ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 292อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 293อ่านอรรถกถา 25 / 294อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ จตุกกนิบาต
โลกสูตร

               อรรถกถาโลกสูตร               
               ในโลกสูตรที่ ๑๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

               ความหมายของโลก               
               บทว่า โลโก ความว่า ชื่อว่าโลก เพราะหมายความว่าย่อยยับไปหักพังไป.
               โดยเนื้อความ ได้แก่ อริยสัจ ๒ ข้อต้น แต่ในที่นี้พึงทราบว่า ได้แก่ทุกขอริยสัจ. โลกนี้นั้นได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง ทั้งโดยจำแนกออกไป และโดยสรุปว่า สัตวโลก สังขารโลก และโอกาสโลก.
               อีกอย่างหนึ่ง โลกมีมากอย่างด้วยสามารถแห่งขันธโลกเป็นต้น
               ถามว่า โลกคืออะไร ?
               คือ ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก วิปัตติภวโลก วิปัตติสัมภวโลก สัมปัตติภวโลก สัมปัตติสัมภวโลก
               โลก ๑ คือ สัตว์ทั้งมวลดำรงอยู่ด้วยอาหาร.
               โลก ๒ คือ นาม ๑ รูป ๑.
               โลก ๓ คือ เวทนา ๓.
               โลก ๔ คือ อาหาร ๔.
               โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕.
               โลก ๖ คือ อายตนะที่เป็นไปภายใน ๖.
               โลก ๗ คือ วิญญาณฐิติ ๗.
               โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘.
               โลก ๙ คือ สัตตาวาส ๙.
               โลก ๑๐ คือ อายตนะ ๑๐.
               โลก ๑๒ คือ อายนะ ๑๒.
               โลก ๑๘ คือ ธาตุ ๑๘.#-
____________________________
#- ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๑๔   ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๕๘

               โลกแม้จำแนกออกไปมากอย่าง ดังที่พรรณนามานี้ ย่อมถึงการสงเคราะห์ คือการรวมลงในอุปาทานขันธ์ ๕ เท่านั้น. และอุปาทานขันธ์ก็เป็นทุกขอริยสัจ คือแม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ฯลฯ โดยย่นย่อแม้อุปาทานขันธ์ ๕ ก็เป็นทุกข์ ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวไว้ว่า โดยเนื้อความ ได้แก่อริยสัจ ๒ อย่างข้างต้น. แต่ในพระสูตรนี้พึงทราบว่า ได้แก่ทุกขอริยสัจ.
               ถามว่า ก็ความหมายว่าย่อยยับไป หักพังไป ย่อมมีอยู่ในขันธ์ ๕ โดยไม่แปลกกัน ไม่ใช่หรือ?
               ตอบว่า มีอยู่จริง แต่สิ่งใดที่ยึดถือไว้ว่าจะไม่ย่อยยับไป สิ่งนั้นหาเป็นอย่างนั้นไม่ ย่อมย่อยยับหักพังไปโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น สภาพนั้นจึงชื่อว่าโลก.
               โลกศัพท์ พึงทราบว่า กำหนดลงไปแน่นอนแล้วในอุปาทานขันธ์ทั้งหลายเท่านั้น เพราะเหตุนั้น คำว่าโลกจึงเป็นทุกขสัจเท่านั้น แม้ผิว่า เนื้อความแห่งตถาคตศัพท์ ข้าพเจ้าได้จำแนกไว้แล้วโดยนัยต่างๆ อย่างพิสดารในตถาคตสูตร ในเบื้องหลังไซร้ ถึงอย่างนั้น ในที่นี้ก็จะมีการขยายความให้ชัด โดยมุข คือการพรรณนาเนื้อความของพระบาลี ดังต่อไปนี้.
               บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ความว่า ก่อนอื่นโดยไม่แปลกกัน ตามการจำแนกที่ได้กล่าวไว้แล้ว แต่ตอนก่อนว่า อภิญฺเญยฺยโต (โดยธรรมที่ควรรู้ยิ่ง) ปริญฺเญยฺยโต (โดยธรรมที่ควรกำหนดรู้) หรือโดยการจำแนกเป็นกุศลและอกุศลเป็นต้นที่แยกออกเป็นอาสยกิเลส อนุสยกิเลส จริยาและอธิมุตติเป็นต้น ก็หรือว่าโดยแปลกกันที่แยกเป็นประมาณแห่งวรรณะ (สี) และสัณฐานเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้คือทรงทราบ ได้แก่ทรงกระทำประโยชน์ที่คนทั้งหลายพึงรู้โดยประการใดๆ ให้ประจักษ์แก่พระองค์โดยประการนั้นๆ โดยชอบคือไม่ผิดพลาด ด้วยสยัมภูญาณที่ยิ่งยวด มีอาทิว่า ผู้นี้มีอาสนะยั่งยืน (อัธยาศัยเป็นสัตตะ) ผู้นี้มีอาสยะขาดสูญ (อัธยาศัยเป็นอุจเฉทะ) และมีอาทิว่า ปฐวีธาตุมีลักษณะแข้นแข็ง อาโปธาตุมีลักษณะไหลไป เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า อภิสัมพุทธะ.
               บทว่า โลกสฺมา ความว่า จากโลกตามที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า วิสํยุตฺโต ความว่า ไม่เกี่ยวข้องแล้ว. อธิบายว่า พ้นไปจากโลกนั้น เพราะตัดขาดสังโยชน์ทั้งหมดที่เนื่องด้วยโลกนั้นออกไปได้โดยชอบทีเดียว.
               บทว่า โลกสมุทโย ได้แก่ ตัณหาตามสุตตันตนัย แต่ตามอภิธรรมนัย ได้แก่กิเลส ๑,๕๐๐ พร้อมด้วยอภิสังขารทั้งหลาย.
               บทว่า ปหีโน ได้แก่ ทรงละกิเลสพร้อมทั้งวาสนาได้ ด้วยอำนาจสมุจเฉทปหาน ด้วยอรหัตมรรคญาณที่โพธิมณฑล.
               บทว่า โลกนิโรโธ ได้แก่ พระนิพพาน.
               บทว่า สจฺฉิกโต ได้แก่ ทำให้ประจักษ์แก่พระองค์เอง.
               บทว่า โลกนิโรธคามินีปฏิปทา ได้แก่ อัษฎางคิกมรรคอันเป็นอริยะสงเคราะห์ลงในขันธ์ ๓ มีศีลขันธ์เป็นต้น เพราะว่า ทางนั้นไปถึงคือบรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นที่ดับโลก หรืออันพระอริยเจ้าทั้งหลายดำเนินไปเพื่อพระนิพพานนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก)
               ด้วยคำเพียงเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า ชื่อว่าตถาคต เพราะตรัสรู้ยิ่ง คือถึงตามความเป็นจริง ซึ่งสิ่งที่แท้จริง.
               อธิบายว่า อริยสัจ ๔ ชื่อว่า ตถา (สิ่งที่แท้จริง).
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า๒-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่แท้จริง ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่นเหล่านี้มี ๔ อย่าง.
               ๔ อย่าง คืออะไร? คือ ภิกษุทั้งหลาย คำว่า นี้ทุกข์ นั่นเป็นสิ่งที่แท้จริง นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ผิดพลาด นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอย่างอื่น.
____________________________
๒- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๑๖๙๗

               พึงทราบความพิสดารต่อไป.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าตถาคต เพราะเสด็จไปเพื่อสิ่งที่แท้จริง ชื่อว่าตถาคต เพราะทรงถึงสิ่งที่แท้จริง.
               อนึ่ง บทว่า คโต ได้แก่ ทรงบรรลุแล้ว คือทรงผ่านมาแล้ว หมายความว่าทรงถึงแล้ว. อธิบายว่า ทรงปฏิบัติแล้ว.
               มีคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า
               เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึง คือบรรลุแล้วซึ่งสากลโลกด้วยติรณปริญญาที่เป็นความจริง ไม่ผิดพลาด ฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่าตถาคต เพราะพระตถาคตตรัสรู้โลกแล้ว ทรงพระนามว่าตถาคต เพราะเสด็จถึง คือเสด็จผ่านโลกสมุทัย (เหตุเกิดโลก) มาแล้วด้วยปหานปริญญาที่เป็นความจริง ไม่ผิดพลาด. ทรงพระนามว่าตถาคต เพราะเสด็จถึงคือทรงลุถึงโลกนิโรธ (เหตุดับโลก) ด้วยการทำให้แจ้ง ที่เป็นความจริง และทรงพระนามว่าตถาคต เพราะทรงถึงคือทรงปฏิบัติ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก ที่แท้จริงไม่ผิดพลาด.
               ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความแห่งพระบาลีนี้ ด้วยอำนาจการแสดงถึงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระตถาคตด้วยประการอย่างนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงประกาศความที่พระองค์เป็นพระตถาคตด้วยอำนาจแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วยประการดังนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงความที่พระองค์เป็นพระตถาคตนั้น แม้ด้วยอำนาจแห่งการตรัสรู้ธรรมที่พระองค์ทรงเห็นแล้วเป็นต้นในสัจจะ ๔ เหล่านั้น จึงได้ตรัสคำมีอาทิไว้ว่า ยํ ภิกฺขเว แต่ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ท่านกล่าวคำมีอาทิไว้ว่า ครั้นตรัสความที่พระองค์เป็นพุทธ์เพราะสัจจะทั้ง ๔ แล้วดังนี้ คำนั้น ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงว่า ศัพท์ว่า ตถาคต และศัพท์ว่า พุทฺธํ โดยเนื้อความแล้วไม่มีเหตุแตกต่างกันเลย. อนึ่ง ความจริงพระบาลีก็เป็นไปแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐํ ได้แก่ อายตนะคือรูป.
               บทว่า สุตํ ได้แก่ อายตนะคือเสียง.
               บทว่า มุตํ ได้แก่ อายตนะคือกลิ่น อายตนะคือรส และอายตนะคือโผฏฐัพพะ เพราะจะต้องประจวบเข้า จึงจะรับเอาได้.
               บทว่า วิญฺญาตํ ได้แก่ ธรรมารมณ์ มีสุขทุกข์เป็นต้น.
               บทว่า ปตฺตํ ได้แก่ ที่มาประจวบเข้าโดยได้แสวงหาหรือไม่ได้แสวงหาก็ตาม.
               บทว่า ปริเยสิตํ ได้แก่ แสวงหาอารมณ์ที่มาประจวบเข้าบ้าง ที่ไม่มาประจวบเข้าบ้าง.
               บทว่า อนุวิจรตํ มนสา ได้แก่ อารมณ์ที่ทรงใคร่ครวญด้วยใจ ควรจะเชื่อมความว่า ถามว่า ใคร่ครวญด้วยใจของใคร?
               ตอบว่า ด้วยใจของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สเทวกสฺส โลกสฺส ต่อไป
               สัตวโลกพร้อมด้วยเทวโลกทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สเทวโลกะ แห่งสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลกนั้น. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนั้นเหมือนกัน.
               ก็ด้วยคำว่า สเทวกะ ในพระสูตรนี้ พึงทราบถึงการทรงถือเอาเทวดาชั้นกามาพจร ๕ ชั้น. ด้วยคำว่า สมารกะ พึงทราบถึงการทรงถือเอาเทวดาชั้นกามาพจรชั้นที่ ๖. ด้วยคำว่า สพรหมกะ พึงทราบถึงการทรงหมายเอาชั้นพรหมมีพรหมกายิกะเป็นต้น. ด้วยคำว่า สสฺสมณพฺราหฺมณี พึงทราบถึงการทรงถือเอาสมณพราหมณ์ผู้เป็นข้าศึกต่อพระศาสนา และการทรงถือเอาสมณพราหมณ์ผู้ระงับบาป และลอยบาปได้แล้ว. ด้วยคำว่า ปชา พึงทราบถึงการทรงถือเอาสัตวโลก. ด้วยคำว่า สเทวมนุสฺส พึงทราบถึงการทรงถือเอาสมมติเทพ และมนุษย์ที่เหลือ.
               เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตวโลกพร้อมด้วยเทวดามารและพรหมในพระสูตรนี้ พึงทราบว่าทรงถือเอาแล้วด้วยบททั้ง ๓ สัตวโลกเท่านั้น พึงทราบว่าทรงถือเอาแล้วด้วยบททั้งสองด้วยอำนาจประชาสัตว์.
               อีกนัยหนึ่ง เทวโลกชั้นอรูปาพจร พระองค์ถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า สเทวกะ เทวโลกชั้นฉกามาวจรด้วยคำว่า สมารกะ พรหมโลกชั้นที่มีรูปด้วยคำว่า สพรหมกะ สัตวโลกที่เหลือพร้อมด้วยสมมติเทพทั้งหลาย ทรงถือเอาแล้วด้วยคำว่า สัสสมณพราหมณศัพท์เป็นต้น.
               ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงมีสัตวโลกทั้งหมดเป็นอารมณ์ ได้ทรงประกาศความเป็นผู้ได้ตรัสรู้แล้ว โดยการกำหนดอย่างอุกฤษฏ์ ด้วยคำว่า สเทวะ ในพระสูตรนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนเหล่าใดจะพึงมีความเข้าใจผิดว่า ขึ้นชื่อว่ามาร ชื่อวสวัตดีมีอานุภาพมาก เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นฉกามาพจรมีอยู่ แต่พระพรหมมีอานุภาพมากแม้กว่ามารนั้น ใช้นิ้วทั้ง ๑๐ ส่องแสงสว่างไปในหมื่นจักรวาล เสวยสุขอันเกิดจากฌานสมาบัติชั้นสูงมีอยู่ และสมณพราหมณ์จำนวนมากผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ รู้จิตใจของผู้อื่นมีอานุภาพมาก ยังมีอยู่. ทั้งหมู่สัตว์นี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด หาประมาณมิได้ก็ยังมี อารมณ์ของสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงรู้แล้วโดยไม่มีเหลือเทียวหรือ?
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงขจัดความเข้าใจผิดของชนเหล่านั้น จึงได้ตรัสคำมีอาทิไว้ว่า สเทวกสฺส โลกสฺส.
               ส่วนโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า บทว่า สเทวกสฺส คลุมถึงสัตวโลกไม่มีเหลือ พร้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย.
               บทว่า สมารกสฺส คลุมถึงสัตวโลกไม่มีเหลือพร้อมด้วยมาร.
               บทว่า สพฺรหฺมกสฺส คลุมถึงสัตวโลกไม่มีเหลือพร้อมด้วยพรหมทั้งหลาย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงใส่สัตว์แม้ทั้งหมดผู้เข้าถึงภพทั้ง ๓ ลงใน ๓ บทอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงใช้ ๒ บทคลุมอีกจึงได้ตรัสไว้ว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย (อันหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์).
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครอบคลุมสัตว์ทั้งหมดที่กำหนดด้วยขันธ์ทั้ง ๓ ไว้ ด้วยทั้ง ๕ บทอย่างนี้.
               ด้วยบทว่า ยสฺมา ตํ ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํ (เพราะเหตุที่อารมณ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว). พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงคำนี้ไว้ คือ รูปารมณ์อันใดมีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น มาสู่คลองในจักขุทวารของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ในโลกธาตุที่หาประมาณมิได้ รูปารมณ์นั้นทั้งหมด พระตถาคตเจ้าได้ทรงรู้แล้วอย่างนี้ว่า สัตว์นี้เห็นรูปารมณ์นี้ในขณะนี้แล้ว ดีใจหรือเสียใจ หรือเกิดมีใจเป็นกลาง. สัททารมณ์มีเสียงกลอง เสียงตะโพนเป็นต้นอันใดก็เช่นนั้นมาสู่คลองในโสตทวารของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ในโลกธาตุที่หาประมาณมิได้. คันธารมณ์มีกลิ่นเกิดแต่รากเหง้า และเปลือกเป็นต้น (อันใด) มาสู่คลองในมานทวาร. รสารมณ์มีรสเกิดแต่รากเหง้า และรสเกิดแต่ลำต้นเป็นต้น (อันใด) มาสู่คลองในชิวหาทวาร. โผฏฐัพพารมณ์แยกออกเป็นปฐวีธาตุ เตโชธาตุและวาโยธาตุมีแข็งและอ่อนเป็นต้น (อันใด) มาสู่คลองในกายทวาร (ของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลกในโลกธาตุที่หาประมาณมิได้). พระตถาคตเจ้าได้ทรงทราบโผฏฐัพพารมณ์อันนั้นทั้งหมดอย่างนี้ว่า สัตว์นี้ถูกต้องโผฏฐัพพะชื่อนี้ในขณะนี้แล้ว เป็นผู้ดีใจหรือเสียใจ หรือเกิดมีใจเป็นกลาง. ธรรมารมณ์ที่แยกออกเป็นสุขเป็นต้น (อันใด) ก็เช่นนั้นมาสู่คลองในมโนทวารของสัตวโลก พร้อมทั้งเทวโลกนี้ ในโลกธาตุอันหาประมาณมิได้. ธรรมารมณ์นั้นทั้งหมด พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้แล้วอย่างนี้ว่า สัตว์นี้รู้ธรรมารมณ์ชื่อนี้ ในขณะนี้แล้ว เป็นผู้ดีใจหรือเสียใจ หรือเกิดมีใจเป็นกลาง.
               เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่สัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้ทราบแล้ว ได้รู้แล้ว พระตถาคตเจ้าจะไม่ทรงเห็น ไม่ทรงได้ยิน ไม่ทรงทราบหรือไม่ทรงรู้ ย่อมไม่มี. แต่รูปเป็นต้นที่มหาชนนี้แสวงหาแล้ว แต่ไม่ได้ประสบมีอยู่บ้าง ที่ไม่ได้แสวงหาก็ไม่ประสบมีอยู่บ้าง ที่แสวงหาแล้วได้ประสบมีอยู่บ้าง ที่ไม่ได้แสวงหาแต่ได้ประสบมีอยู่บ้าง รูปเป็นต้นแม้ทั้งหมดที่ชื่อว่าพระตถาคตเจ้าไม่ทรงประสบแล้ว คือไม่ทรงทำให้แจ้งด้วยญาณแล้ว ย่อมไม่มี.
               เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่า รูปารมณ์อันใดที่มาสู่คลองในจักษุทวารของสัตว์ทั้งหลาย หาประมาณมิได้ ในโลกธาตุทั้งหลายหาประมาณมิได้ มีอยู่. รูปารมณ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ทรงเห็นโดยอาการสิ้นเชิง. ก็รูปารมณ์นั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ผู้ทรงรู้ทรงเห็นอยู่อย่างนี้ เมื่อทรงจำแนกออกไป ตามชื่อมากมาย ตามวาระ ๑๓ วาระ ตามนัย ๕๒ นัย โดยนัยมีอาทิว่า๓- รูปคืออะไร? คือรูปายตนะซึ่งได้แก่รูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้ง ๔ แสดงออกเป็นสีแสง มีสีเขียว สีเหลือง (เป็นต้น) มีการกระทบได้ ดังนี้ ด้วยสามารถอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นต้น หรือด้วยสามารถแห่งบทที่ได้อยู่ ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่น รส และโผฏฐัพพะที่ได้ทราบ และธรรมารมณ์ที่ได้รู้แล้ว ก็เป็นอย่างนั้นนั่นเอง ไม่มีผิดไปจากนั้น ในเสียงเป็นต้นที่มาสู่คลองแม้ในโสตทวารเป็นต้น ก็มีนัยนี้.
____________________________
๓- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๕๒๑

               บทว่า ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจติ ความว่า พระพุทธเจ้า บัณฑิตเรียกว่าตถาคต เพราะสิ่งที่ชาวโลกกล่าวแล้วโดยประการใด ก็ตรัสแล้วโดยประการนั้นเหมือนกัน
               ส่วนคำใดที่ตรัสไว้ในพระบาลีว่า อภิสมฺพุทฺธํ (ตรัสรู้แล้ว) คำนั้นมีความหมายเท่ากับตถาคตศัพท์ ด้วยคำว่า ตถาคโต นี้เป็นอันทรงแสดงเนื้อความนี้ไว้ว่า ชื่อว่าตถาคต เพราะความเป็นผู้ทรงแสดงอย่างนั้นเป็นปกติ.
               สมจริงตามที่ท่านพระธรรมเสนาบดี (สารีบุตร) ได้กล่าวไว้แล้วว่า๔-
                         ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่พระตถาคตเจ้าพระองค์นั้นไม่ทรงเห็น
                         และที่ควรรู้ แต่ไม่ทรงรู้ พระองค์ทรงรู้ยิ่งทุกสิ่งที่ควรแนะนำ
                         เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้มีพระจักษุรอบด้าน
                         (สมันตจักขุ).

____________________________
๔- ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๗๒๗   ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๔๙๒   ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๒๙๑

               ถึงในพระสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ว่า๕-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตรู้สิ่งที่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้ ได้ประสบ ได้แสวงหา ได้ใคร่ครวญแล้วด้วยใจ เราตถาคตได้รู้สิ่งนั้นแล้ว ตถาคตได้ทราบสิ่งนั้นแล้ว สิ่งนั้นได้ปรากฏแก่ตถาคตแล้ว.
____________________________
๕- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๔

               บทว่า ยญฺจ ภิกฺขเว รตฺตึ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌติ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในราตรีใด)
               ความว่า ก็ในราตรีที่มีพระจันทร์เพ็ญในวิสาขมาสใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่าตถาคต เพราะหมายความว่า เสด็จมาแล้วอย่างนั้นเป็นต้น ประทับนั่งบนบัลลังก์ที่ไม่มีใครพิชิตได้ที่ควงโพธิ์ ทรงทำลายศีรษะของมารทั้ง ๓ แล้ว ทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เพราะไม่มีญาณอื่นยิ่งกว่า คือพระสัพพัญญุตญาณพร้อมด้วยอาสวักขยญาณ.
               บทว่า ยญฺจ รตฺตึ อนุปทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ (และในราตรีใด ทรงปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ).
               ความว่า ก็ในราตรีที่มีพระจันทร์เพ็ญในวิสาขมาสใดนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่สาลวโนทยานอันเป็นสถานที่พักผ่อนของชาวมัลละ ในเมืองกุสินารา.
               บทว่า ยํ เอตสฺมึ อนฺตเร ความว่า ในท่ามกลางระหว่างสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ และอนุปาทิเสสนิพพานธาตุทั้ง ๒ อย่างนี้ คือในปฐมโพธิกาลบ้าง ในมัชฌิมโพธิกาลบ้าง ในปัจฉิมโพธิกาลบ้าง ในระยะกาลประมาณ ๔๕ ปี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระธรรมไว้ แยกประเภทเป็นสุตตะและเคยยะเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งการทรงชี้แจง คือตรัสบอกด้วยอำนาจแห่งการทรงยกขึ้นแสดง ทรงแสดงไขด้วยสามารถแห่งการทรงจำแนกออกไป.
               บทว่า สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ (พระพุทธพจน์นั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นนั่นเอง) ความว่า พระพุทธพจน์ทั้งหมด คือที่มีองค์ ๙ มีสุตตะและเคยยะเป็นต้นนั้น คือที่ทรงแสดงแล้วในระหว่างนี้ โดยอรรถและโดยพยัญชนะแล้ว ไม่มีที่น่าตำหนิ ไม่บกพร่อง ไม่เกิน บริบูรณ์โดยอาการทุกอย่าง สร่างจากเมา คือราคะ ฯลฯ สร่างจากเมา คือโมหะ ไม่มีข้อพลั้งพลาด แม้เพียงเท่าปลายขนทรายในพระพุทธพจน์นั้น เป็นอย่างนั้นเท่านั้น เหมือนสิ่งที่ประทับด้วยดวงตราดวงเดียวกัน เหมือนสิ่งที่ตวงด้วยทะนานเดียวกัน และเหมือนสิ่งที่ชั่งด้วยเครื่องชั่งอย่างเดียวกัน ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะตรัสสอนเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใดก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่ผู้นั้น โดยส่วนเดียวนั่นเอง เพราะฉะนั้น พระพุทธพจน์นั้นจึงเป็นของแท้ ไม่แปรผัน ไม่เป็นอย่างอื่น
               ด้วยคำว่า ท่านแสดงว่า ชื่อว่าตถาคต เพราะเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างนั้น คตศัพท์ นี้มีความหมายเท่าคทะ เพราะแปลง อักษรเป็น อักษร เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ชื่อว่าตถาคต เพราะตรัสอย่างนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง การกล่าวชื่อว่า อาคโท ความหมายว่า การตรัส การตรัสอย่างนั้น คือไม่ผิดพลาด มีอยู่แก่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่าตถาคต เพราะแปลงอักษร อักษรเป็น .
               ผู้ศึกษาควรทราบบทสำเร็จรูป ในคำว่า ตถาคต นี้ ตามที่พรรณนามานี้เถิด.
               บทว่า ยถาวาที ตถาการี ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศลมีโทษ วิญญูชนตำหนิ ที่บุคคลสมาทานครบถ้วนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ พระองค์ทรงละธรรมเหล่านั้นได้เองโดยส่วนเดียวนั่นแหละ.
               ส่วนธรรมเหล่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ไม่มีโทษ วิญญูชนสรรเสริญ ที่บุคคลสมาทานครบถ้วนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ธรรมเหล่านั้น พระองค์ทรงเข้าถึงด้วยพระองค์เองอยู่แล้ว โดยส่วนเดียว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงทราบว่าตรัสอย่างใดก็ทรงทำได้อย่างนั้น.
               บทว่า ยถาการี ตถาวาที ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิบัติชอบแล้ว ด้วยสามารถแห่งการยังศีลเป็นต้นให้บริบูรณ์ ชื่อว่าทรงทำอย่างใดด้วยพระองค์เอง ก็ตรัสอย่างนั้น ด้วยสามารถแห่งการยังผู้อื่นให้ดำรงอยู่ในธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยพระธรรมเทศนา.
               อธิบายว่า พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า อนุโลมตามพระวาจา แม้พระวาจาก็ทรงอนุโลมตามพระกาย เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงชื่อว่าเป็นผู้ตรัสอย่างใดก็ทรงทำอย่างนั้น และทรงทำอย่างใดก็ตรัสอย่างนั้น.
               อนึ่ง อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเป็นอย่างนั้น มีพระวาจาอย่างใด แม้พระกายก็ไปแล้ว คือเป็นไปแล้วอย่างนั้น และพระกายของพระองค์เป็นไปแล้ว (ทรงทำ) อย่างใดแม้พระวาจาก็ไปแล้ว คือเป็นไปแล้วอย่างนั้น.
               บทว่า อภิภู อนภิภูโต ความว่า เบื้องบนจรดภวัคคพรหม เบื้องล่างจรดอเวจีนรก เป็นที่สุด ด้านขวางในโลกธาตุหาประมาณมิได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครอบงำสัตว์ทั้งมวล ด้วยศีลบ้าง ด้วยสมาธิบ้าง ด้วยปัญญาบ้าง ด้วยวิมุตติบ้าง ด้วยวิมุตติญาณทัสนะบ้าง พระองค์ไม่มีใครชั่ง ไม่มีประมาณ ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้สม่ำเสมอ ไม่มีผู้เสมอเหมือน ไม่มีผู้เทียม ไม่มีบุคคลเทียม ไม่มีผู้เท่า ไม่มีผู้เปรียบเทียบ ทรงเป็นพระราชาไม่มีผู้ยิ่งกว่า ทรงเป็นเทพเหนือเทพ ทรงเป็นท้าวสักกะเหนือท้าวสักกะ ทรงเป็นพระพรหมเหนือพระพรหม เพราะเหตุนั้นนั่นเอง จึงไม่มีใครครอบงำพระองค์ได้ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อนภิภูโต (ไม่มีผู้ครอบงำได้).
               ศัพท์ว่า อญฺญทตฺถุ เป็นนิบาต ใช้ในความหมายว่า โดยส่วนเดียว.
               อธิบายว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชื่อว่าเนยยะ (ควรแนะนำ ควรรู้) สิ่งนั้นทั้งหมดจะเห็นได้ เหมือนผลมะขามป้อมในอุ้งมือ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทสะ (ผู้ทรงเห็น).
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วสวัตดี เพราะทรงให้สัตว์ทั้งหลายเป็นไปในอำนาจ ด้วยการทรงทราบอาสยะเป็นต้น (ของเขา) ไม่มีผิดพลาด และด้วยการทรงนำเขาให้เข้าไปหาประโยชน์เกื้อกูล ทรงให้สังขารทั้งหลายเป็นไปในอำนาจด้วยสามารถแห่งการนำไปสู่ความเป็นอย่างอื่นตามภาวะ (ทรงบังคับพระกายได้) ทรงยังสมาบัติและจิตให้เป็นไปในอำนาจ เพราะทรงประพฤติมาจนชำนาญโดยอาการทุกอย่าง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าทรงแสดงความที่พระองค์ทรงเป็นพระตถาคต เพราะความหมายว่าทรงครอบงำ (สัตว์).
               ในข้อนั้น พึงทราบบทสำเร็จรูป ดังต่อไปนี้ว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเป็นเสมือนมียาขนานพิเศษ จึงทรงพระนามว่าอคทะ
               ก็ยาขนานวิเศษนั่น ได้แก่อะไร?
               ได้แก่ ความงามแห่งพระธรรมเทศนา และความหนาแน่นแห่งบุญ.
               อธิบายว่า ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นจึงทรงมีพุทธานุภาพมาก ทรงครอบงำผู้ใส่ร้ายทุกคนและสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลกได้ เหมือนหมองูปราบงูด้วยยาทิพย์ ฉะนั้น. ยาขนานวิเศษ คือความงามแห่งพระธรรมเทศนาและความหนาแน่นแห่งบุญ ที่เป็นยาขนานที่แท้คือไม่ปลอม ในการทรงครอบงำ (รักษา) สัตวโลกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีอยู่ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พึงทราบว่า ทรงพระนามว่าตถาคต โดยแปลงอักษร ให้เป็นอักษร ด้วยประการดังนี้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตครอบงำสัตวโลก พร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ ยังอำนาจให้เป็นไป เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกว่า พระตถาคต.
               พึงทราบวินิจฉัย ในคาถาทั้งหลายต่อไป
               บทว่า โลกํ อภิญฺญาย ความว่า ทรงรู้ขันธ์เป็นที่อยู่อาศัยในโลกธาตุทั้ง ๓.
               บทว่า สพฺพโลเก ยถาตถํ ความว่า ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรรู้ ในขันธ์เป็นที่อยู่อาศัยในโลก ธาตุทั้ง ๓ นั้น ตามที่เป็นจริงคือไม่ผิด.
               บทว่า สพฺพโลกวิสํยุตฺโต ความว่า ทรงพรากไป คือทรงพ้นไปแล้วจากโลกแม้ทั้งหมด ด้วยการทรงละโยคะ ๔ อย่างโดยไม่มีเหลือ.
               บทว่า อนูสโย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าไม่ทรงมีอุสยกิเลส (กิเลสที่หนาแน่น) โดยอุสยกิเลส คือตัณหาและทิฏฐิ คือทรงละเว้นจากอุสยกิเลสเหล่านั้น ในโลกแม้ทั้งหมด.
               บทว่า สพฺพาภิภู ความว่า ผู้ทรงครอบงำอารมณ์ทั้งหมดมีรูปเป็นต้น คือสังขารทั้งหมด ได้แก่มารแม้ทั้งหมดแล้วดำรงอยู่.
               บทว่า ธีโร ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา เครื่องทรงจำ.
               บทว่า สพฺพคณฺฐปฺปโมจโน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลื้องกิเลสมีกายคันถะคืออภิชฌาเป็นต้นทั้งหมดเสด็จดำรงอยู่แล้ว ชื่อว่าทรงเปลื้องกิเลส คือคันถะทั้งหมดออกไปได้ เพราะทรงเปลื้องกิเลสเหล่านั้นออกจากสันดานของเวไนยสัตว์ ด้วยพระธรรมเทศนาที่ไพเราะของพระองค์.
               บทว่า ผุฏฺฐสฺส ตัดบทเป็น ผุฏฺฐา อสฺส (แปลว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ทรงสัมผัสแล้ว). คำว่า อสฺส นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในความหมายของตติยาวิภัตติ ความหมายว่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงสัมผัสแล้ว.
               บทว่า ปรมา สนฺติ (ความสงบอันยอดยิ่ง) ได้แก่ พระนิพพาน เพราะว่า พระนิพพานนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสัมผัสแล้ว ด้วยการสัมผัสด้วยญาณนั้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า พระนิพพาน จะมีภัยมาจากไหน.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปรมา สนฺติ ได้แก่ ความสงบอย่างยอดเยี่ยม.
               ถามว่า ความสงบอย่างยอดเยี่ยมนั้น คืออะไร?
               ตอบว่า คือพระนิพพาน ก็เพราะเหตุที่ในพระนิพพาน จะมีภัยมาแต่ไหน ฉะนั้น พระนิพพานนั้น พระองค์จึงตรัสว่า จะมีภัยมาแต่ไหน.
               บทว่า อนิโฆ ได้แก่ ทรงไม่มีทุกข์.
               บทว่า สพฺพโลกวิสํยุตฺโต ความว่า ทรงถึงความสิ้นไป คือความสิ้นสุด ได้แก่ความไม่มีโดยส่วนเดียวแห่งกรรมทั้งมวล.
               บทว่า วิมุตฺโต อุปธิสงฺขเย ความว่า ทรงหลุดพ้นแล้วด้วยผลวิมุตติ ที่มีพระนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ในพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ.
               บทว่า เอส โส เท่ากับ เอโส โส (แปลว่า นั้นนั่น).
               บทว่า สีโห อนุตฺตโร ความว่า พระตถาคตเจ้าทรงพระนามว่าเป็นยอดสีหะ เพราะความหมายว่าทรงอดกลั้นอันตรายทั้งหลายได้ และเพราะความหมายว่า ทรงฆ่ากิเลสได้.
               บทว่า พฺรหฺมํ ความว่า ประเสริฐสุด.
               บทว่า จกฺกํ ได้แก่ พระธรรมจักร.
               บทว่า ปวตฺตติ ความว่า ทรงหมุน (แสดง) พระธรรมจักรให้ได้ ๓ รอบมีอาการ ๑๒.
               บทว่า อิติ ความว่า ทราบพระคุณของพระตถาคตอย่างนี้แล้ว.
               บทว่า สงฺคมฺม ได้แก่ มาชุมนุมกัน.
               บทว่า ตํ นมสฺสนฺติ ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ พากันนมัสการพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น ผู้ชื่อว่ามีพระคุณใหญ่ เพราะทรงประกอบด้วยคุณความดีมีศีลเป็นต้นมากมาย ผู้ชื่อว่าทรงปราศจากความครั่นคร้าม เพราะทรงประกอบด้วยพระธรรมที่ทำให้ทรงแกล้วกล้า ๔ อย่าง.
               บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นพากันเอ่ยถึงพลาง นมัสการไปพลาง จึงตรัสคำมีอาทิไว้ว่า ทนฺโต.
               คำนั้นมีเนื้อความง่ายอยู่แล้วแล.

               จบอรรถกถาโลกสูตรที่ ๑๓               
               -----------------------------------------------------               

               ในจตุกนิบาตนี้ พึงเข้าใจว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสวัฏฏะไว้ในสูตรที่ ๖ และที่ ๗
               ได้ตรัสวิวัฏฏะไว้ในสูตรที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๑ ที่ ๑๒ และที่ ๑๓
               ได้ตรัสทั้งวัฏฏะทั้งวิวัฏฏะไว้ในสูตรที่เหลือ ด้วยประการดังนี้

               จบอรรถกถาจตุกนิบาต อิติวุตตกะ               
               อรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถทีปนี               
               ด้วยประการดังนี้แล.               
               รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. พราหมณสูตร
                         ๒. จัตตาริสูตร
                         ๓. ชานสูตร
                         ๔. สมณสูตร
                         ๕. ศีลสูตร
                         ๖. ตัณหาสูตร
                         ๗. พรหมสูตร
                         ๘. พหุการสูตร
                         ๙. กุหนาสูตร
                         ๑๐. ปุริสสูตร
                         ๑๑. จรสูตร
                         ๑๒. สัมปันนสูตร
                         ๑๓. โลกสูตร และอรรถกถา.
               จบอิติวุตตกะ               

               นิคมคาถา               
               ก็ด้วยกถามรรคเพียงเท่านี้               
                         พระอริยเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ผู้เชี่ยวชาญใน
               อภิญญา ๖ ประการ ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ผู้รับธุระพระศาสนา
               ร้อยกรองพระธรรมวินัยไว้ในปางก่อน ได้รวบรวมพระสูตร ๑๑๒
               สูตรไว้ที่พระมเหสี สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นธรรมิสราธิบดีใน
               แผ่นดิน ทรงเห็นแจ้งทั้งธรรมทั้งโลก ผู้ทรงทราบวิธีแสดงธรรม
               แก่เหล่าสัตว์ผู้ควรจะรู้พระธรรมทั้งหลาย ผู้ทรงแสวงหาประโยชน์
               เกื้อกูลแก่สัตวโลกทั้งมวล ทรงอาศัยเหตุนั้นๆ แล้วทรงแสดงไว้โดย
               แยกออกไปเป็นเอกนิบาตเป็นต้น ตามประเภทธรรมที่กล่าวไว้ว่า
               อิติวุตตกะนั้นใด เพื่อจะประกาศเนื้อความแห่งอิติวุตตกะนั้น. การ
               สังวรรณนาเนื้อความอันใด ที่ข้าพเจ้า (พระธรรมปาลาจารย์) ได้
               ปรารภดีแล้ว โดยได้อาศัยนัยแห่งอรรถกถาเก่า.
                         การสังวรรณนาอันนั้น โดยชื่อแล้ว ชื่อว่าปรมัตถทีปนี เป็น
               เครื่องประกาศปรมัตถธรรม ในพระสูตรทั้งหลายในอิติวุตตกะนั้น
               ตามสมควร ไม่มีการวินิจฉัยค้างไว้ ถึงความสำเร็จ เสร็จสิ้นลงไป
               แล้ว โดยภาณวารแห่งพระบาลี ประมาณ ๓๘ ภาณวาร.
                         ด้วยเหตุดังนี้ ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ข้าพเจ้าผู้แต่งอรรถกถา
               นั้นได้รับแล้ว.
                         ขอสรรพสัตว์จงยังพระศาสนาของพระโลกนาถให้สว่างไสว
               ไปด้วยข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้นที่บริสุทธิ์ จงเป็นผู้มีส่วนแห่งวิมุตติรส.
                         ขอพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงสถิตอยู่ในโลก
               ตลอดจิรกาล.
                         ขอสรรพสัตว์จงมีความเคารพในพระศาสนานั้น ตลอดกาล
               เนืองนิตย์ แม้ฝนก็ขอจงตกต้องตามฤดูกาล.
                         ขอท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ผู้ยินดีในพระสัทธรรม จงทรง
               ปกครองโลก โดยธรรมเทอญ.


               อรรถกถาอิติวุตตกะที่ข้าพเจ้าพระธรรมปาลาจารย์ วัดท่าพุทรา แต่งไว้จบลงแล้วด้วยประการดังนี้แล.

               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ จตุกกนิบาต โลกสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 292อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 293อ่านอรรถกถา 25 / 294อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=6780&Z=6834
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=9118
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=9118
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๑  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :