บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๑ บุคคลบางคนได้อุปบัติได้ภพ ในระหว่างด้วยสังโยชน์เหล่าใด สังโยชน์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นปัจจัยให้ได้อุปบัติ. บทว่า ภวปฏิลภิยานิ ได้แก่ เป็นปัจจัยแก่การได้อุปบัติภพ. บทว่า สกทาคามิสฺส นี้ ท่านถือโดยส่วนสูงสุดในพระอริยะทั้งหลาย ที่ยังละสังโยชน์ไม่ได้ ก็เพราะเหตุนี้ อันตราอุปบัติ (การเกิดในระหว่าง) ของพระอริยบุคคลผู้เป็นอันตราปรินิพพายีไม่มี แต่ท่านเข้าฌานใดในที่นั้น ฌานนั้นนับว่าเป็นปัจจัยแก่อุปบัติภพ เพราะฌานเป็นฝ่ายกุศลธรรม ฉะนั้น จึงตรัสสำหรับพระอริย บทที่เหลือในสูตรนี้ง่ายทั้งนั้น. อรรถกถาปฏิภาณสูตรที่ ๒ บทว่า ยุตฺตปฏิภาโณ โนย มุตฺตปฏิภาโณ ความว่า บุคคล เมื่อแก้ปัญหาก็แก้แต่ปัญหาที่ผูกเท่านั้น แต่แก้ได้ไม่เร็ว คือค่อยๆ แก้. บททั้งปวง พึงทราบโดยนัยนี้. อรรถกถาอุคฆฏิตัญญุสูตรที่ ๓ พึงทราบความต่างกันแห่งบุคคลแม้ ๔ จำพวกด้วยสูตรนี้ ดังนี้ อุคฆฏิตัญญูเป็นไฉน? บุคคลตรัสรู้ธรรมขณะที่ท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง เรียกว่า วิปจิตัญญูบุคคลเป็นไฉน? บุคคลตรัสรู้ธรรมต่อเมื่อท่านแจกแจงความโดยพิสดาร เรียกว่าวิปจิตัญญูบุคคล. เนยยบุคคลเป็นไฉน? บุคคลต้องเรียน ต้องสอบถาม ต้องใส่ใจโดยแยบคาย ต้องคบหา อยู่ใกล้กัลยาณมิตร จึงตรัสรู้ธรรมตามลำดับขั้นตอน เรียกว่าเนยยบุคคล ปทปรมบุคคลเป็นไฉน? บุคคลฟังมากก็ดี พูดมากก็ดี ทรงจำมากก็ดี สอนมากก็ดี ยังไม่ตรัสรู้ธรรมในชาตินั้น เรียกว่าปทปรมบุคคล. อรรถกถาอุฏฐานสูตรที่ ๔ บุคคลจำพวกหนึ่ง ใช้วันเวลาให้ล่วงไปด้วยความเพียรคือความหมั่นเท่านั้น ได้อะไรมาเพียงเป็นผลของความเพียรนั้น ที่หลั่งออกมาเลี้ยงชีวิต เขาอาศัยแต่ความหมั่นนั้น ไม่ได้ผลบุญอะไร บุคคลจำพวกนี้ ชื่อว่าดำรงชีพอยู่ด้วยผลของความหมั่นมิใช่ดำรงอยู่ด้วยผลของกรรม. ส่วนเหล่าเทวดาแม้ทั้งหมด ตั้งแต่เทวดาชั้นจาตุมมหาราชเป็นต้นไป เพราะเข้าไปอาศัยผลบุญดำรงชีพ เว้นความเพียรคือความหมั่น ชื่อว่าดำรงชีพอยู่ด้วยผลของกรรม มิใช่ดำรงชีพอยู่ด้วยผลของความหมั่น. อิสระชนมีพระราชามหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น ชื่อว่าดำรงชีพอยู่ด้วยผลของความหมั่น และดำรงชีพอยู่ด้วยผลของกรรม. พวกสัตว์นรกดำรงชีพอยู่ด้วยผลของความหมั่นก็มิใช่ ด้วยผลของกรรมก็มิใช่. ผลบุญนั่นแล ท่านประสงค์ว่าผลของกรรมในสูตรนี้ ผลบุญนั้นไม่มีแก่พวกสัตว์นรกเหล่านั้น. อรรถกถาสาวัชชสูตรที่ ๕ คนจำพวกที่หนึ่ง ได้แก่ปุถุชนคนโง่เขลา. จำพวกที่สอง ได้แก่โลกิยปุถุชนผู้บำเพ็ญกุศลในระหว่างๆ. จำพวกที่สาม ได้แก่พระโสดาบัน ถึงพระสกทาคามีและอนาคามีก็รวมกับคนจำพวกที่สามนั้นเหมือนกัน. จำพวกที่สี่ ได้แก่พระขีณาสพ. จริงอยู่ พระขีณาสพนั้น หาโทษมิได้โดยส่วนเดียว. อรรถกถาปฐมสีลสูตรที่ ๖ คนจำพวกที่หนึ่ง ได้แก่โลกิยมหาชน. จำพวกที่สอง ได้แก่พระโสดาบันและพระสกทาคามี ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาล้วน. จำพวกที่สาม ได้แก่พระอนาคามี. จริงอยู่ พระอนาคามีนั้น เพราะเหตุที่ได้ฌานที่ทำอุปบัติให้เกิดแม้ขณะนั้น ฉะนั้น ท่านแม้บำเพ็ญวิปัสสนาล้วน ก็ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิโดยแท้. จำพวกที่สี่ ได้แก่พระขีณาสพเท่านั้น. จริงอยู่ พระขีณาสพนั้นชื่อว่าทำให้บริบูรณ์ในศีลสมาธิและปัญญาทั้งหมด เพราะท่านละธรรมที่เป็นข้าศึกต่อศีลเป็นต้นทั้งหมดได้แล้ว. แม้ในทุติยสีลสูตรที่ ๗ พึงทราบการกำหนดบุคคลโดยนัยอันกล่าวแล้วในปฐมสีลสูตรที่ ๖. อรรถกถานิกกัฏฐสูตรที่ ๘ บทว่า นิกฺกฏฺฐกาโย แปลว่า มีกายออกไป. บทว่า อนิกฺกฏฺฐจิตฺโต แปลว่า มีจิตไม่ออก. ท่านอธิบายว่า คนมีกายเท่านั้นออกจากบ้าน แม้อยู่ในป่าก็ยังเอาจิตเข้าบ้านอยู่นั่นเอง. เนื้อความในบททุกบท พึงทราบโดยนัยนี้. อรรถกถาธัมมกถิกสูตรที่ ๙ บทว่า อสหิตํ คือ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์. บทว่า น กุสลา โหติ คือ เป็นผู้ไม่ฉลาด. บทว่า สหิตาสหิตสฺส ความว่า ต่อสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์. เนื้อความในบททั้งปวงพึงทราบอย่างนี้. อรรถกถาวาทีสูตรที่ ๑๐ บทว่า อตฺถโต ปริยาทานํ คจฺฉติ ความว่า นักพูดถูกถามถึงคำอรรถก็ยอมจำนนสิ้นท่าไม่สามารถจะตอบโต้. บทว่า โน พฺยญฺชนโต ความว่า แต่พยัญชนะของเขายังไปได้ ก็ไม่ยอมจำนน. ในบททุกบทก็นัยนี้แล. จบปุคคลวรรควรรณนาที่ ๔ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ตติยปัณณาสก์ ๑. ปุคคลวรรค จบ. |