ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐]อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 147อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 148อ่านอรรถกถา 20 / 149อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี
วรรคที่ ๓

หน้าต่างที่ ๒ / ๑๐.

               อรรถกถาสูตรที่ ๒               
               ประวัติพระรัฐปาลเถระ               
               ในสูตรที่ ๒ (เรื่องพระรัฐปาละ) พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               บทว่า สทฺธาปพฺพชิตานํ แปลว่า ผู้บวชด้วยศรัทธา.
               บทว่า รฏฺฐปาโล ได้แก่ ผู้ถึงการนับว่ารัฐปาล แม้เพราะอรรถว่าเป็นผู้สามารถรักษารัฐไว้ได้ หรือผู้เกิดในตระกูลที่สามารถสมานรัฐที่แตกร้าวกันไว้ได้.
               จริงอยู่ ภิกษุรัฐปาละนั้นฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้ศรัทธากระทำการอดข้าวถึง ๑๔ วัน จึงให้มารดาบิดาอนุญาตให้บวชได้ จึงบวชแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา.

               ประวัติพระราหุลเถระและพระรัฐปาลเถระ               
               ก็ในปัญหากรรมของพระเถระทั้งสองรูปนี้ มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ :-
               ได้ยินมาว่า ในอดีตกาล ครั้งพระปทุมุตตรพระพุทธเจ้า พระเถระทั้ง ๒ นี้บังเกิดในครอบครัวคฤหบดีมหาศาลในกรุงหงสวดี ในเวลาที่ท่านยังเป็นเด็กไม่มีใครพูดถึงชื่อและโคตร แต่พอท่านเจริญวัยแล้ว ดำรงอยู่ในฆราวาส เมื่อบิดาของแต่ละคนล่วงไปแล้ว ท่านทั้ง ๒ จึงเรียกคนจัดการคลังรัตนะของตนๆ มาแล้ว เห็นทรัพย์หาประมาณมิได้.
               คิดว่า ชนทั้งหลายมีปู่และปู่ทวดเป็นต้นพาเอากองทรัพย์มีประมาณเท่านี้ไปกับตนไม่ได้ บัดนี้ เราควรจะถือเอาทรัพย์นี้ไปโดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้.
               คนทั้ง ๒ นั้นจึงเริ่มให้มหาทานแก่คนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น ในสถานที่ ๔ แห่ง คนหนึ่งสอบถามคนที่มาแล้วมาอีกในโรงทานของตน ผู้ใดชอบใจสิ่งใดเป็นต้นว่า ข้าวยาคูและของเคี้ยวก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น เพราะเหตุนั้นแล เขาจึงมีชื่อว่าผู้กล่าวกะผู้ที่มาแล้ว.
               อีกคนหนึ่งไม่ถามเลย เอาภาชนะที่เขาถือมาแล้วๆ ใส่ให้เต็มๆ แล้วจึงให้ ด้วยเหตุนั้นแหละ เขาจึงมีชื่อว่าไม่กล่าวกะผู้ที่มาแล้ว. อธิบายว่า ถามด้วยความไม่ประมาท.
               วันหนึ่ง ชนทั้ง ๒ นั้นออกไปนอกบ้านเพื่อล้างปากแต่เช้าตรู่.
               สมัยนั้น ดาบสผู้มีฤทธิ์มาก ๒ รูปเหาะมาแต่ป่าหิมพานต์เพื่อภิกขาจาร ลงไม่ไกลสหายทั้ง ๒ นั้น ยืนในที่ข้างหนึ่งด้วยคิดว่า ชนทั้ง ๒ นั้น เมื่อดาบสทั้ง ๒ นั้น จัดแจงบริขารมีภาชนะน้ำเต้าเป็นต้น เดินมุ่งไปภายในบ้าน จึงมาไหว้ใกล้ๆ.
               ครั้งนั้น ดาบสกล่าวกะชนทั้ง ๒ นั้นว่า ท่านผู้มีบุญใหญ่ ท่านมาในเวลาไร. ชนทั้ง ๒ นั้นตอบว่า มาเดี๋ยวนี้ขอรับ แล้วรับภาชนะน้ำเต้าจากมือของดาบสทั้ง ๒ นั้น นำไปเรือนของตนๆ ในเวลาเสร็จภัตรกิจ จึงขอให้รับปากว่า จะมารับภิกษาเป็นประจำ.
               ในดาบสทั้งสองนั้น รูปหนึ่งเป็นคนมักร้อน จึงแหวกน้ำในมหาสมุทรออกเป็น ๒ ส่วนด้วยอานุภาพของตน แล้วไปยังภพของปฐวินทรนาคราชนั่งพักกลางวัน. ดาบสถือเอาฤดูพอสบายแล้ว จึงกลับมา เมื่อจะกระทำอนุโมทนาภัตรในเรือนแห่งอุปัฎฐากของตน ก็กล่าวว่า ขอจงสำเร็จเหมือนดังภพปฐวินทรนาคราช.
               ต่อมาวันหนึ่ง อุปัฏฐากถามดาบสนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่านกระทำอนุโมทนาว่า จงสำเร็จเหมือนภพปฐวินทรนาคราช โปรดบอกข้อความ พวกข้าพเจ้าไม่ทราบความที่ท่านกล่าวนี้ว่า คำนี้ท่านหมายความว่า อะไร.
               ดาบสกล่าวว่า จริงซิ กุฏุมพี เรากล่าวว่าสมบัติของท่านจงเป็นเหมือนสมบัติของพระยานาคชื่อว่าปฐวินทร.
               ตั้งแต่นั้นมา กุฏุมพีก็ตั้งจิตไว้ในภพของพระยานาคชื่อว่าปฐวินทร.
               ดาบสอีกรูปหนึ่งไปยังภพดาวดึงส์ กระทำการพักกลางวันในเสริสกวิมานที่ว่างเปล่า ดาบสนั้นเที่ยวไปเที่ยวมาเห็นสมบัติของท้าวสักกเทวราช เมื่อจะกระทำอนุโมทนาแก่อุปัฏฐากของตน ก็กล่าวว่าสมบัติของท่านจงเป็นเหมือนสักกวิมาน. ครั้งนั้น กุฎุมพีแม้นั้นก็ถามดาบสนั้นเหมือนอย่างสหายอีกคนหนึ่งถามดาบสนั้น. กุฏุมพีก็ฟังคำของดาบสนั้นจึงตั้งจิตไว้ในภพของท้าวสักกะ.
               ชนทั้งสองนั้นจึงบังเกิดในที่ที่ตนปรารถนาแล้วนั้นแล.
               ผู้ที่เกิดในภพของปฐวินทรนาคราช ก็มีชื่อว่าปฐวินทรนาคราชา พระราชานั้นในขณะที่ตนเกิดแล้ว เห็นอัตภาพของตนมีความร้อนใจว่า ดาบสผู้เข้าสู่สกุลสรรเสริญคุณแห่งฐานะของเราไม่น่าพอใจหนอ ที่นี้เป็นที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง ดาบสนั้นไม่รู้ที่อื่นๆ แน่แท้.
               ในขณะนั้นนั่นแล เหล่านาคผู้ฟ้อนรำแต่งตัวแล้วได้ประคองเครื่องดนตรีในทุกทิศแก่พระยานาคนั้น ในขณะนั้นนั่นแหละ พระยานาคนั้นก็ละอัตภาพนั้นกลายเพศเป็นมาณพน้อย.
               ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้าเฝ้าท้าวสักกะทุกกึ่งเดือน เพราะฉะนั้นแม้พระยานาคนั้นก็ต้องไปเฝ้าท้าวสักกะพร้อมกับพระยานาคชื่อวิรูปักษ์ด้วย. ท้าวสักกะเห็นพระยานาคนั้นมาแต่ไกลก็จำได้ ทีนั้นท้าวสักกะจึงถามพระยานาคนั้นในเวลายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า สหาย ท่านไปเกิดที่ไหน.
               พระยานาคกล่าวว่า ท่านมหาราช อย่าถามเลย ข้าพเจ้าไปเกิดในที่ที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง ส่วนท่านได้มิตรที่ดีแล้ว.
               ท่านสักกะตรัสว่า สหาย ท่านอย่าวิตกเลยว่าเกิดในที่ไม่สมควร พระทศพลพระนามว่าปทุมุตตระทรงบังเกิดในโลกแล้ว ท่านจงกระทำกุศลกรรมแด่พระองค์นั้นแล้วปรารถนาฐานะนี้เถิด เราทั้ง ๒ จักอยู่ร่วมกันเป็นสุข.
               พระยานาคนั้นกล่าวว่า เทวะ ข้าพเจ้าจักกระทำอย่างนั้น ไปนิมนต์พระปทุมุตระทศพล จัดแจงเครื่องสักการะสัมมานะตลอดคืนยันรุ่ง กับนาคบริษัทในภพนาคของตน.
               วันรุ่งขึ้น เมื่อรุ่งอรุณ พระศาสดาตรัสเรียกพระสุมนเถระผู้อุปัฏฐากของพระองค์ว่า สุมนะ วันนี้ตถาคตจักไปภิกษาจาร ณ ที่ไกล ภิกษุปุถุชนจงอย่ามา, จงมาแต่พระผู้บรรลุปฏิสัมภิทาผู้ทรงพระไตรปิฎก ผู้มีอภิญญา ๖ เท่านั้น
               พระเถระสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว แจ้งแก่ภิกษุทั้งปวง ภิกษุประมาณแสนหนึ่งเหาะไปพร้อมกับพระศาสดา พระยานาคปฐวินทรกับนาคบริษัทมารับเสด็จพระทศพล แลดูพระภิกษุสงฆ์ที่ล้อมพระศาสดาซึ่งกำลังเหยียบคลื่นซึ่งมีสีดังแก้วมณีบนยอดคลื่น แลเห็นพระศาสดาอยู่เบื้องต้น พระสงฆ์นวกะจนถึงสามเณรชื่ออุปเรวตะผู้เป็นโอรสของพระตถาคต อยู่ท้าย จึงเกิดปีติปราโมทย์ว่า อิทธานุภาพเห็นปานนี้ของพระสาวกที่เหลือไม่น่าอัศจรรย์ แต่อิทธานุภาพแห่งทารกเล็กนี้ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกินดังนี้.
               ครั้งนั้น เมื่อพระทศพลประทับนั่งที่ภพของพระยานาคนั้นแล้ว เมื่อภิกษุนอกนี้นั่งจำเดิมแต่ที่สุด จนมาถึงอาสนะของสามเณรอุปเรวตะ ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดา พระยานาคเมื่อถวายข้าวยาคูก็ดี เมื่อถวายของเคี้ยวก็ดี แลดูพระทศพลทีหนึ่ง ดูสามเณรอุปเรวตะทีหนึ่ง นัยว่ามหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในสรีระของสามเณรนั้นย่อมปรากฏเสมือนพระพุทธเจ้า เป็นอะไรกันหนอ ดังนี้จึงถามภิกษุรูปหนึ่งผู้นั่งไม่ไกลว่า ท่านเจ้าข้า สามเณรรูปนี้เป็นอะไรกับพระทศพล. ภิกษุนั้นตอบว่า เป็นโอรส มหาบพิตร.
               พระองค์จึงดำริว่า ภิกษุรูปนี้ใหญ่หนอ จึงได้ความเป็นโอรสของพระตถาคตผู้สง่างามเห็นปานนี้ แม้สรีระของท่านก็ปรากฏเสมือนพระสรีระของพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว แม้ตัวเราก็ควรเป็นอย่างนี้ในอนาคตกาล จึงถวายมหาทาน ๗ วันแล้วกระทำความปรารถนาว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์พึงเป็นโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนอุปเรวตะสามเณรนี้ ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมนี้.
               พระศาสดาทรงเห็นว่าหาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคต มหาบพิตรจักเป็นโอรสแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ดังนี้แล้วเสด็จกลับไป.
               ส่วนปฐวินทรนาคราช เมื่อถึงกึ่งเดือนอีกครั้งหนึ่งก็ไปเฝ้าท้าวสักกะกับพระยานาคชื่อวิรูปักษ์ คราวนั้น ท้าวสักกะตรัสถามพระยานาคนั้นผู้มายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า สหาย ท่านปรารถนาเทวโลกนี้แล้วหรือ.
               ร. ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาดอกเพื่อน.
               ส. ท่านเห็นโทษอะไรเล่า?
               ร. โทษไม่มี มหาราช แต่ข้าพเจ้าเห็นสามเณรอุปเรวตะโอรสของพระทศพล ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นสามเณรนั้นก็มิได้น้อมจิตไปในที่อื่น ข้าพเจ้านั้นกระทำความปรารถนาว่าในอนาคตกาล ขอข้าพเจ้าพึงเป็นโอรสเห็นปานนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ข้าแต่มหาราช แม้พระองค์ก็จงกระทำความปรารถนาอย่างหนึ่งเถิด เราทั้ง ๒ จักไม่พรากกันในที่ๆ เกิดแล้ว.
               ท้าวสักกะรับคำของพระยานาคนั้นแล้วเห็นภิกษุผู้มีอานุภาพมากรูปหนึ่ง จึงนึกว่า กุลบุตรนี้ออกบวชจากสกุลไหนหนอดังนี้ ทราบว่ากุลบุตรผู้นี้เป็นบุตรของสกุลผู้สามารถสมานรัฐที่แตกแยกกันแล้ว กระทำการอดอาหารถึง ๑๔ วัน ให้มารดาบิดาอนุญาตให้บรรพชาแล้วบวชแล้ว.
               ก็แลครั้นทราบแล้วจึงเป็นเหมือนไม่ทราบ ทูลถามพระทศพลแล้วกระทำมหาสักการะ ๗ วัน กระทำความปรารถนาว่า พระเจ้าข้า ด้วยผลแห่งกัลยาณกรรมนี้ ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนอย่างกุลบุตรผู้นี้ในศาสนาของพระองค์เถิด.
               พระศาสดาทรงเห็นความปรารถนาหาอันตรายมิได้ จึงพยากรณ์ว่า มหาบพิตร พระองค์จักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ในอนาคต แล้วเสด็จกลับไป
               ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จกลับไปยังเทพบุรีของพระองค์ตามเดิม.
               ชนทั้งสองนั้นจุติจากที่ที่ตนเกิดแล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ล่วงไปหลายพันกัป ในที่สุดกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พระพุทธบิดาของพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่า มหินทะ มีน้องชายต่างมารดากัน ๓ องค์ พระราชาทรงยึดถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นของเราเท่านั้น พระธรรมเป็นของเรา พระสงฆ์เป็นของเรา ทุกๆ วันทรงให้พระทศพล เสวยโภชนะด้วยพระองค์เองเป็นประจำ
               ต่อมาภายหลัง วันหนึ่งเมื่อชายแดนของพระองค์กำเริบ พระองค์ตรัสเรียกโอรสมาสั่งว่า ลูกเอ๋ย ชายแดนกำเริบ พวกเจ้าหรือเราควรไป ถ้าเราไป เจ้าจะต้องปรนนิบัติพระทศพลโดยทำนองนี้.
               พระราชโอรสทั้ง ๓ นั้นทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าแต่พระชนก พระองค์ไม่จำต้องเสด็จไป พวกข้าพระองค์จักช่วยกันปราบโจรดังนี้ จึงถวายบังคมพระชนกแล้วเสด็จไปยังปัจจันตชนบท ปราบโจรแล้วมีชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วเสด็จกลับ พระราชกุมารเหล่านั้นปรึกษากับเหล่าผู้ใกล้ชิดในระหว่างทางว่า พ่อเอ๋ย ในเวลาที่เรามาเฝ้าพระชนกจักประทานพร เราจะรับพรอะไร.
               พวกข้าบาทมูลิกาทูลว่า พระลูกเจ้าเมื่อพระชนกของพระองค์ล่วงลับไป ไม่มีอะไรที่ชื่อว่าได้ยาก แต่พระองค์โปรดรับพรคือการปรนนิบัติพระผุสสพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระเชฏฐภาดาของพระองค์เถิด. พระราชกุมารเหล่านั้นกล่าวว่า พวกท่านพูดดี จึงพร้อมใจกันทุกๆ องค์ไปเฝ้าพระชนก.
               ในกาลนั้น พระชนกทรงเลื่อมใสพระราชกุมารเหล่านั้น แล้วทรงประทานพร พระราชกุมารเหล่านั้นทูลขอพรว่า พวกข้าพระองค์จักปรนนิบัติพระตถาคตตลอดไตรมาส. พระราชาตรัสว่า พรนี้เราให้ไม่ได้ จงขอพรอย่างอื่นเถิด.
               พระราชกุมารกราบทูลว่า ข้าแต่พระชนก พวกข้าพระองค์ก็ไม่ต้องการพรอย่างอื่น ถ้าหากพระองค์ประสงค์จะพระราชทาน ขอจงพระราชทานพรนั้นนั่นแหละแก่พวกข้าพระองค์เถิด.
               พระราชาเมื่อพระราชโอรสเหล่านั้นทูลขออยู่บ่อยๆ ทรงดำริว่า เราไม่ให้ไม่ได้ เพราะเราได้ปฏิญญาไว้แล้วจึงตรัสว่า พ่อเอ๋ย เราให้พรแก่พวกเจ้า ก็แต่ว่าธรรมดาพระพุทธเจ้าเป็นผู้อันใครๆ เข้าเฝ้าได้ยาก เป็นผู้มีปกติเที่ยวไปพระองค์เดียวดุจสีหะ พวกเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทปรนนิบัติพระทศพลเถิด.
               พระราชกุมารเหล่านั้นดำริว่า เมื่อพวกเราจะปรนนิบัติพระตถาคต ก็ควรจะปรนนิบัติให้สมควร จึงพร้อมใจกันสมาทานศีล ๑๐ เป็นผู้ไม่มีกลิ่นคาว ตั้งบุรุษไว้ ๓ คนให้ดูแลโรงทานสำหรับพระศาสดา. บรรดาบุรุษ ๓ คนนั้น คนหนึ่งเป็นผู้จัดแจงการเงินและข้าวปลาอาหาร คนหนึ่งมีหน้าที่ตวงข้าว คนหนึ่งมีหน้าที่จัดทาน.
               ในบุรุษ ๓ คนนั้น คนจัดแจงการเงินและข้าวมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารมหาราชในปัจจุบัน คนตวงข้าวมาเกิดเป็นวิสาขอุบาสก, คนจัดทานมาเกิดเป็นรัฐปาลเถระแล.
               กุลบุตรนั้นบำเพ็ญกุศลในภพนั้นตลอดชีพแล้วบังเกิดในเทวโลก.
               ส่วนพระยานาคนี้เกิดเป็นพระเชฏฐโอรสของพระเจ้ากิกิ ครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสป ชื่อว่าราหุลเถระ พระญาติทั้งหลายขนานนามพระองค์ว่าปฐวินทรกุมาร. พระองค์มีภคินี ๗ พระองค์ พระภคินีเหล่านั้นสร้างบริเวณถวายพระทศพลถึง ๗ แห่ง พระปฐวินทรกุมารทรงได้ตำแหน่งอุปราช พระองค์ตรัสกะภคินีเหล่านั้นว่า ในบรรดาบริเวณที่พระนางได้สร้างไว้นั้น ขอจงประทานให้หม่อมฉันแห่งหนึ่ง. พระภคินีเหล่านั้นทูลว่า พระพี่เจ้า พระองค์ดำรงอยู่ในฐานะเป็นอุปราช พระองค์พึงประทานแก่หม่อมฉันต่างหาก พระองค์โปรดสร้างบริเวณอื่นเถิด. พระราชกุมารนั้นได้สดับคำของพระภคินีเหล่านั้นแล้ว จึงให้สร้างวิหารถึง ๕๐๐ แห่ง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บริเวณ ๕๐๐ แห่งก็มี.
               พระราชกุมารนั้นทรงบำเพ็ญกุศลตลอดชีพในอัตภาพนั้นไปบังเกิดในเทวโลก ในพุทธุบาทกาลนี้ ปฐวินทรกุมารถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีแห่งพระโพธิสัตว์ของเรา สหายของท่านบังเกิดในเรือนแห่งรัฐปาลเศรษฐี ในถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ.
               ครั้งนั้น พระทศพลของเราทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐแล้ว เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์โดยลำดับ ทรงให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว.
               วิธีบรรพชาราหุลกุมารนั้น มาแล้วในพระบาลี.
               ก็พระศาสดาได้ตรัสราหุโลวาทสูตร เป็นโอวาทเนืองๆ แก่พระราหุลนั้นผู้บรรพชาแล้วอย่างนี้ แม้พระราหุลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอามือกอบทรายขึ้นกล่าวว่า วันนี้เราพึงได้โอวาทมีประมาณเท่านี้จากพระทศพล และอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลาย. เกิดการสนทนากันในท่ามกลางสงฆ์ว่า “ราหุลสามเณรทนต่อพระโอวาทหนอ เป็นโอรสที่คู่ควรแก่พระชนก”
               พระศาสดาทรงจิตวาระแห่งภิกษุทั้งหลาย ทรงพระดำริว่า เมื่อเราไปแล้ว ธรรมเทศนาอย่างหนึ่งจักขยาย และคุณของเราหุลจักปรากฏ จึงเสด็จไปประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ในธรรมสภา ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ.
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์สนทนากันถึงความที่ราหุลสามเณรเป็นผู้อดทนต่อโอวาท พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาทรงดำรงอยู่ในฐานะนี้เพื่อทรงแสดงถึงคุณของราหุลสามเณร จึงทรงนำมิคชาดกมาตรัสว่า
                                   มิคนฺติปลฺลตฺถมเนกมายํ
                                   อฏฺฐกฺขรํ อฑฺฒรตฺตาวปายึ
                                   เอเกน โสเตน ฉมาสฺสสนฺโต
                                   ฉหิ กลาหีติ โภ ภาคิเนยฺโยติ

                         ฉันยังเนื้อหลานชายผู้มี ๘ กีบ นอนโดยอาการ ๓ ท่า
                         มีมารยาหลายอย่าง ดื่มกินน้ำในเวลาเที่ยงคืน ให้เล่า
                         เรียนมายาของเนื้อดีแล้ว ดูก่อนน้องหญิง เนื้อหลาน
                         ชายกลั้นลมหายใจไว้ได้โดยช่องโสตข้างหนึ่งแนบติด
                         อยู่กับพื้น จะทำกลลวงนายพรานด้วยอุบาย ๖ ประการ.

               ต่อมาในเวลาที่สามเณรมีอายุ ๗ พรรษา ทรงแสดงอัมพลัฏฐิยราหุโลวาทแก่ราหุลสามเณรนั้นว่า ราหุลอย่ากล่าวสัมปชานมุสา แม้เพื่อจะเล่นโดยความเป็นเด็กเลย ดังนี้เป็นต้น.
               ในเวลาที่สามเณรมีอายุ ๑๘ พรรษา ตรัสมหาราหุโลวาทสูตร โดยนัยว่า ราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น แก่ราหุลผู้เข้าไปบิณฑบาตตามหลังของพระตถาคต มองดูรูปสมบัติของพระศาสดาและของตน ตรึกวิตกที่เนื่องด้วยครอบครัว.
               ส่วนราหุโลวาทในสังยุตก็ดี ราหุโลวาทในอังคุตตรนิกายก็ดี เป็นอาจารย์แห่งวิปัสสนาของพระเถระทั้งนั้น.
               ภายหลังพระศาสดาทรงทราบว่าญาณของท่านแก่กล้า ในเวลาที่ราหุลเป็นภิกษุยังไม่มีพรรษา ประทับนั่งที่อันธวัน ตรัสจุลลราหุโลวาทสูตรแล้ว เวลาจบเทศนา พระราหุลเถระบรรลุพระอรหัตพร้อมกับเทวดาแสนพันโกฏิ เทวดาที่เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามีและพระอนาคามีนับไม่ถ้วน.
               ต่อมาภายหลัง พระศาสดาทรงประทับนั่งท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ใคร่ต่อการศึกษาในศาสนานี้.
               ก็เมื่อพระศาสดาทรงเสด็จออกจาริกไปในกุรุรัฐ ทรงบรรลุถึงถุลลโกฏฐิตนิคมโดยลำดับ. กุลบุตรชื่อรัฐปาลฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้ศรัทธาให้มารดาบิดาอนุญาตแล้ว เข้าเฝ้าพระทศพล บวชแล้วในสำนักของพระเถระรูปหนึ่งตามพระบัญชาของพระศาสดา.
               ตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว เศรษฐีคหบดีเห็นภิกษุทั้งหลายไปยังที่ประตูนิเวศน์ของตนย่อมด่าบริภาษาว่า มีงานอะไรของท่านในเรือนนี้ (เรา) มีบุตรน้อยคนเดียวเท่านั้น พวกท่านก็มานำเขาไปเสีย บัดนี้จะทำอะไรอีกล่ะ.
               พระศาสดาประทับอยู่ที่ถุลลโกฏฐิตคามกึ่งเดือนแล้วเสด็จมายังกรุงสาวัตถีอีก.
               ครั้งนั้น พระรัฐปาลกระทำกิจในโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านทูลขออนุญาตพระศาสดาแล้วไปยังถุลลโกฏฐิตนิคม เพื่อเยี่ยมบิดามารดา เที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในนิคมนั้น ได้ขนมกุมมาสบูดที่ค้างคืนในนิเวศน์ของบิดา เกิดอสุภสัญญาในเหล่าหญิงที่แต่งตัวแล้วจึงยืนขึ้นแสดงธรรม เหาะไปแล้วประดุจศรเพลิงที่พ้นแล้วจากแล่ง ไปยังมิคาจิรอุทยานของพระเจ้าโกรพย ลงนั่งที่แผ่นศิลาอันเป็นมงคล แสดงธรรมอันประดับแล้วด้วยความเลื่อมใส ๔ ประการแด่พระราชาผู้เสด็จมาเยี่ยม จาริกไปโดยลำดับกลับมาเฝ้าพระศาสดาอีก.
               เรื่องนี้ตั้งขึ้นแล้วด้วยอาการอย่างนี้.
               ต่อมาภายหลัง พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่ากุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธาในศาสนานี้แล.

               จบอรรถกถาสูตรที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               
aaa

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๓
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐]
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 147อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 148อ่านอรรถกถา 20 / 149อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=660&Z=674
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=14&A=5351
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=14&A=5351
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :