เป็นผู้ไม่มีความต้องการอยู่ครองเรือน ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีเรือน เว้นเสียได้ เราเรียกผู้ชื่อว่ามีตัณหาและภพอันสิ้นแล้ว เพราะความที่ตัณหาและภพเป็นของสิ้นแล้วนั้น ว่าเป็นพรามหณ์. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แล. พระเจ้าอชาตศัตรูจะยึดเอาบ้านเศรษฐี ในวันนั้น แม้เศรษฐีเป็นผู้รักษาอุโบสถ บริโภคอาหารเช้าแต่เช้าตรู่ ไปสู่วิหาร นั่งฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระศาสดา. ส่วนยักษ์ชื่อยมโมลี ผู้ยึดการรักษายืนอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๑ เห็น ครั้งนั้น เศรษฐีพอเห็นท้าวเธอ จึงทูลว่า "เรื่องอะไรกัน? พระเจ้าข้า" ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ ยืนอยู่แล้ว. พระราชา. คฤหบดี ท่านบังคับพวกบุรุษของท่านว่า "จงรบกับเรา" แล้วมาในที่นี้ นั่งทำเป็นเหมือนฟังธรรมอยู่หรือ? เศรษฐี. ก็สมมติเทพ เสด็จไปเพื่อยึดเอาเรือนของข้าพระองค์ มิใช่หรือ? พระราชา. เออ เราไป. เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพัน ก็ไม่สามารถเพื่อจะยึดเอาเรือนของข้าพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา. พระราชาทรงถอดแหวนไม่ออก เศรษฐี. ข้าพระองค์ไม่เป็นพระราชา แต่พระราชาหรือโจรไม่สามารถจะถือเอาแม้เส้นด้ายที่ชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา. พระราชา. ก็ฉันจักถือเอาตามความพอใจของท่านได้ อย่างไร? เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น แหวน ๒๐ วงเหล่านี้ ที่นิ้วมือทั้ง ๑๐ ของข้าพระองค์มีอยู่, ข้าพระองค์ไม่ถวายแหวนเหล่านี้แก่พระองค์ ถ้าพระองค์ทรงสามารถไซร้ ขอพระองค์จงทรงถือเอาเถิด. ก็พระราชานั้นประทับนั่งกระโหย่งบนพื้น เมื่อจะทรงกระโดด ย่อม เศรษฐีสลดใจใคร่จะบวช ลำดับนั้น เศรษฐีกราบทูลท้าวเธอว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ใครๆ ไม่สามารถเพื่อจะถือเอาทรัพย์สมบัติอันเป็นของข้าพระองค์ด้วยอาการอย่างนั้นได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา" ดังนี้แล้ว เกิดสลดใจเพราะพระกิริยาของพระราชา จึงกราบทูลว่า "ข้า ท้าวเธอทรงดำริว่า "เมื่อเศรษฐีนี้บวชแล้ว เราจักยึดเอาปราสาทได้สะดวก" จึงตรัสว่า "จงบวชเถิด" ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น. เศรษฐีนั้นบวชในสำนักพระศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีชื่อว่าพระโชติกเถระ. ในขณะที่ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล สมบัตินั้นแม้ทั้งหมดก็อันตรธานไป. พวกเทพดาก็นำภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อสตุลกายา แม้นั้นไปสู่อุตตรกุรุทวีปนั่นแล. พวกภิกษุเข้าใจว่าพระเถระอวดอุตริมนุสธรรม พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นเลย" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :- ผู้ใด ละตัณหาได้แล้ว ในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีเรือน เว้นเสียได้, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและภพอันสิ้นแล้ว ว่า เป็นพราหมณ์. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องพระโชติกเถระ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที่ ๒๖ |