ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 507อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 508อ่านอรรถกถา 20 / 509อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๒
๘. ติตถิยสูตร

               อรรถกถาติตถิยสูตรที่ ๘               
               พึงทราบวินิจฉัยในติตถิยสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ภควํมูลกา ความว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่าภควมูลกา เพราะมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเค้ามูล.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังต่อไปนี้ว่า
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพวกข้าพระองค์เหล่านี้อันพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าให้บังเกิดแล้วในกาลก่อน เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ขึ้นชื่อว่าสมณะหรือพราหมณ์อื่นๆ จะสามารถยังธรรมเหล่านี้ให้เกิดขึ้นชั่วพุทธันดรหนึ่งไม่มีเลย แต่ธรรมเหล่านี้ของข้าพระองค์ทั้งหลาย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้บังเกิดขึ้นแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจะรู้ทั่วถึง คือตรัสรู้ธรรมเหล่านี้ได้ โดยอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย ชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเค้ามูลด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า ภควํเนตฺติกา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะ คือทรงนำออก คือตามแนะนำซึ่งธรรมทั้งหลาย ได้แก่การตั้งชื่อธรรมแต่ละอย่างๆ แล้วทรงแสดงตามสภาพ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ.
               บทว่า ภควํปฏิสรณา ความว่า ธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ เมื่อมาสู่คลองแห่งพระสัพพัญญุตญาณ ชื่อว่าย่อมแฝงอยู่ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควปฏิสรณา (มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย).
               บทว่า ปฏิสรนฺติ๑- ได้แก่ รวมอยู่ คือชุมนุมอยู่.
____________________________
๑- ปาฐะว่า ปฏิสรนฺติ ฉบับพม่าเป็น ปฏิสรนฺตีติ.

               อีกนัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าภาคเจ้า เมื่อจะทรงตั้งชื่อธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๔ แต่ละข้อๆ ตามความเป็นจริง จึงทรงหวนระลึกถึงธรรมทั้งหลายด้วยสามารถแห่งการแทงตลอดของพระองค์ผู้ประทับนั่ง ณ ควงต้นไม้มหาโพธิ์ อย่างนี้ว่า ผัสสะ (เสมือน) มาทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ชื่ออะไร. ตรัสตอบว่า เจ้าชื่อว่าผัสสะ เพราะอรรถว่าถูกต้อง. เวทนา... สัญญา...สังขาร... วิญญาณ (เสมือน) มาทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มีชื่ออย่างไร. ตรัสตอบว่า เจ้าชื่อว่าวิญญาณ เพราะอรรถว่ารู้แจ้ง เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงชื่อว่า ภควปฏิสรณา.
               บทว่า ภควนฺตํเยว ปฏิภาตุ ความว่า ความแห่งภาษิตนี้จงปรากฏแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียวเถิด. อธิบายว่า ขอพระองค์นั่นแหละจงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย.
               บทว่า ราโค โข ได้แก่ ราคะที่เป็นไปแล้ว ด้วยสามารถแห่งความยินดี.
               บทว่า อปฺปสาวชฺโช ความว่า มีข้อที่ควรตำหนิน้อย. อธิบายว่า มีโทษน้อย โดยโทษทั้ง ๒ สถาน คือด้วยสามารถแห่งโทษที่เป็นโลกวัชชะ (โทษในปัจจุบัน) บ้าง ด้วยสามารถแห่งโทษที่เป็นวิปากวัชชะ (โทษในอนาคต) บ้าง.
               ข้อนี้อย่างไร.
               คือมารดาบิดาให้พี่กับน้องเป็นต้น แต่งงานกัน ๑ ให้พวกลูกจัดแต่งงานให้กับพี่น้องของลูกเขา ๑. ราคะนี้มีโทษน้อย โดยที่เป็นโลกวัชชะเท่านี้ก่อน. ส่วนราคะที่มีโทษน้อย โดยที่เป็นวิปากวัชชะอย่างนี้คือ ชื่อว่าปฏิสนธิในอบายที่มีสทารสันโดษเป็นมูลหามีไม่.
               บทว่า ทนฺธวิราคี ความว่า ก็ราคะนี้เมื่อจะคลาย ก็จะค่อยๆ คลายไม่หลุดพ้นไปเร็ว จะติดตามอยู่นาน เหมือน (ผ้า) ที่ย้อมด้วยเขม่าเจือด้วยน้ำมัน ถึงจะไปสู่ภพอื่น ๒-๓ ภพ ก็ยังไม่จากไป๑- เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทันธวิราคี (คลายออกช้าๆ).
____________________________
๑- ปาฐะว่า คนฺตวาปิ นาคจฺฉตีติ ทนฺธวิราคี เทฺว ติณิ ภวนฺตรานิ อาคจฺฉตีติ ทนฺธวิราคี
    ฉบับพม่าเป็น เทฺว ตีณิ ภวนฺตรานิ คนฺตวาปิ นาปคจฺฉตีติ ทนฺธวิราคี แปลตามฉบับพม่า.

               ในข้อนั้นมีเรื่องดังต่อไปนี้ เป็นตัวอย่าง.

               เรื่องหญิงฆ่าผัว               
               เล่ากันมาว่า บุรุษผู้หนึ่งประพฤติมิจฉาจารต่อภรรยาของพี่ชาย. เขาเองได้เป็นที่รักของหญิงนั้นยิ่งกว่าสามีของตน. นางพูดกับเขาว่า เมื่อเหตุนี้ปรากฏแล้ว ข้อครหาอย่างใหญ่หลวงจักมี ท่านจงฆ่าพี่ชายของท่านเสีย. เขาข่มขู่หญิงนั้นว่า ฉิบหายเถิด อีถ่อย มึงอย่าพูดอย่างนี้อีก. นางก็นิ่ง ล่วงไป ๒-๓ วันก็พูดอีก จิตของเขาถึงความลังเล ต่อแต่นั้นถูกนางรบเร้าถึง ๓ ครั้ง จึงพูดว่า เราจะทำอย่างไรถึงจะได้โอกาส.
               ลำดับนั้น นางได้บอกอุบายแก่เขาว่า ท่านจงทำตามที่ข้าพเจ้าบอกเท่านั้น ใกล้บ้านมหากกุธะ ตรงที่โน้น มีท่าน้ำอยู่ ท่านจงถือเอามีดโต้อันคมไปดักอยู่ที่ตรงนั้น เขาได้ทำอย่างนั้นแล้ว. ฝ่ายพี่ชายของเขาทำงานในป่าเสร็จแล้ว กลับบ้าน. นางทำเป็นเหมือนมีจิตอ่อนโยนในเขา พูดว่า มาเถิดนาย ฉันจะล้างศีรษะให้ แล้วดูศีรษะให้เขา พูดว่าศีรษะของนายสกปรก แล้วส่งก้อนมะขามป้อมให้เขาไปด้วยสั่งว่า ท่านจงไปล้างศีรษะที่ท่าชื่อโน้น แล้วกลับมา. เขาไปสู่ท่าตามที่นางบอกนั่นแหละ สระผมด้วยฟองมะขามป้อม ลงอาบน้ำดำหัวแล้ว. ครั้งนั้น น้องชายออกมาจากระหว่างต้นไม้ ฟันเขาที่ก้านคอให้ตายแล้วกลับเข้าบ้าน.
               พี่ชายเมื่อไม่อาจสละความสิเนหาในภรรยาได้ จึงไปเกิดเป็นงูเขียวใหญ่ในเรือนหลังนั้นแหละ. แม้เมื่อนาง (ผู้เป็นภรรยาเก่า) จะยืนก็ตาม นั่งก็ตาม มันจะตกลงที่ตัว (ของนาง). ต่อมา นางจึงให้ฆ่างูนั้นด้วยเข้าใจว่า ชะรอยผัวเราจะเป็นงูตัวนี้. เพราะความรักนางผู้เป็นภรรยา มันจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัขในเรือนหลังนั้นอีก. นับแต่เวลาที่มันเดินได้ มันจะวิ่งตามหลังนางไป แม้นางเข้าป่า มันก็ติดตามไปด้วย คนทั้งหลายเห็นนางแล้วก็พูดเย้ยหยันว่า พรานสุนัขออกแล้วจักไปไหน. นางสั่งให้ฆ่ามันอีก.
               แม้มัน (ตายแล้ว) ก็ไปเกิดเป็นลูกวัวในเรือนหลังนั้นอีก แล้วเดินตามหลังนางไปอย่างนั้นเหมือนกัน. แม้ในคราวนั้น คนทั้งหลายเห็นมันแล้ว ก็พากันพูดเย้ยหยันว่า โคบาลออกแล้ว โคทั้งหลายจักไปไหน. นางก็สั่งให้ฆ่ามันเสียในที่ตรงนั้น. แม้คราวนั้น มันไม่สามารถจะตัดความสิเนหานางต่อไปได้ ในวาระที่ ๔ มันเกิดในท้องของนางแล้วระลึกชาติได้.
               มันเห็นว่าตัวถูกนางฆ่ามา ๔ อัตภาพตามลำดับแล้ว คิดว่า เราเกิดในท้องของหญิงผู้เป็นศัตรูเห็นปานนี้. นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมให้นางเอามือถูกต้องตัวได้. ถ้านางถูกต้องตัว เขาจะสะอึกสะอื้นร้องไห้. เวลานั้น ผู้เป็นตาเท่านั้นจะอุ้มชูเขาได้. ต่อมา เขาเจริญเติบโตแล้ว ตาจึงพูดว่า หลานเอ๋ย เหตุไฉนเจ้าจึงไม่ยอมให้แม่เอามือถูกตัว ถ้าแม้แม่ถูกตัวเจ้า เจ้าจะร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเสียงอันดัง. เขาได้บอกความเป็นไปทั้งหมดนั้น (แก่ตา) ว่า คุณตาครับ ผู้นี้ไม่ใช่แม่ของผม แต่เป็นศัตรู. ผู้เป็นตาสวมกอดเขาไว้ แล้วร้องไห้ พูดว่า มาเถิดหลานเอ๋ย เรื่องอะไรพวกเราจะต้องมาอาศัยอยู่ในที่เช่นนี้ดังนี้แล้ว พาเขาออกจากบ้านไปสู่วิหารแห่งหนึ่ง พากันบวชอยู่ในวิหารนั้น บรรลุพระอรหัตทั้งสองคน.
               บทว่า มหาสาวชฺโช ตวามว่า ชื่อว่ามีโทษมาก ด้วยเหตุ ๒ สถาน คือ ด้วยอำนาจโลกวัชชะ ๑ ด้วยอำนาจวิปากวัชชะ ๑.
               ข้อนี้เป็นอย่างไร.
               คือ ผู้อันโทสะประทุษร้ายแล้ว ย่อมประพฤติผิดในมารดาก็ได้ ในบิดาก็ได้ ในพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาวก็ได้ ในบรรพชิตก็ได้ ในที่ทุกแห่งที่ผ่านไป เขาจะได้คำครหาอย่างใหญ่หลวงว่า ผู้นี้กระทำผิดแม้ในมารดาบิดา แม้ในพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว แม้ในบรรพชิต. โทสะชื่อว่ามีโทษมากด้วยสามารถแห่งโทษที่เป็นโลกวัชชะ ดังพรรณนามานี้ก่อน แต่เขาจะได้เสวยผลในนรก ตลอดกัปด้วยอนันตริยกรรมที่ตนทำไว้ด้วยอำนาจโทสะ. โทสะชื่อว่ามีโทษมากด้วยอำนาจแห่งโทษที่เป็นวิปากวัชชะ ดังพรรณนามานี้แล.
               บทว่า ขิปฺปวิราคี แปลว่า คลายเร็ว. อธิบายว่า ผู้ที่ถูกโทสะประทุษร้ายแล้ว ประพฤติผิดในมารดาบิดาบ้าง ในเจดีย์บ้าง ในโพธิพฤกษ์บ้าง ในบรรพชิตทั้งหลายบ้าง เขาขอลุโทษว่า ท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่ข้าพเจ้า. พร้อมด้วยการขอขมาของเขา กรรมนั้นจะกลับกลายเป็นปกติไปทันที.
               ส่วนโมหะชื่อว่า มีโทษมาก เพราะเหตุ ๒ สถานเหมือนกัน.
               ข้อนี้อย่างไร.
               คือ คนที่หลงแล้วเพราะโมหะ จะประพฤติผิดในมารดาบิดาบ้าง ในพระเจดีย์บ้าง ในโพธิพฤกษ์บ้าง ในบรรพชิตบ้าง แล้วได้รับการติเตียนในที่ๆ ตนไปแล้วๆ. โมหะชื่อว่ามีโทษมากด้วยสามารถแห่งโทษที่เป็นโลกวัชชะอย่างนี้ก่อน. แต่เขาจะต้องเสวยผลในนรกตลอดกัลป์ เพราะอนันตริกรรมที่เขาไว้ด้วยอำนาจโมหะ. โมหะชื่อว่าโทษมาก แม้ด้วยสามารถแห่งโทษที่เป็นวิปากวัชชะ ดังพรรณนามานี้แล.
               บทว่า ทนฺธวิราคี แปลว่า ค่อยๆ คลายไป.
               อธิบายว่า กรรมที่ผู้หลงเพราะโมหะทำไว้ จะค่อยๆ พ้นไป. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า หนังหมีที่เขาฟอกอยู่ถึง ๗ ครั้งก็ไม่ขาวฉันใด กรรมที่ผู้หลงแล้วเพราะโมหะทำแล้วก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะไม่พ้นไปเร็ว คือจะค่อยๆ พ้นไปฉะนี้แล.
               คำที่เหลือในพระสูตรนี้ง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาติตถิยสูตรที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๒ ๘. ติตถิยสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 507อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 508อ่านอรรถกถา 20 / 509อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=5268&Z=5319
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=4862
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=4862
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :