ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 161อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 162อ่านอรรถกถา 25 / 169อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ จุนทสูตร

               อรรถกถาจุนทสูตร               
               จุนทสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า มลฺเลสุ ได้แก่ ในชนบท มีชื่ออย่างนั้น.
               บทว่า มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน ได้แก่ ชื่อว่า ใหญ่ เพราะใหญ่โดยคุณและใหญ่โดยจำนวน.
               จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้น ชื่อว่าใหญ่ แม้โดยประกอบด้วยคุณพิเศษมีศีลเป็นต้น เพราะในบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้ล้าหลังเขาทั้งหมดก็เป็นพระโสดาบัน ชื่อว่าใหญ่ ด้วยการใหญ่โดยจำนวน เพราะกำหนดจำนวนไม่ได้. จริงอยู่ จำเดิมตั้งแต่เวลาปลงอายุสังขาร ภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้ว มาแล้วไม่ได้หลีกไปเลย.
               บทว่า จุนฺทสฺส ได้แก่ ผู้มีชื่ออย่างนั้น.
               บทว่า กมฺมารปุตฺตสฺส ได้แก่ บุตรของนายช่างทอง.
               เล่ากันมาว่า บุตรของนายช่างทองนั้น เป็นคนมั่งคั่ง เป็นกุฏุมพีใหญ่ เป็นพระโสดาบัน โดยการเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นครั้งแรกนั่นเอง จัดแจงพระคันธกุฎี อันควรแก่การประทับอยู่ของพระศาสดา และที่พักกลางคืน และที่พักกลางวันแก่ภิกษุสงฆ์ และจัดโรงฉัน กุฏิ มณฑปและที่จงกรม แก่ภิกษุสงฆ์ ในสวนอัมพวันของตน แล้วสร้างวิหาร อันประกอบด้วยซุ้มประตู ล้อมด้วยกำแพง มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในอัมพวันของนายจุนทะบุตรของช่างทอง ใกล้เมืองปาวานั้น ดังนี้.
               บทว่า ปฏิยาทาเปตฺวา ความว่า ให้จัดแจง คือ ให้หุงต้ม.
               บทว่า สูกรมทฺทวํ นี้ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถาว่า เนื้อสุกรทั่วไป ที่อ่อนนุ่มสนิท. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า สูกรมทฺทวํ ความว่า ไม่ใช่เนื้อสุกร แต่เป็นหน่อไม้ไผ่ ที่พวกสุกรแทะดุน. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า เห็ด ที่เกิดในถิ่นที่พวกสุกรแทะดุน. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า บ่อเกิดแห่งรสชนิดหนึ่ง อันได้นามว่า สุกรอ่อน.
               อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ก็นายจุนทะบุตรของนายช่างทอง สดับคำนั้นว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จปรินิพพานแล้ว คิดว่า ไฉนหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงเสวยเนื้อสุกรอ่อนนี้แล้ว พึงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน ดังนี้แล้ว จึงได้ถวายเพื่อประสงค์จะให้พระศาสดา ดำรงพระชนมายุได้ตลอดกาลนาน.
               บทว่า เตน มํ ปริวิส ได้แก่ จงให้เราบริโภคด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น.
               ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น?
               เพราะทรงมีความเอ็นดูแก่สัตว์อื่น. ก็เหตุนั้นพระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ในพระบาลีนั่นแล. ด้วยเหตุนั้น เป็นอันพระองค์ทรงแสดงว่า ควรจะกล่าวอย่างนั้น เพราะภิกษาเขานำมาเฉพาะ และคนอื่นไม่ควรจะบริโภค.
               ได้ยินว่า เทวดาในมหาทวีปทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปละ ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร ใส่โอชารสลงในสุกรอ่อนนั้น. เพราะฉะนั้น ใครๆ อื่นไม่อาจจะให้เนื้อสุกรอ่อนนั้นย่อยได้โดยง่าย.
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความนั้น เพื่อจะปลดเปลื้องความว่าร้ายของคนอื่น จึงทรงบันลือสีหนาท โดยนัยมีอาทิว่า จุนทะ เราไม่เห็นเนื้อสุกรอ่อนนั้น. จริงอยู่ เพื่อจะปลดเปลื้องการว่าร้ายของชนอื่นผู้ว่าร้ายว่า ไม่ให้ของที่เหลือจากที่ตนบริโภคแก่ภิกษุ ไม่ให้แก่คนเหล่าอื่น ให้ฝังไว้ในบ่อ ทำให้พินาศ ด้วยคำว่า โอกาสแห่งคำนั้น จงอย่ามี ดังนี้ พระองค์จึงทรงบันลือสีหนาท.
               บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า สเทวเก เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
               ชื่อว่าสเทวกะ เพราะเป็นไปกับด้วยเทวดาทั้งหลาย. ชื่อว่าสมารกะ เพราะเป็นไปกับด้วยมาร. ชื่อว่าสพรหมกะ เพราะเป็นไปกับด้วยพรหม. ชื่อว่าสัสสมณพราหมณี เพราะเป็นไปกับด้วยสมณพราหมณ์. ชื่อว่าปชา เพราะเป็นสัตว์เกิด. ชื่อว่าสเทวมนุสสา เพราะเป็นไปกับด้วยเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ในโลกนั้น พร้อมด้วยเทวโลก ฯลฯ พร้อมด้วยเทวดาและมนุษย์.
               ในคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า สเทวกะ หมายเอาเทวดาชั้นปัญจกามาวจร. ด้วยคำว่า สมารกะ หมายเอาเทวดาชั้นกามาวจรที่ ๖. ด้วยคำว่า สพรหมกะ หมายเอาพรหมชั้นพรหมกายิกาเป็นต้น. ด้วยคำว่า สัสสมณพราหมณี หมายเอาสมณะผู้เป็นข้าศึก และพราหมณ์ผู้เป็นศัตรูต่อพระศาสนา และหมายเอาสมณะผู้สงบบาป และพราหมณ์ผู้ลอยบาป. ด้วยคำว่า ปชา หมายเอาสัตวโลก. ด้วยคำว่า สเทวมนุสสะ หมายเอาเทวดาโดยสมมติ และมนุษย์ที่เหลือ.
               ในบทเหล่านั้น ด้วย ๓ บท พึงทราบว่า ท่านถือเอาสัตวโลก โดยโอกาสโลก ด้วย ๒ บท พึงทราบว่า ท่านถือเอาสัตวโลก โดยหมู่สัตว์. พึงทราบอีกนัยหนึ่งดังต่อไปนี้ ด้วยคำว่า สเทวกะ ท่านหมายเอาเทวโลกชั้นอรูปาวจร. ด้วยคำว่า สมารกะ ท่านหมายเอาเทวโลกชั้นฉกามาวจร. ด้วยคำว่า สพรหมกะ ท่านหมายเอาพรหมโลกชั้นรูปาวจร ด้วยคำว่า สัสสมณพราหมณ์เป็นต้น พึงทราบว่า ท่านหมายเอามนุษยโลกพร้อมด้วยเทพโดยสมมติ ด้วยอำนาจบริษัท ๔ หรือพึงทราบว่า ท่านหมายเอาสัตวโลกที่เหลือ.
               บทว่า ภุตฺตาวิสฺส ได้แก่ ผู้บริโภคอยู่.
               บทว่า ขโร แปลว่า หยาบ.
               บทว่า อาพาโธ ได้แก่ โรคอันไม่ถูกส่วนกัน.
               บทว่า พาฬฺหา ได้แก่ มีกำลัง.
               บทว่า มรณนฺติกา ได้แก่ กำลังจะตาย คือสามารถจะให้ผู้ป่วยถึงเวลาใกล้ตาย.
               บทว่า สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ ความว่า ตั้งสติไว้ด้วยดี กำหนดด้วยญาณยับยั้งอยู่.
               บทว่า อวิหญฺญมาโน ความว่า ไม่กระทำให้เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เหมือนธรรมที่ไม่ได้กำหนด โดยอนุวัตตามเวทนา ยับยั้งอยู่ เหมือนไม่ถูกรบกวน ไม่ได้รับความลำบาก.
               จริงอยู่ เวทนาเหล่านั้นเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในหมู่บ้านเวฬุวคามนั่นเอง แต่ถูกพลังแห่งสมาบัติข่มไว้ จึงไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งวันปรินิพพาน เพราะให้สมาบัติน้อมไปเฉพาะทุกๆ วัน. แต่พระองค์ประสงค์จะปรินิพพานในวันนั้น จึงไม่เข้าสมาบัติ เพื่อให้สัตว์เกิดความสังเวชว่า แม้ทรงพลังช้าง ๑,๐๐๐ โกฏิเชือกมีกายเสมอกับด้วยเรือนเพชร มีบุญสมภารที่สั่งสมตลอดกาลประมาณมิได้ เมื่อภพยังมีอยู่ เวทนาเห็นปานนี้ก็ย่อมเป็นไป จะป่วยกล่าวไปไยถึงสัตว์เหล่าอื่นเล่า เพราะเหตุนั้น เวทนาจึงเป็นไปอย่างแรงกล้า.
               บทว่า อายาม แปลว่า มาไปกันเถอะ.
               ภายหลัง พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้ตั้งคาถา ซึ่งมีอาทิว่า จุนฺทสฺส ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุตฺตสฺส จ สูกรมทฺทเวน ความว่า เกิดพยาธิอย่างแรงกล้าแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสวย เพราะไม่ใช่ทรงเสวยพระกระยาหารเป็นปัจจัย. เพราะถ้าโรคอย่างแรงกล้าจักเกิด คือจักได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มิได้เสวยพระกระยาหารแล้วไซร้ แต่เพราะพระองค์เสวยพระกระยาหารอันสนิท เวทนาจึงได้เบาบางลง ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงไม่สามารถจะเสด็จไปได้ด้วยพระบาท. พระองค์จึงทรงแสดงสีหนาท ที่พระองค์ทรงบันลือว่า กระยาหารที่ผู้ใดบริโภคแล้วพึงถึงความย่อยไปโดยชอบ ฯลฯ เว้นพระตถาคต ดังนี้ ให้เป็นประโยชน์.
               จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า เสียงที่กระหึ่มในฐานะที่ไม่สมควร ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะเหตุที่พระกระยาหารที่พระองค์ทรงเสวยแล้ว ไม่ทำวิการอะไรๆ ให้เกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระกระยาหารซึ่งเป็นสิ่งแสลง ที่กรรมอันได้ช่องแล้วเข้าไปยึดถือ สงบไปโดยประมาณน้อย จึงทำพลังให้เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุให้ประโยชน์ ๓ อย่างตามที่จะกล่าวให้สำเร็จ ฉะนั้น พระกระยาหารนั้นจึงถึงความย่อยไปโดยชอบทีเดียว แต่เพราะเวทนาถึงปางตายที่ใครๆ ไม่รู้แล้วไม่ปรากฏแล้ว จึงได้มี ฉะนี้แล.
               บทว่า วิริจฺจมาโน ได้แก่ เป็นผู้ทรงพระบังคนหนักเป็นพระโลหิตเป็นไปเนืองๆ.
               บทว่า อโวจ ความว่า พระองค์ได้ตรัสอย่างนั้น เพื่อประโยชน์แก่ปรินิพพานในที่ที่พระองค์ทรงปรารถนา.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุที่เมื่อโรคเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จไปยังกรุงกุสินารา เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่สามารถปรินิพพานในที่อื่น?
               ตอบว่า เพราะพระองค์ไม่สามารถจะปรินิพพานในที่ไหนๆ หามิได้ แต่พระองค์ทรงดำริอย่างนี้ว่า เมื่อเราไปยังกรุงกุสินารา อัตถุปัตติเหตุในการแสดงมหาสุทัสสนสูตร ก็จักมีสมบัติอันใด อันเช่นกับสมบัติที่เราพึงเสวยในเทวโลก ด้วยอัตถุปปัตติเหตุนั้น เราก็ได้เสวยแล้วในมนุษยโลก เราจักประดับสมบัตินั้นด้วยภาณวารทั้ง ๒ แล้ว จักแสดงธรรม ชนเป็นอันมากได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็จักสำคัญถึงกุศลที่ตนควรกระทำ
               ในที่นั้น แม้สุภัททะก็จักมาเฝ้าเรา ถามปัญหา ในที่สุดการแก้ปัญหาจึงตั้งอยู่ในสรณะ ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว เจริญกัมมัฏฐาน บรรลุพระอรหัต ในเมื่อเรายังทรงชีพอยู่นั่นแล จักเป็นผู้ชื่อว่าปัจฉิมสาวก
               เมื่อเราปรินิพพานในที่อื่นเสีย ความทะเลาะก็จักมี เพราะธาตุเป็นเหตุ โลหิตจักไหลไปเหมือนแม่น้ำ แต่เมื่อเราปรินิพพานในกรุงกุสินารา โทณพราหมณ์ก็จักสงบวิวาทนั้น แบ่งธาตุทั้งหลายให้ไปดังนี้
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเห็นเหตุ ๓ ประการดังว่ามานี้ จึงได้เสด็จไปยังกรุงกุสินารา ด้วยความอุตสาหะใหญ่.
               ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาตใช้ในโจทนัตถะ.
               บทว่า กิลนฺโตสฺมิ ความว่า เราเป็นผู้ซูบซีด.
               ด้วยบทนั้น ทรงแสดงเฉพาะเวทนาตามที่กล่าวแล้วว่ามีกำลังรุนแรงทีเดียว.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จดำเนินไปในกาลนั้น ด้วยอานุภาพของพระองค์ ก็เวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อน เป็นไปโดยประการที่คนเหล่าอื่นไม่สามารถทำการยกเท้าขึ้นได้ เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า เราจักนั่ง ดังนี้.
               บทว่า อิทานิ แปลว่า ในกาลนี้.
               บทว่า ลุลิตํ ได้แก่ อากูล เหมือนถูกย่ำยี.
               บทว่า อาวิลํ แปลว่า ขุ่นมัว.
               บทว่า อจฺโฉทกา ได้แก่ น้ำที่ใสน้อย.
               บทว่า สาโตทกา ได้แก่ น้ำที่มีรสอร่อย.
               บทว่า สีโตทกา ได้แก่ น้ำเย็น.
               บทว่า เสโตทกา ได้แก่ น้ำปราศจากเปือกตม.
               จริงอยู่ น้ำ โดยสภาวะมีสีขาว แต่กลายเป็นอย่างอื่น ด้วยอำนาจพื้นที่ และขุ่นมัวไปด้วยเปือกตม. แม่น้ำ แม้ขาว มีทรายหยาบสะอาด เกลื่อนกล่นมีสีขาวไหลไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เสโตทกา น้ำขาว.
               บทว่า สุปติฏฺฐา แปลว่า ท่าดี.
               บทว่า รมณียา ความว่า อันบุคคลพึงยินดี โดยเป็นส่วนภูมิภาคอันเป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ และชื่อว่าเป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ เพราะสมบูรณ์ด้วยน้ำตามที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า กิลนฺโตสฺมิ จุนฺท นิปชฺชิสฺสามิ ความว่า ในบรรดาตระกูลช้าง ๑๐ ตระกูลที่พระตถาคตตรัสไว้อย่างนี้ว่า
                         ช้าง ๑๐ เชือกเหล่านี้ คือ ช้างตระกูลกาฬาวกะ ๑
                         ช้างตระกูลคังเคยยะ ๑ ช้างตระกูลปัณฑระ ๑
                         ช้างตระกูลตัมพะ ๑ ช้างตระกูลปิงคละ ๑
                         ช้างตระกูลคันธะ ๑ ช้างตระกูลมังคละ ๑
                         ช้างตระกูลเหมะ ๑ ช้างตระกูลอุโบสถ ๑
                         ช้างตระกูลฉัททันต์ ๑.

               กำลังแห่งช้างตามปกติ ๑๐ เชือก กล่าวคือช้างตระกูลกาฬาวกะ ตามที่กล่าวแล้วอย่างนี้ เป็นกำลังของช้างตระกูลคังเคยยะ ๑ เชือก รวมความว่าโดยการคำนวณที่คูณด้วย ๑๐ แห่งช้างตามปกติ กำลังกายพระตถาคตซึ่งมีประมาณกำลัง ๑,๐๐๐ โกฏิเชือกทั้งหมดนั้นถึงซึ่งความสิ้นไป เหมือนน้ำที่เขาใส่ไว้ในกระบอกกรองน้ำ ตั้งแต่ภายหลังภัตรในวันนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากเมืองปาวา ๓ คาวุต จากกุสินารา ประทับนั่งในระหว่างนี้ ในที่ ๒๕ (คาวุต) กระทำความอุตสาหะใหญ่ เสด็จมาถึงกรุงกุสินาราในเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต. พระองค์ทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าโรคย่อมมาย่ำยีบุคคลผู้ไม่มีโรคทั้งหมดได้ ด้วยประการฉะนี้ เมื่อจะตรัสพระวาจาอันกระทำความสังเวชแก่สัตวโลก พร้อมทั้งเทวโลก จึงตรัสว่า จุนทะ เราเป็นผู้เหน็ดเหนื่อย จักนอนละ ดังนี้.
               การนอนในคำว่า สีหเสยฺยํ นี้ มี ๔ อย่าง คือ๑-
                         การนอนของบุคคลผู้บริโภคกาม ๑
                         การนอนของพวกเปรต ๑
                         การนอนของพระตถาคต ๑
                         การนอนของพวกสีหะ ๑.
               ในบรรดาการนอน ๔ อย่างนั้น การนอนที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้บริโภคกาม โดยมากย่อมนอนตะแคงซ้าย นี้ชื่อว่า การนอนของผู้บริโภคกาม. การนอนที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเปรตโดยมากย่อมนอนหงาย นี้ชื่อว่า การนอนของพวกเปรต. ฌานที่ ๔ ชื่อว่าการนอนของพระตถาคต. การนอนที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระยาราชสีห์ย่อมนอนตะแคงขวา นี้ชื่อว่าการนอนของสีหะ.
               จริงอยู่ การนอนของสีหะนี้ ชื่อว่าเป็นการนอนอย่างสูงสุด เพราะมีอิริยาบถอันสูงขึ้นเพราะเดช. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมสำเร็จการนอนอย่างสีหะโดยตะแคงขวา ดังนี้.
____________________________
๑- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๔๖

               บทว่า ปาเท ปาทํ ได้แก่ ซ้อนพระบาทซ้ายเหลื่อมพระบาทขวา.
               บทว่า อจฺจาธาย แปลว่า ซ้อน คือวางข้อเท้าให้เหลื่อม.
               จริงอยู่ เมื่อข้อเท้าต่อข้อเท้า เมื่อเข่าต่อเข่าเบียดเสียดกัน เวทนาย่อมเกิดขึ้นเนืองๆ การนอนย่อมไม่ผาสุก. แต่เมื่อวางข้อเท้าให้เหลื่อมกันโดยที่ไม่เบียดเสียดกัน เวทนาย่อมไม่เกิด การนอนก็ผาสุก. เพราะฉะนั้น พระองค์จึงบรรทมอย่างนี้.
               คาถาเหล่านี้ว่า คนฺตฺวาน พุทฺโธ พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายรจนาขึ้นภายหลัง.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นทิกํ ได้แก่ ซึ่งแม่น้ำ.
               บทว่า อปฺปฏิโมธ โลเก ได้แก่ ไม่มีผู้เปรียบปานในโลกนี้ คือในโลก พร้อมด้วยเทวโลกนี้.
               บทว่า นหาตฺวา ปิวิตฺวา อุทตาริ ได้แก่ ทรงสรงสนานโดยกระทำให้พระวรกายเย็น และทรงดื่มน้ำแล้วเสด็จขึ้นจากน้ำ.
               ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรงสนาน สิ่งทั้งหมด คือปลาและเต่าภายในแม่น้ำ น้ำ ไพรสณฑ์ที่ฝั่งทั้งสองและภูมิภาคทั้งหมดนั้น ได้กลายเป็นดังสีทองไปทั้งนั้น.
               บทว่า ปุรกฺขโต ความว่า อันโลกพร้อมทั้งเทวโลก ชื่อว่ากระทำไว้ในเบื้องหน้า โดยการบูชาและการนับถือ เพราะพระองค์เป็นครูผู้สูงสุดแก่สัตว์ โดยพิเศษด้วยคุณ.
               บทว่า ภิกฺขุคณสฺส มชฺเฌ แปลว่า ในท่ามกลางของภิกษุสงฆ์.
               ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้รับเวทนาเกินประมาณ จึงไปแวดล้อมอยู่โดยรอบอย่างใกล้ชิด.
               บทว่า สตฺถา ความว่า ชื่อว่าศาสดา เพราะทรงโปรยปรายอนุศาสนีแก่เหล่าสัตว์ ด้วยประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในสัมปรายภพ และปรมัตถประโยชน์.
               บทว่า ปวตฺตา ภควาธ ธมฺเม ความว่า พระศาสดา ชื่อว่าภควา เพราะเป็นผู้มีภาคยธรรมเป็นต้น ทรงประกาศศาสนธรรมมีศีลเป็นต้น ในพระศาสนานี้ คือทรงขยายพระธรรมหรือพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ให้แพร่หลาย.
               บทว่า อมฺพวนํ ได้แก่ สวนอัมพวัน ใกล้ฝั่งแม่น้ำนั่นเอง.
               บทว่า อามนฺตยิ จุนฺทกํ ความว่า ได้ยินว่า ในขณะนั้น ท่านพระอานนท์มัวบิดผ้าอาบน้ำอยู่จึงล่าช้า พระจุนทกเถระได้อยู่ใกล้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเรียกท่านมา.
               บทว่า ปมุเข นิสีทิ ได้แก่ นั่งอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา โดยยกวัตรขึ้นเป็นประธาน. ด้วยคำเพียงเท่านี้ว่า เพราะเหตุไรหนอ พระศาสดาจึงตรัสเรียก ดังนี้ พระอานนท์ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก ก็มาถึงตามลำดับ. ครั้นท่านพระอานนท์มาถึงตามลำดับอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกมา.
               บทว่า อุปฺปาทเหยฺย แปลว่า พึงให้เกิดขึ้น. อธิบายว่า ใครๆ ผู้ทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้น จะพึงมีบ้าง.
               บทว่า อลาภา ความว่า ข้อที่บุคคลเหล่าอื่นให้ทาน จะจัดว่าเป็นลาภ กล่าวคืออานิสงส์แห่งทานหาได้ไม่.
               บทว่า ทุลฺลทฺธํ ความว่า ความได้เป็นอัตภาพเป็นมนุษย์ แม้ที่ได้ด้วยบุญพิเศษ จัดว่าเป็นการได้โดยยาก.
               บทว่า ยสฺส เต แก้เป็น ยสฺส ตว แปลว่า ของท่านใด. ใครจะรู้ บิณฑบาตนั้นว่า หุงไว้ไม่สุก หรือเปียกเกินไป. พระตถาคตทรงเสวยบิณฑบาตครั้งสุดท้ายแม้เช่นไร จึงเสด็จปรินิพพาน จักเป็นอันท่านถวายไม่ดีแน่แท้.
               บทว่า ลาภา ได้แก่ ลาภ กล่าวคืออานิสงส์แห่งทานที่มีในปัจจุบัน และสัมปรายภพ.
               บทว่า สุลทฺธํ ความว่า ความเป็นมนุษย์ ท่านได้ดีแล้ว.
               บทว่า สมฺมุขา แปลว่า โดยพร้อมหน้า ไม่ใช่โดยได้ยินมา อธิบายว่า ไม่ใช่โดยเล่าสืบๆ กันมา.
               บทว่า เมตํ ตัดเป็น เม เอตํ หรือ มยา เอตํ แปลว่า ข้อนั้นเราได้รับทราบแล้ว.
               บทว่า เทฺวเม ตัดเป็น เทฺว อิเม แปลว่า บิณฑบาตสองอย่างนี้.
               บทว่า สมปฺผลา ได้แก่ มีผลเสมอกันด้วยอาการทั้งปวง.
               พระตถาคตทรงเสวยบิณฑบาตที่นางสุชาดาถวายแล้ว จึงตรัสรู้ ทานนั้นจัดเป็นทานในกาลที่พระองค์ยังละกิเลสไม่ได้ แต่ทานของนายจุนทะนี้เป็นทานในกาลที่พระองค์หมดอาสวะแล้ว มิใช่หรือ แต่เพราะเหตุไร ทานเหล่านี้จึงมีผลเสมอกัน.
               เพราะมีการปรินิพพานเสมอกัน เพราะมีสมาบัติเสมอกัน และเพราะมีการระลึกเสมอกัน.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสวยบิณฑบาตที่นางสุชาดาถวายแล้ว ปรินิพพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ทรงเสวยบิณฑบาตที่นายจุนทะถวาย แล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ รวมความว่า ทานเหล่านั้นมีผลเสมอกัน เพราะมีการปรินิพพานเสมอกัน.
               ในวันตรัสรู้ พระองค์ทรงเข้าสมาบัติ นับได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ โกฏิ แม้ในวันปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงเข้าสมาบัติเหล่านั้นทั้งหมด ทานเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีผลเสมอกัน เพราะมีการเสมอกันด้วยการเข้าสมาบัติ ด้วยประการฉะนี้.
               สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๒- ผู้ที่บริโภคบิณฑบาตของผู้ใด แล้วเข้าเจโตสมาธิหาประมาณมิได้อยู่ ความหลั่งไหลแห่งบุญ ความหลั่งไหลแห่งกุศล ของผู้นั้นหาประมาณมิได้ ดังนี้เป็นต้น.
____________________________
๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๕๑

               ครั้นต่อมา นางสุชาดาได้สดับว่า ข่าวว่า เทวดานั้นไม่ใช่รุกขเทวดา ข่าวว่า ผู้นั้นเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์บริโภคบิณฑบาตนั้นแล้ว ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์นั้น ได้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยบิณฑบาตนั้นสิ้น ๗ สัปดาห์. เมื่อนางสุชาดาได้ฟังคำนี้แล้ว หวนระลึกว่า เป็นลาภของเราหนอ จึงเกิดปิติโสมนัสอย่างรุนแรง.
               ครั้นต่อมา เมื่อนายจุนทะสดับว่า ข่าวว่า เราได้ถวายบิณฑบาตครั้งสุดท้าย ข่าวว่า เราได้รับยอดธรรม ข่าวว่า พระศาสดาทรงเสวยบิณฑบาตของเรา แล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุที่พระองค์ทรงปรารถนาอย่างยิ่งตลอดกาลนาน จึงหวนระลึกว่า เป็นลาภของเราหนอ จึงเกิดปิติโสมนัสอย่างรุนแรงแล.
               พึงทราบว่า บิณฑบาตทาน ๒ อย่างชื่อว่า มีผลเสมอกัน แม้เพราะมีการระลึกถึงเสมอกัน อย่างนี้.
               บทว่า อายุสํวตฺตนิกํ แปลว่า เป็นทางให้อายุยืนนาน.
               บทว่า อุปจิตํ แปลว่า สั่งสมแล้ว คือให้เกิดแล้ว.
               บทว่า ยสสํวตฺตนิกํ แปลว่า เป็นทางให้มีบริวาร.
               บทว่า อาธิปเตยฺยสํวตฺตนิกํ แปลว่า เป็นทางแห่งความเป็นผู้ประเสริฐ.
               บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ถึงอรรถทั้ง ๓ อย่างนี้ คือความที่ทานมีผลมาก ๑ ความที่พระองค์ทรงเป็นทักขิไณยบุคคลอย่างยอดเยี่ยม โดยพระคุณมีศีลเป็นต้น ๑ อนุปาทาปรินิพพาน ๑ แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ททโต ปญฺญํ ปวฑฺฒติ ความว่า บุคคลผู้ให้ทาน ชื่อว่าย่อมก่อบุญอันสำเร็จด้วยทาน เพราะเพรียบพร้อมด้วยจิต และเพรียบพร้อมด้วยทักขิไณยบุคคล ย่อมมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถในบทว่า ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ นี้ อย่างนี้ว่า ภิกษุผู้ไม่มากไปด้วยอาบัติ ในที่ทุกสถานย่อมสามารถเพื่อจะรักษาศีลให้หมดจดด้วยดี แล้วบำเพ็ญสมถะและวิปัสสนาโดยลำดับ เพราะผู้บริจาคไทยธรรม ย่อมกระทำให้มาก ด้วยเจตนาเป็นเครื่องบริจาค เพราะเหตุนั้น บุญทั้ง ๓ อย่างนี้มีทานเป็นต้น ย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น.
               บทว่า สญฺญมโต ได้แก่ ผู้สำรวมด้วยการสำรวมในศีล. อธิบายว่า ผู้ตั้งอยู่ในสังวร.
               บทว่า เวรํ น จียติ ความว่า เวร ๕ อย่างย่อมไม่เกิด.
               อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้มีศีลหมดจดด้วยศีล ผู้สำรวมด้วยกาย วาจา และจิต เพราะอธิศีล มีอโทสะเป็นประธาน ย่อมไม่ก่อเวรด้วยใครๆ เพราะเป็นผู้มากด้วยขันติ ผู้นั้นจักเป็นผู้ชื่อว่าก่อเวรแต่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ผู้สำรวมคือผู้ระวังนั้น ย่อมไม่ก่อเวร เพราะเหตุมีความสำรวม.
               บทว่า กุสโล จ ชหาติ ปาปกํ ความว่า ก็บุคคลผู้ฉลาด คือผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา ตั้งอยู่ในศีลอันบริสุทธิ์ด้วยดี กำหนดกัมมัฏฐาน อันเหมาะสมแก่ตน ในอารมณ์ ๓๘ ประการ ย่อมยังฌานต่างด้วยอุปจาระและอัปปนาให้สำเร็จ ชื่อว่าละ คือสละอกุศล มีกามฉันทะเป็นต้น อันชั่วช้าลามก ด้วยวิกขัมภนปหาน. ผู้นั้นทำฌานนั้นนั่นแหละให้เป็นบาท เริ่มตั้งความสิ้นไปและเสื่อมไปในสังขารทั้งหลาย บำเพ็ญวิปัสสนา ทำวิปัสสนาให้เกิด ย่อมละอกุศลอันชั่วช้าลามกได้อย่างเด็ดขาด ด้วยอริยมรรค.
               บทว่า ราคโทสโมหกฺขยา ปรินิพฺพุโต ความว่า ผู้นั้นละอกุศลอันลามกอย่างนี้แล้ว ปรินิพพานด้วยการดับกิเลสไม่มีส่วนเหลือ เพราะสิ้นราคะเป็นต้น ต่อแต่นั้น ย่อมปรินิพพานด้วยการดับขันธ์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยทักขิณาสมบัติของนายจุนทะ และทรงอาศัยทักขิไณยสมบัติของพระองค์ จึงทรงเปล่งอุทานอันซ่านออกด้วยกำลังแห่งปิติ ด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาจุนทสูตรที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ จุนทสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 161อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 162อ่านอรรถกถา 25 / 169อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=4034&Z=4144
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=26&A=9541
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=26&A=9541
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๙  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :