บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า สุปริหีนา ได้แก่ เสื่อมสุด. บทว่า เย อริยาย ปญฺญาย ปริหีนา ความว่า สัตว์เหล่าใดเสื่อมจากวิปัสสนาปัญญา และมรรคปัญญาอันเป็นอริยะ คือบริสุทธิ์ เพราะตั้งอยู่ไกลจากกิเลสทั้งหลาย ด้วยการรู้ความเกิดและความเสื่อมของขันธ์ ๕ และด้วยการแทงตลอดอริยสัจ ๔ สัตว์เหล่านั้นเสื่อม คือเสื่อมมากเหลือเกินจากสมบัติอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ. ถามว่า ก็สัตว์เหล่านั้นเป็นจำพวกอะไร. ตอบว่า เป็นความจริงดังนั้น สัตว์เหล่าใดประกอบด้วยเครื่องกั้นคือกรรม สัตว์เหล่านั้นเสื่อม คือพร่อง คือเสื่อมมากโดยส่วนเดียว โดยความเป็นผู้แน่นอนต่อความเห็นผิด. ดังที่ท่านกล่าวว่า ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา ทุคติเป็นอันหวังได้ ดังนี้ แม้พร้อมเพรียงด้วยเครื่องกั้นคือวิบาก ก็เสื่อม. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบในธรรมฝ่ายขาว ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิเว้นจากเครื่องกั้น ๓ อย่าง และเป็นผู้ประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณ ชื่อว่าไม่เสื่อม. คำที่เหลือ พึงทราบโดยทำนองอันมีนัยดังที่กล่าวแล้ว. ในคาถาทั้งหลายพึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ บทว่า ปญฺญาย เป็นปัญจมีวิภัตติ. ความว่า เพราะความเสื่อมไปจากวิปัสสนาญาณและมรรคญาณ หรือบทว่า ปญฺญาย นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ความว่า เพราะเสื่อมไปแห่งญาณดังที่ได้กล่าวแล้ว. อนึ่ง การไม่ให้เกิดขึ้นแห่งญาณที่ควรให้เกิดนั่นแล เป็นความเสื่อมในบทนี้. บทว่า นิวิฏฺฐํ นามรูปสฺมึ ได้แก่ ผู้ตั้งมั่นแล้ว คือหยั่งลงแล้วในนามรูป คือในอุปาทานขันธ์ ๕ ด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิโดยนัยมีอาทิว่า เอตํ มม นั่นของเราดังนี้ เพราะความเสื่อมไปจากปัญญานั้น บทว่า อิทํ สจฺจนฺติ มญฺญติ ได้แก่ ย่อมสำคัญว่านามรูปนี้เท่านั้นเป็นของจริง อย่างอื่นเป็นโมฆะดังนี้. พึงเปลี่ยนวิภัตติเป็น สเทวเก โลเก ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงธรรมฝ่ายเศร้าหมองในคาถาที่ ๑ อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงประกาศอานุภาพแห่งปัญญาว่า กิเลสวัฏย่อมเป็นไปด้วยความมั่นหมายและยึดมั่นในนามรูป เพื่อมิให้เกิดอันใด การเข้าไปตัดวัฏฏะเพื่อให้เกิดอันนั้น ดังนี้ จึงตรัสคาถาว่า ปญฺญา หิ เสฏฺฐา โลกสฺมึ ปัญญาแล ประเสริฐที่สุดในโลก ดังนี้ ในบทเหล่านั้น บทว่า โลกสฺมึ ได้แก่ สังขารโลก ธรรมเช่นกับปัญญาในสังขารทั้งหลาย ในสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่มีดุจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. จริงอยู่ กุศลธรรมทั้งหลายมีปัญญาเป็นอย่างยิ่ง และธรรมอันไม่มีโทษทั้งปวงเป็นอันสำเร็จ เพราะความสำเร็จแห่งปัญญา สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สมฺมาทิฏฺฐิสฺส สมฺมาสงฺกปฺโป โหติ ความดำริชอบย่อมมีแก่ผู้เห็นชอบดังนี้. ก็ปัญญาที่ประสงค์เอาในที่นี้ ท่านยกย่องว่าประเสริฐที่สุด เพื่อทรงแสดงถึงความเป็นไปนั้น จึงตรัสว่า ยายํ นิพฺเพธคามินี ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลส ดังนี้เป็นต้น. อธิบายความแห่งบทนั้นว่า ปัญญาใดอันให้ถึงความชำแรกกิเลสว่า ปัญญานี้ถึงความชำแรก คือทำลายกิเลสมีกองโลภะเป็นต้นอันยังไม่เคยชำแรก ยังไม่เคยทำลาย ย่อมไป ย่อมเป็นไป. โยคาวจรย่อมรู้ ย่อมทำให้แจ้งนิพพานและอรหัตอันเป็นที่สิ้นไป เป็นที่สุดแห่งชาติ กล่าวคือความเกิดครั้งแรกแห่งขันธ์ทั้งหลายในหมู่สัตว์ ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติและสัตตาวาส บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยกย่องพระขีณาสพ ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วย อธิบายความแห่งบทนั้นว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมกระหยิ่มรักใคร่ต่อพระ จบอรรถกถาปัญญาสูตรที่ ๔ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ทุติยวรรค ปัญญาสูตร จบ. |