ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 211อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 212อ่านอรรถกถา 25 / 213อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต
ปฐมวรรค อาตาปีสูตร

               อรรถกถาอาตาปีสูตร               
               ในอาตาปีสูตรที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อนาตาปี ได้แก่ ความเพียรชื่ออาตาปะ เพราะอรรถว่าเผากิเลสทั้งหลาย. ชื่อว่า อาตาปี เพราะมีความเพียร. ชื่อว่า อนาตาปี เพราะไม่มีความเพียร.
               ท่านอธิบายว่า เป็นผู้เกียจคร้านเว้นจากสัมมัปปธาน (ความเพียรชอบ). ความหวาดสะดุ้งต่อบาป ท่านเรียกว่าโอตตัปปะ. ชื่อว่าโอตตัปปี เพราะมีความหวาดสะดุ้ง. ชื่อว่าอโนตตัปปี เพราะไม่มีความหวาดสะดุ้ง ได้แก่ เว้นจากความหวาดสะดุ้ง.
               อีกอย่างหนึ่ง ความไม่มีความเพียรเป็นปฏิปักษ์ต่อความเพียร ได้แก่ความเกียจคร้าน ชื่อว่า อนาตาปี เพราะไม่มีความเพียร ความไม่หวาดสะดุ้งใดที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บุคคลย่อมไม่หวาดสะดุ้งต่อสิ่งที่ควรหวาดสะดุ้ง คือไม่หวาดสะดุ้ง เพราะเข้าถึงอกุศลธรรมอันลามก ความไม่หวาดสะดุ้งนั้นชื่อว่าอโนตตาปะ (ไม่มีความหวาดสะดุ้ง). ชื่อว่าอโนตตาปี เพราะไม่มีความหวาดสะดุ้ง.
               พึงทราบความในสูตรนี้ ด้วยประการฉะนี้
               บทว่า อภพฺโพ แปลว่า ไม่ควร.
               บทว่า สมฺโพธาย คือ เพื่ออริยมรรค.
               บทว่า นิพฺพานาย ได้แก่ เพื่ออมตมหานิพพานอันสงบกิเลสได้ โดยสิ้นเชิง.
               บทว่า อนุตฺตรสฺส โยคกฺเขมสฺส ได้แก่ อรหัตผล.
               จริงอยู่ อรหัตผลนั้นชื่อว่าเป็นอนุตระ (ชั้นเยี่ยม) เพราะไม่มีสิ่งที่ยิ่งกว่า ชื่อว่าเขมะ (เป็นแดนเกษม) เพราะไม่ถูกโยคะ ๔ เบียดเบียน ท่านจึงกล่าวว่านิพพาน และว่าเป็นแดนเกษมจากโยคะ.
               บทว่า อธิคมาย ได้แก่ เพื่อบรรลุ
               บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร.
               จริงอยู่ ผู้มีความเพียรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยวิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร) ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า๑- ผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้น มีกำลังใจ มีความเพียรมั่น ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. ชื่อว่าอาตาปี เพราะมีปกติเผากิเลสได้โดยสิ้นเชิง.
               บทว่า โอตฺตปฺปี ได้แก่ ชื่อว่ามีปกติเผากิเลส เพราะประกอบด้วยโอตตัปปะ ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า๒- บุคคลย่อมเผาสิ่งที่ควรเผา คือเผาความเกิดแห่งอกุศลธรรมอันลามก ดังนี้. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าโอตตัปปี.
____________________________
๑- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๕๗
๒- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๔๖

               จริงอยู่ ผู้ที่ประกอบด้วยหิริ และโอตตัปปะ เพราะเว้นจากอกุศลธรรมอันลามกนั้น ท่านว่าเป็นผู้มีโอตตัปปะ ด้วยประการฉะนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะ เป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย เป็นผู้ทำความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ท่านแสดงถึงสีลสัมปทาของผู้นั้น ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า อาตาปี ท่านแสดงถึงความที่บุคคลนั้นเป็นผู้ขวนขวายในสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา โดยแสดงถึงการเผากิเลสโดยนัยนี้.
               อนึ่ง ความเพียรตามที่กล่าวแล้ว เว้นเสียจากศรัทธา สติ สมาธิ ปัญญา จะมีไม่ได้ เพราะเหตุนั้น อินทรีย์อันมีศรัทธาครบ ๕ ทำวิมุตติให้แก่กล้า เป็นอันท่านกล่าวโดยอรรถเท่านั้น
               ในความสำเร็จเหล่านั้น สัญญาอันเป็นนิพเพธภาคี (ส่วนแห่งการตรัสรู้) ๖ อย่างคือ
                         สัญญาในสิ่งไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ๑
                         สัญญาในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์ ๑
                         สัญญาในทุกข์ว่าเป็นอนัตตา ๑
                         สัญญาในการละทุกข์ ๑
                         สัญญาในความสิ้นกำหนัด ๑
                         สัญญาในนิโรธ ๑
               เป็นความสำเร็จนั่นเอง.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงถึงความเป็นผู้ควรเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะศีลสมาธิปัญญาอันเป็นโลกิยะของผู้ประกอบด้วยธรรมสองเหล่านี้สำเร็จ จึงตรัสว่า อาตาปี จ โข ฯเปฯ อธิคมาย ภิกษุผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ ควรเพื่อจะตรัสรู้ ควรเพื่อนิพพาน ควรเพื่อจะบรรลุธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ดังนี้.
               ในคาถาทั้งหลาย มีอธิบายดังต่อไปนี้
               บทว่า กุสีโต ความว่า ชื่อว่ากุสีตะ เพราะจม พัวพัน เกี่ยวข้องด้วยธรรมอันลามกซึ่งน่าเกลียด ได้แก่กามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตก เพราะมากไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ หรือซ่านไปสู่ความน่าเกลียด พ้นไปจากการปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่ากุสีตะ แปลง อักษรเป็น อักษร.
               บทว่า หีนวีรโย ได้แก่ ไม่มีความเพียร คือเว้นจากการทำความเพียรในอิริยาบถ ๔ เป็นผู้มากไปด้วยถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน) เพราะถีนะอันเป็นความเกียจคร้านทางจิต มีสภาพหงอยเหงาเพราะไร้ความอุตสาหะ และมิทธะอันเป็นความเกียจคร้านทางกาย ไม่มีความองอาจ มีความคับแค้นเป็นสภาวะเป็นไปบ่อยๆ.
               ชื่อว่าไม่มีหิริ เพราะไม่มีหิริอันมีลักษณะเกลียดความชั่ว และเพราะประกอบด้วยความไม่มีหิริอันเป็นปฏิปักษ์ต่อหิรินั้น.
               ชื่อว่าไม่เอื้อเฟื้อ เพราะไม่มีความเอื้อเฟื้อในการปฏิบัติชอบ เพราะไม่มีหิริ โอตตัปปะ วิริยะ.
               อนึ่ง ชื่อว่าไม่เอื้อเฟื้อ เพราะไม่กระทำกิริยาสองอย่าง โดยธรรมและบุคคลแม้โดยไม่มีหิริและโอตตัปปะทั้งสองอย่าง.
               บทว่า ผุฏฺฐุํ คือ เพื่อถูกต้อง.
               บทว่า สมฺโพธิมุตฺตมํ ความว่า ไม่ควรเพื่อบรรลุพระอรหัตอันสูงสุด กล่าวคือสัมโพธิญาณ.
               บทว่า สติมา ได้แก่ มีสติโดยประกอบด้วยสติปัฏฐาน ๔ พร้อมกับมีความจำดี สามารถระลึกถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูดไว้นานแล้วได้.
               บทว่า นิปโก ได้แก่ มีปัญญารักษาตน เพราะประกอบด้วยความเฉลียวฉลาด กล่าวคือรู้สึกตัวในฐานะ ๗ อย่าง และกล่าวคือเข้าใจการรักษากรรมฐาน.
               บทว่า ฌายี ได้แก่ มีฌานด้วยฌาน ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์) ๑ ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ) ๑.
               บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ ไม่ประมาทด้วยกรรมฐานภาวนา โดยนัยมีอาทิว่า๓- ภิกษุย่อมชำระจิตจากอาวรณียธรรม (ธรรมป้องกันไม่ให้บรรลุความดี) ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน.
____________________________
๓- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๐๙

               บทว่า สํโยชนํ ชาติชราย เฉตฺวา ได้แก่ ตัดกิเลส ๑๐ อย่างมีกามราคะเป็นต้น อันได้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะประกอบสัตว์ไว้ด้วยชาติ และชราจากมูลรากด้วยการถอนอนุสัย (กิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน) ขาดแล้ว.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สํโยชนํ ชาติชราย เฉตฺวา ได้แก่ ตัดกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ด้วยชาติชราขาดแล้ว.
               อันที่จริง ผู้ที่ยังตัดสังโยชน์ขาดไม่ได้ ก็ยังตัดและถอนชาติชราไม่ได้ แต่ผู้ที่ตัดสังโยชน์ได้ ก็ตัดชาติชราขาดได้ เพราะถอนเหตุเสียได้ ฉะนั้น เมื่อตัดสังโยชน์ขาด ก็ชื่อว่าตัดชาติชราขาดได้ สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สํโยชนํ ชาติชราย เฉตฺวา ดังนี้.
               บทว่า อิเธว สมฺโพธิมนุตฺตรํ ผุเส ได้แก่ พึงถูกต้อง คือพึงบรรลุพระอรหัตอันล้ำเลิศได้ในอัตภาพนี้แล.

               จบอรรถกถาอาตาปีสูตรที่ ๗               
               -----------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ปฐมวรรค อาตาปีสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 211อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 212อ่านอรรถกถา 25 / 213อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=5015&Z=5033
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=2614
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=2614
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :