บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] หน้าต่างที่ ๓ / ๙. ประวัติพระสุภูติเถระ บทว่า ทกฺขิเณยฺยานํ แปลว่า ผู้ควรแก่ทักษิณา พระขีณาสพทั้งหลายเหล่าอื่นก็ชื่อว่า พระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ ในบทว่า ทกฺขิเณยฺยานํ นั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น พระเถระกำลังบิณฑบาตก็เข้าฌานมีเมตตาเป็นอารมณ์ ออกจากสมาบัติแล้ว จึงรับภิกษาในเรือนทุกหลัง ด้วยทายกผู้ถวายภิกษาจักมีผลมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ผู้ควรแก่ทักขิณา อัตภาพของท่านงามดี รุ่งเรืองอย่างยิ่งดุจซุ้มประตูที่เขาประดับแล้วและเหมือนแผ่นผ้าวิจิตร ฉะนั้นจึงเรียกว่า สุภูติ. ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ :- เล่ากันว่า ท่านสุภูตินี้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงหงสวดี ญาติทั้งหลายขนานนามท่านว่า นันทมาณพ. ท่านเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท ไม่เห็นสาระในไตรเพทนั้น พร้อมด้วยบริวารของตนมีมาณพประมาณ ๔๔,๐๐๐ คนออกบวชเป็นฤาษี อยู่ ณ เชิงบรรพต ทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว ได้กระทำแม้อันเตวาสิกทั้งหลายให้ได้ฌานแล้ว. ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงบังเกิดในโลก ทรงอาศัยกรุงหงสวดีประทับอยู่. วันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นอรหัตตุปนิสัยของเหล่าชฏิลอันเตวาสิกของนันทดาบส และความปรารถนาตำแหน่งสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ ของนันทดาบส จึงทรงปฏิบัติพระสรีระแต่เช้า ทรงถือบาตรและจีวรในเวลาเช้า เสด็จไปยังอาศรมของนันทดาบส โดยนัยที่ได้กล่าวแล้วในเรื่องของพระสารีบุตรเถระ ในที่นั้น พึงทราบการถวายผลไม้น้อยใหญ่ก็ดี การตกแต่งปุปผาสนะก็ดี การเข้านิโรธสมาบัติก็ดี โดยนัยที่กล่าวแล้ว. ก็พระศาสดาออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงส่งพระสาวกองค์หนึ่งผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ คือ อรณวิหารองค์ ๑ ทักขิไณยองค์ ๑ ว่า เธอจงกระทำอนุโมทนาปุปผาสนะแก่คณะฤาษี ดังนี้. พระเถระนั้นอยู่ในวิสัยของตนพิจารณาพระไตรปิฎกกระทำอนุโมทนา เมื่อจบเทศนาของท่านแล้ว พระศาสดาจึงทรงแสดง (ธรรม) ด้วยพระองค์เอง เมื่อจบเทศนา ดาบสทั้ง ๔๔,๐๐๐ ได้บรรลุพระอรหัตทุกรูป. ส่วนนันทดาบสถือเอานิมิตแห่งภิกษุผู้อนุโมทนาไม่อาจส่งญาณไปตามแนวแห่งเทศนาของพระศาสดาได้ พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ไปยังภิกษุที่เหลือว่า เอถ ภิกฺขโว (จงเป็นภิกษุมาเถิด) ภิกษุทั้งหมดมีผมและหนวดอันตรธานแล้ว ครองบริขารอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ปรากฏดุจพระเถระ ๑๐๐ พรรษา. นันทดาบสถวายบังคมพระตถาคตแล้วยืนเฉพาะพระพักตร์ กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ภิกษุผู้กระทำอนุโมทนาปุปผาสนะแก่คณะฤาษีมีนามว่าอะไรในศาสนาของ ตรัสว่า ภิกษุนี้เป็นเอตทัคคะด้วยองค์คือความมีปกติอยู่โดยไม่มีกิเลส ๑ ด้วยองค์ของภิกษุผู้ควรทักษิณา ๑. นันทดาบสได้ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกรรมคือกุศลอันยิ่งที่ได้ทำมา ๗ วันนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาสมบัติอื่น แต่ข้าพระองค์พึงเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๒ เหมือนอย่างพระเถระนี้ในศาสนาของพระทศพลองค์หนึ่งในอนาคต. พระศาสดาทรงเห็นความไม่มีอันตรายจึงทรงพยากรณ์ แล้วเสด็จกลับไป. ฝ่ายนันทดาบสฟังธรรมในสำนักพระทศพลตามสมควรแก่กาล ไม่เสื่อมจากฌานแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก. อนึ่ง พระอรรถกถาจารย์มิได้กล่าวถึงกัลยาณกรรมของดาบสนี้ในระหว่างไว้. ล่วงไปแสนกัป ท่านมาบังเกิดในเรือนแห่งสุมนเศรษฐีในกรุงสาวัตถี พวกญาติได้ขนานนามท่านว่า สุภูติ. ต่อมา พระศาสดาของพวกเราทรงบังเกิดในโลกอาศัย กรุงราชคฤห์ประทับอยู่. ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกเศรษฐีนำสินค้าที่ผลิตในกรุงสาวัตถีไปยังเรือนของราชคฤห์ ในวันฉลองวิหาร สุภูติกุฏุมพีก็ได้ไปฟังธรรมกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ศรัทธาจึงบวช ท่านอุปสมบทแล้วกระทำมาติกา ๒ บทให้แคล่วคล่อง ให้บอกกัมมัฏฐานให้ บำเพ็ญสมณธรรมในป่าเจริญวิปัสสนา กระทำเมตตาฌานให้เป็นบาท บรรลุอรหัตแล้ว. เมื่อแสดงธรรมก็กล่าวธรรมโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ออกจากเมตตาฌานแล้วจึงรับภิกษาโดยนัยที่กล่าวแล้วเช่นกัน. ครั้งนั้น พระศาสดาทรงอาศัยเหตุ ๒ อย่างนี้ จึงสถาปนาท่านไว้ในภิกษุผู้ควรแก่ทักษิณา แลตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปกติอยู่โดยไม่มีกิเลส. จบอรรถกถาสูตรที่ ๔ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๒ |