ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 222อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 223อ่านอรรถกถา 25 / 224อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต
ทุติยวรรค สัลลานสูตร

               อรรถกถาสัลลานสูตร               
               ในสัลลานสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ปฏิสลฺลานารามา ได้แก่ เป็นผู้หลีกเลี่ยงจากสัตว์และสังขารเหล่านั้นๆ แล้วหลีกเร้นอยู่ผู้เดียว. ชื่อว่ามีกายวิเวก เพราะเสพเอกมรรค. ชื่อว่า ปฏิสลฺลานารามา เพราะเป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่ยินดีถือเป็นที่ชอบใจ. บาลีว่า ปฏิสลฺลานารามา ดังนี้บ้าง. ชื่อว่า ปฏิสลฺลานารามา เพราะเป็นผู้มีความหลีกเร้นดังกล่าวแล้วเป็นที่มายินดี เพราะควรมายินดี.
               บทว่า วิหรถ ความว่า เธอทั้งหลายจงเป็นผู้เป็นอย่างนี้อยู่เถิด. ชื่อว่า ปฏิสลฺลานรตา เพราะเป็นผู้ยินดีแล้ว คือยินดีเป็นนิจ เบิกบานแล้วในความหลีกเร้น.
               ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ การประกอบความเพียรและความเป็นผู้มีการหลีกเร้น อันเป็นนิมิตแห่งการประกอบความเพียรนั้น ท่านแสดงไว้แล้ว.
               การประกอบความเพียรเว้นจากธรรมทั้งหลายเหล่านี้ คือ สีลสังวร ความเป็นผู้มีทวารคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ สติและสัมปชัญญะ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าธรรมแม้เหล่านั้น ท่านกล่าวไว้ในที่นี้โดยเนื้อความเท่านั้น.
               บทว่า อชฺฌตฺตํ เจโตสมถมนฺยุตฺตา ได้แก่ ประกอบจิตของตนไว้ในสมถะ.
               บทว่า อชฺฌตฺตํ อตฺตโน นี้ ความอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน.
               บทว่า สมถํ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ โดยประกอบตามศัพท์.
               บทว่า อนิรากตชฺฌานา ได้แก่ มีฌานไม่นำออกไปภายนอก หรือมีฌานไม่เสื่อม. บทนี้ว่า การนำออกหรือความเสื่อมชื่อว่า นิรากตํ ดุจในคำมีอาทิว่า ถมฺภํ นิรํกตฺวา นิวาตวุตฺติ การประพฤติอ่อนน้อมเพราะไม่ยอมรับความดื้อ.๑-
____________________________
๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๒๖

               บทว่า วิปสฺสนาย สมนฺนาคตา ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยอนุปัสสนา ๗ อย่าง.
               อนุปัสสนา ๗ อย่าง คือ
                         อนิจจานุปัสสนา (การเห็นว่าไม่เที่ยง) ๑
                         ทุกขานุปัสสนา (ความเห็นว่าเป็นทุกข์) ๑
                         อนัตตานุปัสสนา (ความเห็นว่าไม่เป็นตัวตน) ๑
                         นิพพิทานุปัสสนา (ความเห็นด้วยความเบื่อหน่าย) ๑
                         วิราคานุปัสสนา (ความเห็นในการปราศจากราคะ) ๑
                         นิโรธานุปัสสนา (ความเห็นในการดับทุกข์) ๑
                         ปฏินิสสัคคานุปัสสนา (ความเห็นในการสละทิ้ง) ๑
               วิปัสสนาเหล่านั้นพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
               บทว่า พฺรูเหตาโร สุญฺญาคารานํ ได้แก่ เจริญสุญญาคาร.
               อนึ่ง ในบทว่า สุญฺญาคารานํ นี้ ได้แก่ ความสงัดอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นฐานะอันสมควรแก่การบำเพ็ญภาวนา ภิกษุทั้งหลายเรียนกรรมฐานทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแล้ว เข้าไปยังสุญญาคารตลอดคืนและวัน นั่งบำเพ็ญภาวนาพึงทราบว่าเป็นผู้พอกพูนสุญญาคาร. ส่วนผู้อยู่แม้ในปราสาทชั้นเดียวเป็นต้นเพ่งอยู่ ก็พึงทราบว่า เป็นผู้พอกพูนสุญญาคารเหมือนกัน.
               ความเป็นผู้มีกายหลีกเร้นอยู่อันใดที่ท่านตั้งไว้ในบทนี้ว่า ปฏิสลฺลานา รามา ภิกฺขเว วิหรถ ปฏิสลฺลานรตา ความเป็นผู้มีกายหลีกเร้นอยู่นั้น ย่อมมีแก่ผู้มีศีลบริสุทธิ์ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีศีลหรือมีศีลไม่บริสุทธิ์ เพราะผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้นไม่มีการหมุนกลับจิตจากรูปารมณ์เป็นต้น. อรรถแห่งความพยายามท่านกล่าวไว้ในบทว่า สีลวิสุทฺธิ ทสฺสิตา สีลวิสุทธิท่านแสดงไว้แล้ว. ท่านกล่าวถึงสมาธิภาวนาด้วยบท ๒ บทว่า อชฺฌตฺตญฺเจโตสมถมนุยุตฺตา (การประกอบจิตของตนไว้ในสมถะในภายใน) ๑ อนิรากตชฺฌานา (มีฌานไม่เสื่อม) ๑ ท่านจัดปัญญาภาวนาไว้ด้วยบทนี้ว่า วิปสฺสนาย สมนฺนาคตา ดังนี้. ท่านแสดงสิกขา ๓ เป็นโลกิยะ.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงถึงผลอันมีแน่แท้ของผู้ตั้งอยู่ในสิกขา ๓ เหล่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปฏิสลฺลานารามา ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺรูเหตานํ คือ เจริญ.
               บทว่า ทวินฺนํ ผลานํ ได้แก่ ผลที่ ๓ และที่ ๔.
               บทว่า ปาฏิกงฺขํ ได้แก่ พึงปรารถนา คือมีแน่แท้.
               บทว่า อญฺญา ได้แก่ พระอรหัต.
               จริงอยู่ พระอรหัตนั้น ท่านเรียกว่า อญฺญา เพราะรู้ไม่เกินขอบเขตที่รู้ได้ด้วยมรรคญาณเบื้องต่ำและเพราะไม่มีกิจที่จะต้องรู้เบื้องสูง เพราะพระอรหันต์เป็นผู้มีความรู้บริบูรณ์แล้ว
               บทว่า สติ วา อุปาทิเสเส ได้แก่ เมื่อยังมีกิเลสเหลืออยู่ไม่สามารถจะละได้ หรือเมื่อมีญาณยังไม่แก่กล้า กิเลสที่ควรจะละได้ด้วยญาณอันแก่กล้านั้นก็ละไม่ได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงกิเลสนั้น จึงตรัสว่า สติ วา อุปาทิเสเส ดังนี้. และเมื่อยังมีกิเลสอยู่ การปรุงแต่งขันธ์ทั้งหลายก็ยังคงอยู่นั้นเอง.
               ในสูตรนี้ท่านแสดงธรรม ๒ อย่าง คือ อนาคามิผล ๑ อรหัตผล ๑ ด้วยประการฉะนี้. ในสูตร ๒ สูตรนอกจากนี้ก็เหมือนในสูตรนี้.
               ในคาถาทั้งหลาย มีอธิบายดังต่อไปนี้
               บทว่า เย สนฺตจิตฺตา ได้แก่ พระโยคาวรจรเหล่าใด ชื่อว่ามีจิตสงบแล้ว เพราะกิเลสสงบด้วยตทังคปหาน.
               ปัญญา ท่านเรียกว่า เนปกฺกํ (ปัญญาเครื่องรักษาตน). ชื่อว่านิปกา เพราะประกอบด้วยปัญญานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงญาณเครื่องบริหารกรรมฐานแก่ชนเหล่านั้น ด้วยบทว่า เนปกฺกํ นี้.
               บทว่า สติมนฺโต จ ฌายิโน ได้แก่ ชื่อว่ามีสติ เพราะสติอันเป็นเหตุไม่ละกรรมฐาน ในการยืนและการนั่งเป็นต้น. ชื่อว่ามีฌาน เพราะมีฌานมีลักษณะเข้าไปเพ่งอารมณ์.
               บทว่า สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสนฺติ กาเมสุ อนเปกฺขิโน ความว่า ไม่มีความเพ่งเล็ง คือไม่มีความต้องการในวัตถุกามและกิเลสกาม โดยนัยมีอาทิว่า กามทั้งหลายเปรียบเหมือนโครงกระดูกในก่อนนั้นแล ด้วยพิจารณาถึงโทษ ครั้นละกามทั้งหลายเหล่านั้นแล้วกระทำอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิให้เป็นบาท แล้วกำหนดนามรูปและปัจจัยแห่งนามรูปนั้น ย่อมเห็นธรรมคือขันธ์ ๕ ไม่วิปริตโดยชอบตามลำดับมีการพิจารณากลาปะ (กลุ่มก้อน) เป็นต้น โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น.
____________________________
๒- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๖๖๒   ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๗๔

               บทว่า อปฺปมาทรตา ได้แก่ ยินดี คือยินดียิ่งในความไม่ประมาท ด้วยการเจริญสมถะและวิปัสสนามีประการดังกล่าวแล้ว คือไม่ให้คืนและวันล่วงไปด้วยความประมาทในธรรมนั้น.
               บทว่า สนฺตา แปลว่า มีอยู่. บาลีว่า สตฺตา ดังนี้บ้าง. อธิบายว่า ได้แก่ บุคคล.
               บทว่า ปมาเท ภยทสฺสิโน ได้แก่ เห็นภัยในความประมาทมีการเข้าถึงนรกเป็นต้น.
               บทว่า อภพฺพาปริหานาย ได้แก่ ชนเห็นปานนั้นเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อความเสื่อมรอบจากธรรม คือสมถะและวิปัสสนา หรือจากมรรคผล ด้วยว่าชนทั้งหลายไม่เสื่อมจากสมาบัติ คือสมถวิปัสสนา และย่อมบรรลุมรรคผลที่ตนยังไม่บรรลุ.
               บทว่า นิพพานสฺเสว สนฺติเก ได้แก่ ในที่ใกล้แห่งนิพพานและแห่งอนุปาทิเสสนิพพานนั้นเอง. ไม่นานนัก ชนเหล่านั้นจักบรรลุนิพพานนั้นด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาสัลลานสูตรที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ทุติยวรรค สัลลานสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 222อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 223อ่านอรรถกถา 25 / 224อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=5275&Z=5294
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=4223
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=4223
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๖  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :