ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 302อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 303อ่านอรรถกถา 25 / 305อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค
ปราภวสูตร

               อรรถกถาปราภวสูตร               
               ปราภวสูตรเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้ :-
               มีอุบัติอย่างไร?
               ได้ยินว่า เทวดาทั้งหลายฟังมงคลสูตรแล้ว ได้มีปริวิตกนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความเจริญและความสวัสดีแก่สัตว์ทั้งหลายในมงคลสูตร ตรัสแต่ความเจริญโดยส่วนเดียวเท่านั้น ไม่ตรัสความเสื่อมเลย เอาเถิด บัดนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมเสื่อม ย่อมพินาศ ด้วยเหตุแห่งความเสื่อมใด พวกเราจะทูลถามถึงเหตุแห่งความเสื่อมนั้นของสัตว์เหล่านั้น.
               ลำดับนั้น ในวันที่ ๒ แต่วันที่ตรัสมงคลสูตร เทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ประสงค์จะฟังพระสูตรว่าด้วยความเสื่อม ประชุมกันในจักรวาลหนึ่งนี้ จึงนิรมิตอัตภาพละเอียด ๑๐ อัตภาพบ้าง ๒๐ อัตภาพบ้าง ๓๐ อัตภาพบ้าง ๔๐ อัตภาพบ้าง ๕๐ อัตภาพบ้าง ๖๐ อัตภาพบ้าง ๗๐ อัตภาพบ้าง ๘๐ อัตภาพบ้างในโอกาสที่สุดแห่งปลายขนทรายหนึ่ง ได้ยืนแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่ปูแล้ว รุ่งโรจน์ข่มทับเทวดา มาร และพรหมทั้งปวงด้วยสิริและเดช.
               แต่นั้น เทวบุตรองค์หนึ่งถูกท้าวสักกะจอมเทวินทร์ตรัสสั่งแล้ว ทูลถามปัญหาเกี่ยวกับความเสื่อมกะพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสูตรนี้ ด้วยอำนาจแห่งการถาม
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น ท่านพระอานนท์กล่าว.
               คาถาในลำดับหนึ่ง โดยนัยมีอาทิว่า ปราภวนฺตํ ปุริสํ เทวบุตรกล่าว.
               คาถาในลำดับหนึ่งอีก โดยนัยมีอาทิว่า สุวิชาโน ภวํ โหติ และคาถาสุดท้าย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส.
               คำนี้นั้นแม้ทั้งหมดประมวลเข้ากันแล้ว เรียกว่า ปราภวสูตร.
               บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น คำใดจะพึงกล่าว คำนั้นทั้งหมดข้าพเจ้าจักกล่าวไว้ในมงคลสุตตวัณณนา. ส่วนในบทมีอาทิว่า ปราภวนฺตํ ปุริสํ ได้แก่ ผู้เสื่อม ผู้เสื่อมเสีย ผู้พินาศ. บทว่า ปุริสํ ได้แก่ สัตว์ คือผู้เกิดคนใดคนหนึ่ง.
               บทว่า มยํ ปุจฺฉาม โคตมํ ความว่า เทวบุตรนั้นแสดงตน พร้อมกับเทวดาที่เหลือทั้งหลาย ทูลร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยพระโคตร.
               บทว่า ภควนฺตํ ปุฏฺฐุมาคมฺม ความว่า ก็ข้าพระองค์มาจากจักรวาลนั้นๆ ด้วยหวังว่า จักทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า. เทวบุตรแสดงความเอื้อเฟื้อด้วยบทนี้.
               บทว่า กึ ปราภวโต มุขํ ความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายที่มาแล้วอย่างนี้ว่า อะไรเป็นทาง คือเป็นประตู เป็นกำเนิด เป็นเหตุของคนเสื่อมซึ่งพวกข้าพระองค์พึงรู้คนเสื่อม. เทวบุตรทูลถามเหตุแห่งความเสื่อมของคนเสื่อม ที่กล่าวไว้ในบทนี้ว่า ปราภวนฺตํ ปุริสํ ด้วยบทนี้. เพราะเมื่อรู้เหตุแห่งความเสื่อมแล้วก็อาจรู้คนเสื่อมบางคนได้ ด้วยเหตุสามัญนั้น.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงปฏิปักษ์เพื่อทรงกระทำให้ปรากฏด้วยดีแก่เทวบุตรนั้น เมื่อจะทรงแสดงทางแห่งความเสื่อมด้วยเทศนามีบุคลาธิษฐาน จึงตรัสว่า สุวิชาโน ภวํ.
               คาถานั้นมีเนื้อความว่า
               คนนี้ใดเจริญคือวัฒนาไม่เสื่อม คนนั้นเป็นผู้รู้ได้ง่าย คืออาจเพื่อทราบชัดโดยง่ายคือโดยไม่ยาก. ส่วนคนนี้ใดเป็นผู้เสื่อม เพราะอรรถว่าย่อมเสื่อม คือย่อมเสียหาย คือย่อมพินาศ ซึ่งพวกท่านถามทางแห่งความเสื่อมของคนเสื่อมนั้นกะเรา คนแม้นั้นก็รู้ได้ง่าย.
               อย่างไร?
               ก็คนนี้ใคร่ธรรม เป็นผู้เจริญ คือย่อมใคร่ กระหยิ่ม ปรารถนาฟัง ปฏิบัติซึ่งธรรมคือกุศลกรรมบถสิบ คนนั้นชื่อว่าเป็นผู้รู้ได้ง่าย เพราะเห็นและฟังปฏิบัตินั้นแล้วพึงรู้ได้ ผู้เกลียดธรรมแม้นอกนี้ เป็นผู้เสื่อม ย่อมเกลียด คือย่อมไม่กระหยิ่ม ไม่ปรารถนา ไม่ฟัง ไม่ปฏิบัติธรรมนั้นนั่นเทียว ผู้เกลียดธรรมนั้น ชื่อว่าเป็นผู้รู้ได้ง่าย เพราะเห็นและฟังการปฏิบัติผิดนั่นแล้ว พึงรู้ได้
               ในคาถานี้ ผู้ศึกษาพึงทราบอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงปฏิปักษ์ ก็ทรงแสดงความเป็นผู้ใคร่ธรรม โดยอรรถ แสดงทาง โดยความเจริญแล้ว ทรงแสดงความเป็นผู้เกลียดธรรม เป็นทางแห่งความเสื่อม.
               ลำดับนั้น เทวดานั้นเพลิดเพลินยิ่งซึ่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลว่า อิติ เหตํ.
               เนื้อความแห่งคำนั้นว่า
               เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบชัด คือจงถือ จงทรงไว้ ซึ่งข้อนี้โดยประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนั้นแลว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๑ คือความเสื่อมนั้นมีความเกลียดธรรมเป็นลักษณะเป็นที่ ๑.
               มีอธิบายว่า พวกเราเป็นผู้มาแล้วเพื่อทราบชัดซึ่งทางแห่งความเสื่อมเหล่าใด ในทางแห่งความเสื่อมเหล่านั้น นี้เป็นทางแห่งความเสื่อมหนึ่งก่อน.
               ก็ในคำนั้นมีวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเสื่อมด้วยเหตุนั้น เพราะฉะนั้น เหตุนั้นจึงชื่อว่า ปราภโว แปลว่า ความเสื่อม.
               ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมเสื่อม เพราะอะไร ก็เพราะเหตุอันเป็นทางคือเป็นการณ์แห่งความเสื่อม ด้วยว่า ความต่างกันในข้อนี้มีเพียงพยัญชนะเท่านั้น แต่โดยอรรถคำว่า ความเสื่อม หรือว่าทางแห่งความเสื่อม ไม่มีความต่างกันเลย.
               เทพบุตรคิดว่า เราเพลิดเพลินว่า เราทราบชัดทางของคนเสื่อมนั่นอย่างนี้แล้ว ประสงค์จะรู้ข้ออื่นจากนั้น จึงทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๒ อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ดังนี้.
               ก็นักศึกษาพึงทราบเนื้อความแม้ในบทที่ ๓ ที่ ๔ อื่นจากนี้เป็นต้น โดยนัยนี้นั่นแล และพึงทราบเนื้อความแม้ในฝ่ายพยากรณ์ว่า สัตว์เหล่านั้นๆ ประกอบพร้อมแล้วด้วยทางแห่งความเสื่อมเหล่านั้นๆ สัตว์หนึ่งไม่รวมกับสัตว์ทั้งปวง และสัตว์ทั้งปวงก็ไม่รวมกับสัตว์ผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงทรงพยากรณ์ถึงทางแห่งความเสื่อมทั้งหลายมีอย่างต่างกัน ด้วยเทศนามีบุคลาธิษฐานเท่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า คนมีอสัตบุรุษเป็นที่รัก ดังนี้ เพื่อทรงแสดงทางแห่งความเสื่อมนั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้น ในคาถานั้นมีอรรถวัณณนาโดยย่อ ดังนี้ :-
               ศาสดาทั้งหก ก็หรือบุคคลแม้เหล่าอื่นผู้ประกอบพร้อมด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมอันไม่สงบ ชื่อว่า อสัตบุรุษ. อสัตบุรุษเหล่านั้นเป็นที่รักของคนนั้น ดุจอเจลกโกรักขัตติยะเป็นต้นเป็นที่รักของคนทั้งหลายมีเจ้าสุนักขัตตะเป็นต้น.
               พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวก ก็หรือบุคคลแม้เหล่าอื่นผู้ประกอบแล้วด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันสงบแล้ว ชื่อว่าสัตบุรุษ ไม่กระทำสัตบุรุษเหล่านั้นให้เป็นที่รัก. อธิบายว่า ไม่กระทำสัตบุรุษเหล่านั้น ให้เป็นที่รัก คือเป็นที่ปรารถนา เป็นที่ใคร่ เป็นที่พอใจของตน.
               ก็ความต่างกันแห่งถ้อยคำในคาถานี้ พึงทราบว่า ทรงกระทำแล้วด้วยอำนาจแห่งเวไนยสัตว์. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ไม่กระทำสัตบุรุษทั้งหลาย คือไม่เสพสัตบุรุษทั้งหลายด้วยประการฉะนี้ เหมือนอย่างท่านผู้รู้ศัพท์ทั้งหลายพรรณนาว่า กระทำพระราชาให้เป็นที่รักในอรรถนี้ว่า ย่อมเสพพระราชา.
               บทว่า ปิยํ ความว่า รัก ดีใจ ปราโมทย์.
               ทิฏฐิ ๖๒ หรืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่าธรรมของอสัตบุรุษ ย่อมชอบใจ ย่อมกระหยิ่ม ย่อมปรารถนา ย่อมเสพธรรมของอสัตบุรุษนั้น.
               ฐานะ ๓ อย่าง คือ
                         ความเป็นผู้มีอสัตบุรุษเป็นที่รัก ๑
                         ความเป็นผู้มีสัตบุรุษไม่เป็นที่รัก ๑
                         ความชอบใจธรรมของอสัตบุรุษ ๑
               ตรัสว่าเป็นทางแห่งความเสื่อมด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้.
               ก็คนประกอบพร้อมด้วยฐานะ ๓ อย่างนั้น ย่อมเสื่อม คือย่อมเสื่อมเสีย ย่อมไม่ถึงความเจริญในโลกนี้หรือในโลกหน้า เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าเป็นทางแห่งความเสื่อม. ส่วนความพิสดารในคาถานี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวในคาถาวัณณนาว่า การคบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑.
               คนใดไปอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ย่อมหลับนั้นเทียว คนนั้นชื่อว่า นิทฺทาสีลี ชอบนอน. ผู้ตามประกอบความยินดีในการคลุกคลี คือความยินดีในการคุย ชื่อว่า สภาสีลี ชอบคุย. ผู้เว้นจากเดชแห่งความเพียร เป็นผู้ไม่ลุกขึ้นเป็นปกติ ชื่อว่า อนุฏฺฐาตา ไม่หมั่น. เป็นคฤหัสถ์ถูกคนเหล่าอื่นตักเตือน ก็ไม่ปรารภงานของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต ก็ไม่ปรารภงานของบรรพชิต.
               บทว่า อลโส ความว่า ผู้มีความเกียจคร้านเป็นเจ้าเรือน ถูกความง่วงเหงาครอบงำโดยส่วนเดียว ยืนแล้วก็ยืนอยู่ในที่ยืนนั่นแล นั่งแล้วก็นั่งในที่นั่งนั่นเทียว ย่อมไม่สำเร็จอิริยาบถอื่น ด้วยความอุตสาหะของตน.
               ก็ความเกียจคร้านอันไม่ปราศไป ในเมื่อไฟไหม้ป่าในอดีตเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้. นี้เป็นการกำหนดอย่างอุกฤษฏ์ในที่นี้.
               ก็ความเกียจคร้านแม้โดยกำหนดอย่างเลวกว่านั้น ก็พึงทราบว่าเกียจคร้านเหมือนกัน.
               ความโกรธเป็นเครื่องปรากฏของคนนั้น ดุจธงเป็นเครื่องปรากฎของรถ ดุจควันเป็นเครื่องปรากฎของไฟ เพราะฉะนั้น คนนั้นจึงชื่อว่า โกธปญฺญาโณ ผู้โกรธง่าย บุคคลผู้โทสจริต โกรธเร็ว มีจิตเหมือนบาดแผล ย่อมเป็นเช่นนั้น.
               ฐานะ ๕ อย่างคือ ความชอบนอน ความชอบคุย ความไม่หมั่น ความเกียจคร้าน และความโกรธง่าย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมด้วยคาถานี้ เพราะคนถึงพร้อมด้วยฐานะ ๕ อย่างนั้น เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่ถึงความเจริญของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตก็ไม่ถึงความเจริญของบรรพชิต ย่อมเสียหายถ่ายเดียว ย่อมเสื่อมถ่ายเดียวแน่แท้ เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม.
               หญิงผู้ให้เกิดพึงทราบว่า มารดา. ชายผู้ให้เกิดนั่นเทียวพึงทราบว่า บิดา. ชื่อว่าผู้แก่เฒ่า เพราะความเป็นผู้มีสรีระหย่อนยาน ชื่อว่า ผ่านวัยหนุ่มไป แล้วเพราะก้าวล่วงความเป็นหนุ่มสาว คือมีวัย ๘๐ ปี หรือ ๙๐ ปี ผู้ไม่สามารถเพื่อทำการงานทั้งหลายด้วยตนเอง.
               บทว่า ปหุสนฺโต ความว่าเป็นผู้สามารถ คือมีความสำเร็จแล้ว เป็นอยู่อย่างสบาย. บทว่า น ภรติ คือ ไม่เลี้ยงดู.
               การไม่เลี้ยงคือการไม่เลี้ยงดู การไม่บำรุงมารดาบิดาอย่างเดียวเท่านั้น ตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม ด้วยคาถานี้ เพราะคนประกอบพร้อมด้วยการไม่เลี้ยงมารดาบิดานั่น ย่อมไม่บรรลุถึงอานิสงส์ในการเลี้ยงมารดาบิดาที่ตรัสไว้ว่า
                                   บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญคนนั้น
                         ด้วยการบำรุงบำเรอนั้นในมารดาบิดาในโลกนี้
                         เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์
๑- ดังนี้.
____________________________
๑- องฺ จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๖๓

               ย่อมไม่เลี้ยงแม้มารดาบิดาแน่แท้ ถึงความนินทาและความติเตียนว่า จักเลี้ยงใครอื่นเล่า และถึงทุคติ ชื่อว่าย่อมเสื่อมนั่นเทียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม.
               คนย่อมลวงผู้ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาปทั้งหลายแล้ว ชื่อว่าสมณะ เพราะเป็นผู้สงบแล้ว หรือพราหมณ์แม้ผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์ สมณะผู้เข้าถึงบรรพชา หรือผู้ขอคนใดคนหนึ่ง แม้อื่นจากนั้นด้วยมุสาวาท เพราะฉะนั้น ผู้ถูกปวารณาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านจงพูดถึงปัจจัย ขอแล้วหรือว่ารับแล้ว เพิ่มให้น้อยในภายหลัง ก่อทะเลาะวิวาทกับสมณพราหมณ์นั้น.
               การลวงพราหมณ์เป็นต้นด้วยมุสาวาทอย่างเดียวเท่านั้น ตรัสว่าเป็นทางแห่งความเสื่อม ด้วยคาถานี้ เพราะคนถึงพร้อมด้วยการลวงนั่น ย่อมถึงความนินทาในโลกนี้ ถึงทุคติในสัมปรายภพ และวิบัติจากความประสงค์แม้ในสุคติ.
               สมดังที่ตรัสไว้ว่า เกียรติศัพท์ชั่วของคนทุศีล ผู้มีศีลวิบัติ ย่อมระบือทั่ว.๒-
               อนึ่ง ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลถึงพร้อมด้วยธรรม ๔ เหมือนถูกโยนลงในนรกแน่นอน ๔ เหล่าไหน คือ เป็นผู้มีปกติพูดเท็จ๓- ดังนี้เป็นต้น.
               อนึ่ง ตรัสไว้ว่า
               ดูก่อนสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ปวารณาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงพูดถึงปัจจัย เขาไม่ยอมให้ปัจจัยตามที่ปวารณา ถ้าเขาจุติจากโลกนั้นแล้ว ย่อมมาสู่ความเป็นอย่างนี้ เขาประกอบการค้าขายใด นั่นแล การค้าขายนั้นของเขา ย่อมถึงการขาดทุน.
               ดูก่อนสารีบุตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ เขาย่อมให้ปัจจัยตามที่ปวารณาไว้ตามความประสงค์ ถ้าเขาจุติจากโลกนี้ถึงความเป็นอย่างนี้ เขาประกอบการค้าใดๆ นั่นแล การค้าขายนั้นของเขา ย่อมได้กำไรตามความประสงค์๔- ดังนี้.
               คนถึงการนินทาเป็นต้นเหล่านี้อย่างนี้ ชื่อว่าย่อมเสื่อมแล เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม.
____________________________
๒- องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๒๑๓
๓- องฺ จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๘๒
๔- องฺ จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๗๙

               
               บทว่า ปหุตวิตฺโต ได้แก่ มีทอง เงิน และแก้วมณีมาก.
               บทว่า สหิรญฺโญ คือ มีกหาปณะ.
               บทว่า สโภชโน คือ ถึงพร้อมด้วยของกิน คือสูปพยัญชนะมาก.
               บทว่า เอโก ภุญฺชติ ความว่า ไม่ให้ของกินอันอร่อย แม้แก่บุตรของตน ย่อมกินในโอกาสลับ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ากินของอร่อยแต่ผู้เดียว.
               ความตระหนี่ในของกิน เพราะความเป็นผู้ติดในของกินอย่างเดียวเท่านั้น ตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม ด้วยคาถานี้ เพราะคนถึงพร้อมด้วยความตระหนี่ในของกินนั้น ถึงอยู่ซึ่งเหตุทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือความนินทา ความตำหนิติเตียน ทุคติ ชื่อว่าย่อมเสื่อมนั้นเที่ยว เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม.
               ก็พึงประกอบบททั้งหมด ตามทำนองพระสูตร โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล แต่บัดนี้ ข้าพเจ้ากลัวพิสดารเกินไป จะไม่แสดงนัยแห่งโยชนาทั้งหลาย จักกล่าวเพียงเนื้อความเท่านั้น.
               คนใดยังมานะให้เกิดว่า เราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยชาติ เป็นผู้หยิ่งเพราะมานะนั้น เป็นผู้ลำพอง ดุจสูบเต็มด้วยลมฉะนั้น ย่อมไม่อ่อนน้อมต่อใครๆ คนนั้น ชื่อว่าหยิ่งเพราะชาติ. ในการหยิ่งเพราะทรัพย์ และหยิ่งเพราะโคตรก็นัยนี้.
               บทว่า สญฺญาติมญฺเญติ ความว่า ย่อมดูหมิ่นแม้ญาติของตนเพราะชาติ ดุจเจ้าศากยะทั้งหลายดูหมิ่นวิฑูฑภะฉะนั้น และย่อมดูหมิ่นแม้เพราะทรัพย์ว่า คนนี้กำพร้ายากจนดังนี้ ย่อมไม่กระทำแม้สักว่าสามีจิกรรม ญาติทั้งหลายเหล่านั้นย่อมปรารถนาความเสื่อมเท่านั้นแก่คนนั้น. ฐานะมี ๔ อย่างโดยอรรถ มีอย่างเดียวโดยลักษณะ ตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม ด้วยคาถานี้.
               บทว่า อิตฺถีธุตฺโต ความว่า เป็นผู้กำหนัดในหญิงทั้งหลาย ให้ทรัพย์ที่มีอยู่แม้ทั้งหมดแล้ว สงเคราะห์หญิงอื่นๆ.
               อนึ่ง ผู้ทิ้งของมีอยู่ของตนแม้ทั้งหมดแล้ว ประกอบการดื่มสุรา ชื่อว่าเป็นนักเลงสุรา. ผู้ทิ้งแม้ผ้าที่ตนนุ่งแล้ว ประกอบการเล่นการพนัน คนที่ถึงพร้อมด้วยฐานะ ๓ เหล่านั้น พึงทราบว่า ผลาญทรัพย์ที่ตนหามาได้ เพราะยังทรัพย์แม้อย่างใดอย่างหนึ่งที่หามาได้นั้นให้พินาศ คนอย่างนี้ย่อมเสื่อมถ่ายเดียว ด้วยเหตุนั้น ฐานะ ๓ อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมของคนนั้น ด้วยคาถานี้.
               บทว่า เสหิ ทาเรหิ ได้แก่ ด้วยภรรยาของตน.คนใดไม่สันโดษด้วยภรรยาของตน ประทุษร้ายในหญิงแพศยา หรือในภรรยาของคนอื่น คนนั้น ชื่อว่าย่อมเสื่อมถ่ายเดียว เพราะการเพิ่มให้ทรัพย์แก่หญิงแพศยา เพราะเสพภรรยาของคนอื่น และเพราะกรรมกรณ์มีราชทัณฑ์เป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ฐานะ ๒ อย่างนั่น จึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมของคนนั้น ด้วยคาถานี้.
               บทว่า อตีตโยพฺพโน ความว่า ชายล่วงวัยหนุ่มอายุ ๘๐ หรือ ๙๐ ปีแล้ว นำมาคือบำเรอ. บทว่า ติมฺพรุตฺถนึ ได้แก่ หญิงรุ่นสาวเช่นผลมะพลับ คือหญิงสาวกำดัด.
               บทว่า ตสฺสา อิสฺสา น สุปฺปติ ความว่า ความยินดีและการสังวาสกับชายแก่ทั้งหลาย ย่อมไม่เป็นที่ชอบใจของหญิงสาวรุ่นกำดัด ชายแก่เมื่อรักษาภรรยารุ่นสาวนั้น เพราะความหึงหวงว่า อย่าพึงปรารถนาชายหนุ่มเลย. ชื่อว่าย่อมนอนไม่หลับ ชายแก่ถูกกามราคะ และความหึงหวงแผดเผาอยู่ และไม่ประกอบการงานภายนอก ชื่อว่าย่อมเสื่อมถ่ายเดียว ด้วยเหตุนั้น การนอนไม่หลับเพราะความหึงหวงอย่างเดียวเท่านั้น ตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมของชายแก่นั้น ด้วยคาถานี้.
               บทว่า โสณฺฑึ ความว่า ผู้เหลวไหล คือผู้ติดในปลา เนื้อและน้ำเมาเป็นต้น.
               บทว่า วิกิรณึ ได้แก่ ผู้มีปกติใช้จ่ายทรัพย์สุรุ่ยสุร่ายเพื่อประโยชน์แก่ปลา เนื้อและน้ำเมาเป็นต้นเหล่านั้นเหมือนฝุ่น ให้ฉิบหาย.
               บทว่า ปุริสํ วาปิ ตาทิสํ ความว่า คนใดแม้ตั้งชายเช่นนั้นไว้ในความเป็นใหญ่ คือให้วัตถุมีเครื่องประทับตราเป็นต้นแล้ว ให้กระทำความขวนขวายในฆราวาส ในการงาน หรือในโวหารมีการค้าขายเป็นต้น คนนั้นเมื่อถึงความสิ้นทรัพย์ เพราะโทษของชายนั้น ชื่อว่าย่อมเสื่อมถ่ายเดียว ด้วยเหตุนั้น การตั้งหญิงหรือชายเช่นนั้นไว้ในความเป็นใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น ตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมของคนนั้น ด้วยคาถานี้.
               ชื่อว่า มีโภคทรัพย์น้อย เพราะไม่มีโภคทรัพย์ทั้งหลายที่สะสมไว้ และเพราะไม่มีทางเจริญแห่งโภคทรัพย์.
               บทว่า มหาตณฺโห ความว่า ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยความมักใหญ่ในโภคทรัพย์มาก คือไม่สันโดษด้วยโภคทรัพย์ตามที่ตนหามาได้.
               บทว่า ขตฺติเย ชายเต กุเล ความว่า เกิดในตระกูลกษัตริย์.
               บทว่า โส จ รชฺชํ ปฏฺฐยติ ความว่า บุคคลนั้นปรารถนาราชสมบัติอันตนเป็นทายาทซึ่งไม่ควรได้ หรือของคนอื่น เพราะความเป็นผู้ใคร่ในการปรารถนาราชสมบัติ คือเพราะความมักใหญ่นั้น โดยมิใช่อุบายคือโดยผิดลำดับ. บุคคลนั้นเมื่อปรารถนาอย่างนั้น ให้โภคทรัพย์น้อยแม้นั้นแก่คนทั้งหลายมีทหารเป็นต้น เมื่อไม่บรรลุถึงราชสมบัติ ชื่อว่าย่อมเสื่อมถ่ายเดียว ด้วยเหตุนั้น การปรารถนาราชสมบัตินั้นอย่างเดียวเท่านั้น จึงตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อมของบุคคลนั้น ด้วยคาถานี้.
               เบื้องหน้าแต่นั้น ผิว่า เทวดานั้นจะพึงทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๑๓ ฯลฯ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๑๐๐,๐๐๐ ดังนี้ไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พึงตรัสบอกคนเสื่อมแม้เหล่านั้น แต่เพราะเทวดานั้นคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยคนเสื่อมเหล่านี้ที่ทูลถามแล้ว การทำความเจริญข้อหนึ่งในสูตรนี้ ก็ไม่มี ดังนี้ เมื่อไม่สนใจฟังทางแห่งความเสื่อมเหล่านั้น ทูลถามแม้เพียงเท่านี้แล้ว วิปฏิสารนิ่งอยู่.
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของเทวดานั้นแล้ว เมื่อจะทรงประมวลเทศนา จึงตรัสพระคาถานี้ว่า เอเต ปราภเว โลเก.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยการพิจารณารอบคอบ. บทว่า สมเวกฺขิยา ความว่า พิจารณาแล้ว ด้วยปัญญาจักษุ.
               ผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยมรรค ผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยผล ชื่อว่าประเสริฐ. ก็อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าประเสริฐ เพราะอรรถว่าไม่ดำเนินไปในสิ่งที่ไม่ควร แนะนำกล่าวคือความเสื่อมนั้น บัณฑิตเห็นคนเสื่อมทั้งหลายแล้ว งดเว้นด้วยทัสสนะใด และด้วยปัญญาใด ชื่อว่าผู้ถึงพร้อมด้วยความเห็น เพราะความเป็นผู้ถึงพร้อมแล้ว ด้วยทัสสนะและปัญญานั้น.
               บทว่า ส โลกํ ภชเต สิวํ ความว่า บัณฑิตนั้น คือผู้เห็นนั้น ย่อมคบ คือย่อมเยื่อใย. อธิบายว่า ย่อมเข้าไปสู่โลกที่เกษม คือเทวโลกอันเป็นอุดมเขต ไม่มีอุปัทวะ.
               ในเวลาจบเทศนา เทวดาทั้งหลายฟังทางแห่งความเสื่อมทั้งหลายแล้ว ตั้งใจมั่นโดยแยบคาย สมควรแก่ความสังเวชที่เกิดขึ้นบรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล และอนาคามิผล พ้นที่จะคณนานับเหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
                         เทวดาทั้งหลายที่บรรลุมรรคผลในสูตรนั้น
                         คือ มหาสมัยสูตร มงคลสูตร สมจิตตสูตร
                         ราหุโลวาทสูตร ธรรมจักรสูตร ปราภวสูตร
                         และเทวตาสมสูตร มีไม่น้อย ประมาณไม่ได้
                         ส่วนธรรมาภิสมัยในปราภวสูตรนี้ พ้นที่จะ
                         คณนานับ
ดังนี้.

               จบปราภวสุตตวัณณนา               
               แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย               
               ชื่อ ปรมัตถโชติกา               
               --------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค ปราภวสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 302อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 303อ่านอรรถกถา 25 / 305อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=7218&Z=7291
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=28&A=4071
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=28&A=4071
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :