ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 193อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 194อ่านอรรถกถา 25 / 195อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต
ทุติยวรรค เสขสูตรที่ ๑

               อรรถกถาปฐมเสขสูตร               
               ในปฐมเสขสูตรพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               คำว่า เสกฺโข ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ มีความว่าอย่างไร ชื่อว่าเสกขะเพราะได้เสกขธรรม.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑-
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ.
               ภิกษุในธรรมวินัยนี้ประกอบด้วยทิฏฐิอันเป็นเสกขะ ฯลฯ ประกอบด้วยสมาธิอันเป็นเสกขะ.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเสกขะ เพราะยังต้องศึกษา แม้ข้อนี้ก็ตรัสไว้ว่า๒- สิกฺขตีติ โข ภิกฺขเว ตสฺมา เสกฺโขติ วุจฺจติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุยังต้องศึกษา ฉะนั้น จึงเรียกว่าเสกขะ.
____________________________
๑- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๕๑
๒- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๒๕

               ถามว่า ศึกษาอะไร?
               ตอบว่า ศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง เพราะยังต้องศึกษา ดังนี้แล ฉะนั้นจึงเรียกว่าเสกขะ. แม้ผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชนกระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรโดยไม่เห็นแก่นอนมากนัก ประกอบความเพียรด้วยการเจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้นราตรีปลาย ด้วยหวังว่า เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวันนี้หรือในวันพรุ่งนี้ ท่านก็เรียกว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษา.
               ในข้อนี้ ท่านประสงค์เอาพระเสกขะผู้ยังไม่แทงตลอด ที่แท้ก็เป็นกัลยาณปุถุชน.
               ชื่อว่า อปฺปตฺตมานโส เพราะอรรถว่า ยังไม่บรรลุอรหัตผล. ท่านกล่าวราคะว่าเป็นมานสะ ในบทนี้ว่า๓- บทว่า มานสํ ได้แก่ ราคะเที่ยวไป ดุจตาข่ายลอยอยู่บนอากาศ. ได้แก่จิตในบทนี้ว่า๔- จิต มนะ ชื่อว่ามานสะ. ได้แก่พระอรหัตในบทนี้ว่า๕- พระเสกขะยังไม่บรรลุพระอรหัต พึงทำกาละในหมู่ชน.
               ในสูตรนี้ท่านประสงค์เอาพระอรหัตอย่างเดียว ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นอันกล่าวได้ว่า อปฺปตฺตารหตฺตสฺส แปลว่า ยังไม่บรรลุพระอรหัต
____________________________
๓- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๔๕๙  วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๓๓
๔- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๙๒
๕- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๔๙๐

               บทว่า อนุตฺตรํ คือ ประเสริฐที่สุด. อธิบายว่า ไม่มีเหมือน.
               ชื่อว่า โยคกฺเขมํ เพราะเกษม คือไม่ถูกเบียดเบียนจากโยคะ ๔ ท่านประสงค์เอาพระอรหัตทีเดียว.
               บทว่า ปฏฺฐยมานสฺส ได้แก่ ความปรารถนาสองอย่าง คือ
                         ตณฺหาปฏฺฐนา (ความปรารถนาด้วยตัณหา) ๑
                         ฉนฺทปฏฺฐนา (ความปรารถนาด้วยความพอใจ) ๑.
               ตณฺหาปฏฺฐนา ได้ในบทนี้ว่า๖-
                                   ปรารถนา กระซิบกระซาบถึงตัณหา
                         หรือ บ่นถึงแต่ในการประดับตกแต่ง.
               กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทปฏฺฐนา ปรารถนาความพอใจในกุศลใคร่จะทำ ได้ในบทนี้ว่า๗-
                                   กระแสตัณหาของคนลามก ถูกตัดแล้ว
                         ถูกกำจัดแล้ว ถูกทำให้หมดมานะแล้ว
                                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง
                         เป็นผู้มากไปด้วยความปราโมทย์เถิด จง
                         ปรารถนาความเกษมเถิด.
____________________________
๖- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๔๒๐  ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๖๓๕
๗- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๓๙๑

               ในที่นี้ท่านประสงค์เอา ฉันทปัฏฐนานี้แล. ด้วยเหตุนั้น บทว่า ปตฺถยมานสฺส จึงมีอธิบายว่า เป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำความเกษมจากโยคะนั้น คือน้อม โน้ม โอนไปสู่ความเกษมนั้น.
               บทว่า วิหรโต ได้แก่ตัดขาดทุกข์ในอิริยาบถหนึ่ง ด้วยอิริยาบถหนึ่ง แล้วนำอัตภาพอันยังไม่ตกไป.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความในบทนี้โดยนิเทศนัย (ชี้แจ้ง) มีอาทิว่า ภิกษุน้อมไปอยู่ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงย่อมอยู่ด้วยศรัทธา.
               บทว่า อชฺฌตฺติกํ ได้แก่ มีอยู่ในภายใน คือภายในตน ชื่อว่าอัชฌัตติกะ.
               บทว่า องฺคํ ได้แก่ เหตุ.
               บทว่า อิติ กริตฺวา คือ ทำอย่างนี้.
               ความย่อในบทนี้ว่า น อญฺญํ เอกงฺคมฺปิ สมนุปสฺสามิ นี้มีดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้เหตุหนึ่งอย่างอื่น กระทำเหตุอันมีในภายใน คือเหตุที่ตั้งอยู่ในสันดานของตนอย่างนี้.
               บทว่า เอวํ พหุปการํ ยถยิทํ โยนิโสมนสิกาโร ได้แก่ มนสิการโดยอุบาย มนสิการโดยคลองธรรม มนสิการโดยนัยในอนิจจลักษณะเป็นต้นว่า เป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น หรือการพิจารณา การตามพิจารณา การรำพึง การใคร่ครวญ การใส่ใจ อนุโลมในของไม่เที่ยงนี้ ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ.
               บัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงอานุภาพแห่งโยนิโสมนสิการ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมนสิการอยู่โดยแยบคาย ย่อมละอกุศล ย่อมเจริญกุศล ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า โยนิโส มนสิกโรนฺโต ความว่า ยังโยนิโสมนสิการให้เป็นไปในอริยสัจ ๔ ว่า นี้ทุกขอริยสัจ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดังนี้.
               ต่อไปนี้เป็นความอธิบายอย่างแจ่มแจ้งในอริยสัจ ๔ นั้น พระสูตรนี้หมายเอาเสกขบุคคลโดยไม่แปลกกันโดยแท้ แต่เราจักกล่าวกรรมฐานด้วยสามารถมรรค ๔ ผล ๔ โดยทั่วไป โดยสังเขป
               พระโยคาวจรใดผู้บำเพ็ญกรรมฐาน คืออริยสัจ ๔ เป็นผู้บำเพ็ญกรรมฐาน คืออริยสัจ ๔ ในสำนักอาจารย์มาก่อนอย่างนี้ว่า ขันธ์ทั้งหลายอันเป็นไปในภูมิ ๓ มีตัณหา เป็นโทษ เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความไม่เป็นไปของทั้งสองนั้นเป็นความดับทุกข์ การให้ถึงความดับทุกข์ เป็นมรรค ดังนี้
               สมัยต่อมา พระโยคาวจรนั้นขึ้นสู่วิปัสสนามรรค ย่อมพิจารณาขันธ์อันเป็นไปในภูมิ ๓ โดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ คือพิจารณาและเห็นแจ้งโดยอุบาย คือโดยคลองธรรม. ความจริง ในสูตรนี้ ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาด้วยหัวข้อมนสิการ พระโยคาวจรย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า ตัณหามีในภพก่อนอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น ชื่อว่าทุกขสมุทัย ย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า ก็เพราะนี้ทุกข์ นี้สมุทัย ทุกข์ทั้งหลายถึงฐานะนี้แล้ว ย่อมดับ ย่อมไม่เป็นไป ฉะนั้นจึงถือว่า นิพพาน นี้คือทุกขนิโรธ พระโยคาวจรย่อมมนสิการโดยแยบคาย ย่อมพิจารณาและย่อมเห็นแจ้งมรรคมีองค์ ๘ อันทำให้ถึงความดับทุกข์โดยอุบายโดยคลองว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
               ในข้อนั้น ชื่อว่ายึดมั่นโดยอุบายนี้ย่อมมีในขันธ์ ๕ ไม่มีในนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายดังต่อไปนี้
               พระโยคาวจรยึดมหาภูตรูป ๔ โดยนัยมีอาทิว่า ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ มีอยู่ในกายนี้ และอุปาทารูป โดยทำนองเดียวกับมหาภูตรูป ๔ นั้น แล้วกำหนดว่า นี้รูปขันธ์ ดังนี้. เมื่อให้กำหนดดังนั้น จึงกำหนดถึงธรรม คือจิตและเจตสิก อันมีรูปขันธ์นั้นเป็นอารมณ์ว่า ธรรมเหล่านี้คืออรูปขันธ์ ๔ จากนั้นย่อมกำหนดว่า ขันธ์ ๕ เหล่านี้เป็นทุกข์ ก็ขันธ์ ๕ เหล่านั้นโดยย่อมีสองส่วน คือนามและรูป พระโยคาวจรย่อมกำหนดเหตุและปัจจัยว่า ก็นามรูปนี้มีเหตุมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น อวิชชาภพตัณหาเป็นต้น นี้เป็นเหตุของนามรูปนั้น อาหารเป็นต้นเป็นปัจจัยของนามรูปนั้น.
               พระโยคาวจรนั้นกำหนดลักษณะพร้อมด้วยกิจรสของปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้น และธรรมที่เกิดโดยปัจจัยตามความเป็นจริงแล้ว ยกขึ้นสู่อนิจจลักษณะว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีแล้ว ครั้นมีแล้วย่อมดับไป เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงไม่เที่ยง ย่อมยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดความเสื่อมเบียดเบียน ย่อมยกขึ้นสู่อนัตตลักษณะว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ.
____________________________
๘- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๗๘

               พระโยคาวจร ครั้นยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์อย่างนี้แล้ว เห็นแจ้งอยู่กำหนดทางและมิใช่ทางว่า เมื่อวิปัสสนูปกิเลสมีแสงสว่างเป็นต้นเกิดขึ้นในขณะอุทยัพพยญาณเกิด นี้ไม่ใช่ทาง อุทยัพพยญาณเท่านั้นเป็นอุบาย คือเป็นทางอันเป็นส่วนเบื้องต้นของอริยมรรคแล้ว ยังอุทยัพพยญาณและภังคญาณเป็นต้นให้เกิดขึ้นตามลำดับ ย่อมบรรลุโสดาปัตติมรรคเป็นต้น
               ในขณะนั้น พระโยคาวจรย่อมแทงตลอดอริยสัจ ๔ โดยการแทงตลอดครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้ครั้งเดียวในอริยสัจนั้น พระโยคาวจรย่อมแทงตลอดทุกข์ด้วยการแทงตลอดด้วยกำหนดรู้ ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้ครั้งเดียวในอริยสัจนั้น พระโยคาวจรแทงตลอดทุกข์ด้วยการแทงตลอดด้วยกำหนดรู้ แทงตลอดสมุทัยโดยแยบคายด้วยการแทงตลอดด้วยการละ ย่อมละอกุศลทั้งปวงได้.
               พระโยคาวจรแทงตลอดนิโรธโดยการตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้งแทงตลอดมรรคโดยการตรัสรู้ด้วยภาวนา ย่อมเจริญกุศลทั้งปวง.
               จริงอยู่ อริยมรรคชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่ากำจัดสิ่งที่น่าเกลียดโดยตรง ก็เมื่อเจริญอริยมรรคแล้ว โพธิปักขิยธรรมอันหาโทษมิได้ เป็นกุศลแม้ทั้งหมดก็ย่อมถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจร เมื่อมนสิการโดยแยบคายอย่างนี้ ย่อมละอกุศลเสียได้ ย่อมเจริญธรรมที่เป็นกุศล.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเป็นอาทิว่า
               พระโยคาวจรย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า๙- นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัยดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแม้ข้ออื่นอีกว่า๑๐- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุถึงพร้อมแล้วด้วยโยนิโสมนสิการ ภิกษุจักเจริญมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นอริยะที่จะพึงหวังได้ จักทำให้มากซึ่งมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นอริยะ ดังนี้.
____________________________
๙- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๒
๑๐- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๑๔

               ต่อไปนี้เป็นความย่อแห่งคาถาว่า โยนิโส มนสิกาโร
               ชื่อว่าเสกขะ เพราะยังต้องศึกษาสิกขาบททั้งหลาย หรือเพราะยังมีการศึกษาอยู่เป็นปกติ. ชื่อว่าภิกษุ เพราะเห็นภัยในสงสาร ธรรมไรๆ อื่นที่มีอุปการะมากเหมือนอย่างโยนิโสมนสิการ เพื่อให้ภิกษุผู้ยังเป็นเสกขะนั้นบรรลุพระอรหัตอันมีประโยชน์อย่างสูงสุด ย่อมไม่มี.
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะพระโยคาวจรมุ่งมนสิการ โดยอุบายอันแยบคาย แล้วเริ่มตั้งความเพียรด้วยสัมมัปปธาน ๔ อย่าง พึงถึงความสิ้นทุกข์ได้ คือพึงถึง พึงบรรลุพระนิพพานอันเป็นที่สิ้นสุดวัฏทุกข์อันเศร้าหมองสิ้นเชิง ฉะนั้น โยนิโสมนสิการจึงเป็นธรรมมีอุปการะมาก ดังนี้.

               จบอรรถกถาปฐมเสกขสูตรที่ ๖               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ทุติยวรรค เสขสูตรที่ ๑ จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 193อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 194อ่านอรรถกถา 25 / 195อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=4644&Z=4660
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=1503
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=1503
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๘  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :