ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 724อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 726อ่านอรรถกถา 19 / 733อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค สติปัฏฐานสังยุตต์ นาฬันทวรรคที่ ๒
๒. นาฬันทสูตร

               นาฬันทวรรคที่ ๒               
               อรรถกถานาฬันทสูตรที่ ๒               
               พึงทราบวินิจฉัยในนาฬันทสูตรที่ ๒ แห่งทุติยวรรค.
               คำว่า ในนาฬันทา ได้แก่ ในนครที่มีชื่ออย่างนี้ว่านาฬันทา. ทรงกระทำนครนั้นให้เป็นโคจรคาม.
               คำว่า ปาวาริกอัมพวัน ได้แก่ ที่สวนมะม่วงของเศรษฐีชื่อว่าทุสสปาวาริกะ.
               นัยว่า ป่ามะม่วงนั้นได้เป็นอุทยานของเศรษฐีนั้น. ปาวาริกเศรษฐีนั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ประกอบด้วยกุฏี ที่หลีกเร้นและมณฑปเป็นต้นในอุทยานนั้น. วิหารนั้นถึงการนับว่าปาวาริกัมพวัน เหมือนชีวกัมพวัน. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในปาวาริกัมพวันนั้น.
               บทว่า เลื่อมใสแล้วอย่างนี้ ความว่า มีความเชื่อถึงพร้อมแล้วอย่างนี้. อธิบายว่า เราเชื่ออย่างนี้.
               บทว่า โดยยิ่งกว่าๆ ความว่า ผู้มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง. อธิบายว่า หรือว่าผู้มีความรู้ยิ่งกว่าโดยความรู้.
               บทว่า ในการตรัสรู้พร้อม ความว่า ในสัพพัญญุตญาณหรือในอรหัตมรรคญาณ.
               เพราะว่า พระพุทธคุณทั้งหลายทั้งหมดเป็นอันท่านถือเอาแล้วด้วยอรหัตมรรคทีเดียว. ถึงแม้พระอัครสาวกทั้งสองก็ได้เฉพาะสาวกบารมีญาณด้วยอรหัตมรรคเท่านั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมได้โดยเฉพาะพระปัจเจกโพธิญาณ. พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมได้เฉพาะพระสัพพัญญุตญาณและพระพุทธคุณทั้งสิ้น อรหัตมรรคญาณแม้ทั้งสิ้นย่อมสำเร็จแก่ท่านเหล่านั้นด้วยอรหัตมรรคนั่นเอง เพราะฉะนั้น อรหัตมรรคญาณจึงชื่อว่าเป็นคุณเครื่องตรัสรู้พร้อม. เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีผู้ที่ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าสภาพที่ยิ่งกว่าคือคุณเป็นเครื่องตรัสรู้.
               บทว่า อุฬาร คือ ประเสริฐ.
               ก็อุฬารศัพท์นี้ย่อมมาในอรรถว่าอร่อย ในบทเป็นต้นว่า ย่อมเคี้ยวกินของที่ควรเคี้ยวอร่อย. ย่อมมาในอรรถว่าประเสริฐ ในบทเป็นต้นว่า ได้ยินว่า วัจฉายนะพราหมณ์ผู้เจริญย่อมสรรเสริญพระสมณโคดม โดยความประเสริฐ อย่างประเสริฐ. มาในอรรถว่าไพบูลย์ ในบทเป็นต้นว่า และแสงสว่างอันโอฬารหาประมาณไม่ได้.
               อุฬารศัพท์นี้นั้นมาแล้วในอรรถว่าประเสริฐในที่นี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า อุฬาร ได้แก่ ประเสริฐ.
               บทว่า องอาจ ความว่า ไม่หวั่นไหว คือไม่คลอนแคลน เหมือนเสียงโคอุสภะ.
               บทว่า ถือเอาโดยส่วนเดียว ความว่า ไม่กล่าวโดยสืบๆ ต่อแห่งอาจารย์ตามที่ได้ยินมาบ้าง ตามที่ได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ด้วยการอ้างตำราบ้าง ด้วยอาการตรึกตามอาการบ้าง ด้วยทนต่อความเพ่งแห่งทิฏฐิบ้าง เพราะเหตุแห่งการคาดคะเนบ้าง เพราะเหตุเดาบ้าง ถือเอาโดยส่วนเดียว เหมือนแทงตลอดด้วยญาณโดยประจักษ์. อธิบายว่า การกล่าวด้วยการตกลงใจท่านกล่าวไว้แล้ว.
               บทว่า บันลืออย่างสีหะ ความว่า บันลืออย่างประเสริฐ. อธิบายว่า บันลือแล้วอย่างสูงสุด เหมือนกับสีหะ ไม่เล่น ไม่เหลวไหล เปล่งแล้ว.
               บทว่า สารีบุตร ประโยชน์อะไรแก่ท่าน ความว่า ปรารภทำเทศนานี้เพื่อให้การตามประกอบ เพราะว่า บุคคลบางพวกเปล่งสีหนาทแล้ว ไม่อาจเพื่อจะให้การตามประกอบในการบันลือของตนได้ ไม่อดทนต่อการเสียดสี เป็นเหมือนลิงตกไปในยางเหนียว.
               ถ่านไฟย่อมเผาไหม้โลหะที่ไม่บริสุทธิ์โดยธรรมดาฉันใด บุคคลก็เป็นเหมือนถ่านเพลิงไหม้อยู่ฉันนั้น. คนหนึ่งถูกเขาให้ตามประกอบในการบันลือดุจสีหะ ไม่อาจเพื่อจะให้ได้ทั้งอดทนต่อการเสียดสี ผู้นี้ชื่อว่าย่อมงามยิ่งกว่า ดุจเงินที่ไม่มีสนิมตามธรรมดา.
               พระเถระก็เป็นเช่นนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบพระเถระนั้นว่า ผู้นี้เป็นผู้อดทนต่ออนุโยค ดังนี้แล้ว ทรงปรารภเทศนานี้เพื่อให้ตามประกอบในการเปล่งสีหนาท.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหล่านั้น ทุกพระองค์ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นทั้งปวง อันท่าน (กำหนดรู้แล้ว).
               บทว่า มีศีลอย่างนี้ ความว่า มีศีลอย่างนี้ด้วยมรรคศีล ผลศีล โลกิยศีลและโลกุตรศีล. ธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งสมาธิท่านประสงค์เอาในบทนี้ว่า ผู้มีธรรมอย่างนี้. อธิบายว่าผู้มีสมาธิอย่างนี้ ด้วยมรรคสมาธิ ผลสมาธิที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.
               บทว่า ผู้มีปัญญาอย่างนี้ ความว่า และผู้มีปัญญาอย่างนี้ด้วยอำนาจมรรคปัญญาเป็นต้น.
               ก็ในบทนี้ว่า ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ ดังนี้.
               หากมีคำถามว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ชื่อว่าท่านถือเอาแล้ว เพราะธรรมที่เป็นฝ่ายสมาธิ ท่านถือเอาแล้วในหนหลัง เพราะเหตุไร จึงไม่ถือเอาธรรมเป็นเครื่องอยู่ที่ถือเอาแล้ว.
               ตอบว่า คำนี้พระเถระถือเอาแล้ว. ก็คำนี้ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงนิโรธสมาบัติ. เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในบทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้นได้ทรงเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยนิโรธสมาบัติอย่างนี้.
               ในบทว่า ผู้มีวิมุตติอย่างนี้ ได้แก่ วิมุตติ ๕ คือ วิกขัมภนวิมุตติ ตทังควิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ.
               ในวิมุตติเหล่านั้น สมาบัติ ๘ ถึงการนับว่า วิกขัมภนวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการข่ม) เพราะพ้นจากนิวรณ์เป็นต้น ที่ตนเองข่มได้แล้ว
               อนุปัสสนา ๗ มีการตามเห็นว่าไม่เที่ยงเป็นต้น ถึงการนับว่าตทังควิมุตติ (พ้นได้ด้วยองค์นั้น) เพราะพ้นจากความสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้นที่ตนเองละสละได้ด้วยอำนาจเป็นข้าศึกต่อนิวรณ์เป็นต้นนั้น.
               อริยมรรค ๔ ถึงการนับว่า สมุจเฉทวิมุตติ (พ้นเด็ดขาด) เพราะพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ที่ตนถอนขึ้นแล้ว.
               สามัญญผล ๔ ย่อมถึงการนับว่า ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการสงบระงับ) เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการสงบระงับกิเลสทั้งหลาย ด้วยอานุภาพมรรค.
               นิพพาน ถึงการนับว่า นิสสรณวิมุตติ (พ้นได้ด้วยการสลัดออก) เพราะสลัดจากกิเลสทั้งหลาย คือเพราะปราศจาก ได้แก่ตั้งอยู่ในที่ไกล.
               พึงเห็นเนื้อความในคำนี้ว่า ชื่อว่าพ้นแล้วอย่างนี้ ด้วยอำนาจวิมุตติ ๕ เหล่านี้ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า สารีบุตร ก็ประโยชน์อะไรแก่ท่าน พระพุทธเจ้าเหล่านั้นใดจักมีอยู่ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายล่วงไปแล้ว คือดับแล้วโดยไม่เหลือ ได้แก่ถึงความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ ดับไปแล้วเหมือนเปลวประทีป ชื่อว่าดับแล้วอย่างนี้ ท่านถือเอาความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ จักรู้ได้อย่างไร
               ก็พระคุณของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ถึงทั้งหลาย เธอจะกำหนดรู้ด้วยใจของตนหรือ แล้วจึงตรัสอย่างนี้ว่า สารีบุตร ก็เรามีประโยชน์อะไรแก่เธอในบัดนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงถามว่า พระพุทธเจ้าแม้ที่ยังไม่มาแล้ว ยังไม่มีพระชาติ ยังไม่เกิด ยังไม่อุบัติ เธอจักรู้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้อย่างไร.
               ก็การที่จะรู้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นเหมือนการแลดูรอยเท้าในอากาศ ที่ไม่ปรากฏรอยเท้า บัดนี้ เธออยู่วิหารเดียวกับเรา เที่ยวไปเพื่อภิกษาด้วยกัน เวลาแสดงธรรมก็นั่งข้างขวา ก็คุณทั้งหลายของเรา เธอกำหนดรู้ด้วยใจของตนหรือ แล้วจึงตรัสอย่างนี้.
               พระเถระย่อมปฏิเสธปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามแล้วๆ ว่า เป็นอย่างนั้นหามิได้ พระพุทธเจ้าข้า.
               ก็สิ่งที่พระเถระรู้แล้วก็มี ไม่รู้แล้วบ้างก็มี.
               ถามว่า ท่านย่อมคัดค้านในที่ที่ตนรู้แล้ว หรือในที่ที่ตนไม่รู้แล้ว.
               ตอบว่า ย่อมคัดค้านในที่ที่ตนไม่รู้แล้วเท่านั้น.
               ได้ยินว่า เมื่อเริ่มคำถามแล้ว พระเถระได้รู้แล้วอย่างนี้ว่า นี่ไม่ใช่คำถาม คำถามต้องถามในสาวกบารมีญาณ จึงไม่ทำการคัดค้านด้วยสาวกบารมีญาณของตน ย่อมคัดค้านในพระสัพพัญญุตญาณในฐานะที่ตนไม่เข้าใจ เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงแสดงคำแม้นี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ย่อมไม่มีสัพพัญญุตญาณที่สามารถจะรู้เหตุแห่งศีล สมาธิ ปัญญาและวิมุตติของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันได้.
               บทว่า นี้ ได้แก่ พระพุทธเจ้า ต่างด้วยพระพุทธเจ้าในอดีตเป็นต้นเหล่านี้.
               บทว่า ก็ทำไมเล่า ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ก็เมื่อไม่มีความรู้อย่างนั้น ทำไมเธอจึงกล่าวอย่างนี้.
               บทว่า คล้อยตามธรรม ได้แก่ การถือเอานัยแห่งญาณโดยอนุมานอันพระเถระผู้ไปตามการประกอบแห่งญาณอันเกิดขึ้นแล้วโดยประจักษ์แก่ธรรม และดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณรู้แล้ว.
               พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ย่อมรู้ด้วยเหตุนี้. เพราะว่า การถือเอาโดยนัยของพระเถระไม่มีประมาณ ไม่มีที่สุด สัพพัญญุตญาณย่อมไม่มีประมาณ หรือที่สุดรอบฉันใด การถือเอาโดยนัยของพระธรรมเสนาบดีก็ไม่มีประมาณ หรือที่สุดรอบฉันนั้น เพราะเหตุนั้น พระเถระนั้นย่อมรู้ว่า พระศาสดานั้นทรงเป็นอย่างนี้ด้วยเหตุนี้ๆ ทรงเป็นผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าด้วยเหตุนี้ๆ เพราะว่า การถือเอาโดยนัยของพระเถระ คือคติแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง.
               บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงอุปมาเพื่อทำให้การถือเอาโดยนัยนี้ปรากฏ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า แม้ฉันใด พระเจ้าข้า.
               เพราะในมัชฌิมประเทศนั้น ป้อมหรือกำแพงเป็นต้นของเมืองจะแข็งแรงหรือไม่แข็งแรงก็ตาม ไม่ต้องวิตกอะไรทั้งหมด เรื่องโจรไม่ต้องระแวง เพราะฉะนั้น พระเถระไม่ถือเอาเรื่องนั้นเป็นสำคัญจึงกล่าวว่า เมืองชายแดนเป็นต้น.
               บทว่า มีเชิงเทินมั่นคง ความว่า มีเชิงกำแพงมั่นคง.
               บทว่า มีกำแพงและเสาระเนียดหนาแน่น ความว่า มีกำแพงหนาแน่น และมีประตูหน้าต่างมั่นคง.
               ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงกล่าวว่า มีประตูเดียว.
               ตอบว่า เพราะว่า ในเมืองที่มีประตูมาก จะต้องมีคนเฝ้าประตูที่ฉลาดหลายคน ส่วนในเมืองที่มีประตูเดียวใช้คนเดียวก็พอ ไม่มีผู้อื่นเสมอด้วยปัญญาของพระเถระ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่ามีประตูเดียว เพื่อจะแสดงคนเฝ้าประตูคนเดียวเท่านั้น เพื่อจะเปรียบความที่ตนเป็นผู้ฉลาด.
               บทว่า ปณฺฑิโต เป็นผู้ฉลาด คือ ประกอบด้วยความเป็นผู้ฉลาด.
               บทว่า พฺพตฺโต ผู้สามารถ คือ ประกอบความเป็นผู้สามารถ ได้แก่เป็นผู้มีความรู้คล่องแคล่ว.
               บทว่า เมธาวี มีปัญญา คือ ประกอบด้วยเมธา กล่าวคือปัญญาพิจารณาการเกิดขึ้นแห่งสถานการณ์.
               บทว่า ทางรอบพระนคร ได้แก่ ทางรอบกำแพง ชื่อว่าสำหรับเดินตรวจ.
               บทว่า ที่ต่อกำแพง ได้แก่ ที่ที่อิฐสองก้อนเชื่อมติดกัน.
               บทว่า ช่องกำแพง ได้แก่ ที่ทำเป็นช่องกำแพง.
               บทว่า เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ทำจิตให้เศร้าหมอง คือทำความเศร้าหมอง ได้แก่ให้เข้าไปเร่าร้อน เบียดเบียนอยู่ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ.
               บทว่า ทอนกำลังปัญญา ความว่า นิวรณ์ทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่ให้ปัญญาที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเรียกว่าบั่นทองกำลังปัญญา.
               บทว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ความว่า เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วในสติปัฏฐาน ๔.
               บทว่า ในโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ได้แก่ เจริญแล้วตามภาวะของตน.
               ด้วยบทว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิ พระเถระแสดงว่า แทงตลอดความเป็นพระอรหันต์ และสัพพัญญุตญาณ.
               ก็อีกอย่างหนึ่ง คำว่า สติปัฏฐาน นี้คือวิปัสสนาโพชฌงค์ มรรคก็คือพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และความเป็นพระอรหันต์.
               อีกอย่างหนึ่ง คำว่า สติปัฏฐาน ก็คือวิปัสสนาที่เจือด้วยโพชฌงค์ ได้แก่ความเป็นพระอรหันต์ คือสัมมาสัมโพธิญาณมั่นคง.
               ส่วนพระทีฆภาณกมหาสิวเถระกล่าวแล้วว่า เมื่อถือเอาวิปัสสนาในสติปัฏฐานแล้ว ถือเอาโพชฌงค์ว่า เป็นมรรคและเป็นสัพพัญญุตญาณ ก็จะพึงเป็นปัญหาที่สวย แต่ว่า อย่าไปถือเอาอย่างนั้น. พระเถระเมื่อจะแสดงความไม่มีความแตกต่างกัน เหมือนทองและเงินแตกแล้วในท่ามกลาง ในการละนิวรณ์ ในการเจริญสติปัฏฐานและในการตรัสรู้เองของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยประการฉะนี้ หยุดแค่นี้ก่อน ควรเปรียบเทียบข้ออุปมา ก็ท่านพระสารีบุตรแสดงถึงเมืองชายแดน กำแพง ทางรอบพระนคร คนเฝ้าประตูที่ฉลาด เหล่าสัตว์ที่คับคั่งเข้าออกเมือง. แสดงสัตว์เหล่านั้นปรากฏแก่คนเฝ้าประตู.
               ในคำนั้นหากมีคำถามว่า อะไรเหมือนอะไร.
               ตอบว่า เพราะว่า พระนิพพานเหมือนนคร ศีลเหมือนกำแพง ความละอายแก่ใจเหมือนทางรอบพระนคร อริยมรรคเหมือนประตู พระธรรมเสนาบดีเหมือนคนเฝ้าประตูที่ฉลาด พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เหมือนเหล่าสัตว์จำนวนมากเข้าออกพระนคร ข้อที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันปรากฏโดยความมีศีลเสมอกันเป็นต้นแก่ท่านพระสารีบุตร เหมือนข้อที่สัตว์เหล่านั้นปรากฏแก่คนเฝ้าประตู.
               พระเถระได้กราบทูลอย่างนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์ดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณ ย่อมรู้การถือเอาโดยนัยที่คล้อยตามธรรม ดังนี้ การตามประกอบสีหนาทของตน ก็เป็นอันพระเถระถวายแล้ว.
               บทว่า เพราะฉะนั้น ความว่า เพราะพระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมไม่มีญาณเครื่องกำหนดรู้พระทัยในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันแล ก็แต่ว่า การคล้อยตามธรรมข้าพระองค์รู้แล้ว ฉะนั้น.
               บทว่า พึงกล่าวเนืองๆ ความว่า เธอพึงกล่าวบ่อยๆ.
               บทว่า เรากล่าวแล้วในเวลาเช้า ความว่า ไม่กล่าวในเวลาเย็นและเวลาเที่ยงเป็นต้น. อธิบายว่า ไม่กล่าวแล้วในวันอื่นเป็นต้นว่า เรากล่าวแล้วในวันนี้.
               บทว่า จักละความสงสัยนั้น ความว่า ขึ้นชื่อว่า พระสาวกที่ถึงพร้อมด้วยความแล่นไปแห่งความรู้ แม้เช่นกับพระสารีบุตร ก็ไม่อาจจะรู้การเที่ยวไปแห่งจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
               บทว่า พระตถาคตเจ้าอันใครพึงเปรียบไม่ได้อย่างนี้ ความว่า ความเคลือบแคลง สงสัยในพระตถาคตเจ้า เขาจักละได้.

               จบอรรถกถานาฬันทสูตรที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค สติปัฏฐานสังยุตต์ นาฬันทวรรคที่ ๒ ๒. นาฬันทสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 724อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 726อ่านอรรถกถา 19 / 733อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=4230&Z=4279
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=13&A=6119
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=13&A=6119
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๕  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :