บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า คยาสีเส ความว่า จริงอยู่ สระโบกขรณีแห่งหนึ่งชื่อคยาก็มี แม่น้ำชื่อว่าคยาสีสะก็มี ศิลาดาดเช่นกับหม้อน้ำก็มี ในที่ไม่ไกลหมู่บ้านคยา. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่ที่ภิกษุพันรูปอยู่กันพอ เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า คยาสีเส ดังนี้. บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเลือกพระธรรมเทศนาที่เป็นสัปปายะแก่ภิกษุเหล่านั้น ตรัสเรียกว่า เราจักแสดงอาทิตตปริยายสูตรนั้น. ในข้อนั้นมีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้ :- เล่ากันมาว่า จากภัททกัปนี้ไป ๙๒ กัป ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า มหินทะ. ท้าวเธอมีพระเชฏฐโอรสพระนามว่า ปุสสะ. ปุสสะเชฏฐโอรสนั้นเปี่ยมด้วยบารมี เป็นสัตว์เกิดในภพสุดท้าย เมื่อญาณแก่กล้า เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถานแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ. พระกนิฏฐโอรสเป็นอัครสาวกของพระองค์ บุตรปุโรหิตเป็นทุติยสาวก. พระราชามีพระดำริว่า ลูกชายคนโตของเราออกบวชเป็นพระพุทธเจ้า ลูกคนเล็กเป็นอัครสาวก ลูกปุโรหิตเป็นทุติยสาวก. พระองค์ให้สร้างวิหารด้วยพระดำริว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของพวกเราทั้งนั้น ทรงล้อมสองข้างทางด้วยไม้ไผ่ จากพระทวารตำหนักของพระองค์จนถึงซุ้มประตูวิหาร เบื้องบนรับสั่งให้ผูกพวงของหอมพวงมาลัยที่หอมฟุ้งเป็นเพดาน เสมือนประดับด้วยดาวทอง เบื้องล่างรับสั่งให้เกลี่ยทรายสีเหมือนเงินแล้วโปรยดอกไม้ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาตามมรรคานั้น. พระศาสดาประทับยืนในพระวิหารนั่นแล ทรงห่มจีวรเสด็จมายังพระราชมณเฑียร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ภายในม่านทีเดียว เสร็จภัตกิจแล้วเสด็จกลับภายในม่านนั่นเอง. ไม่มีใครได้ถวายภัตตาหารสักทัพพี. ลำดับนั้น ชาวพระนครพากันโพนทะนาว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก แต่พวกเราไม่ได้ทำบุญกันเลย ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างแก่คนทั้งปวง แต่พระราชาพระองค์นี้แย่งบุญของคนทั้งหมด. ก็พระราชานั้นมีพระโอรสอื่นๆ ๓ พระองค์. ชาวพระนครร่วมปรึกษากับพระโอรสเหล่านั้นว่า ขึ้นชื่อว่าภายในกับราชตระกูลไม่มี พวกเราจะทำอุบายอย่างหนึ่ง. ชาวพระนครเหล่านั้นได้แต่งโจรชายแดนขึ้น ส่งข่าวสาส์นกราบทูลพระราชาว่า หมู่บ้าน ๒-๓ ตำบลถูกปล้น. พระราชารับสั่งให้เรียกพระโอรสทั้ง ๓ มารับสั่งว่า ลูกๆ ทั้งหลาย พ่อแก่แล้ว พวกเจ้าจงไปปราบโจร แล้วส่งไป. พวกโจรที่แต่งขึ้น กระจายกันไปทางโน้นทางนี้แล้วมายังสำนักของพระโอรสเหล่านั้น พระโอรสเหล่านั้นให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่อาศัยพักอยู่ กล่าวว่า โจรสงบแล้ว ได้พากันมายืนถวายบังคมพระราชา. พระราชาทรงพอพระทัย ตรัสว่า ลูกๆ พ่อจะให้พรแก่พวกเจ้า. พระโอรสเหล่านั้นรับพระดำรัสแล้ว ได้ไปปรึกษากับชาวพระนครว่า พระราชาพระราชทานพรแก่พวกเรา พวกเราจะเอาอะไร. ชาวพระนครกล่าวว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ช้างม้าเป็นต้นพวกเราได้ไม่ยาก แต่พระพุทธรัตนะหาได้ยาก ไม่เกิดขึ้นทุกกาล ขอท่านทั้งหลายจงรับพร คือการปฏิบัติพระปุสสพุทธเจ้าผู้เป็นเชฏฐภาดาของท่านทั้งหลาย. พระโอรสเหล่านั้นรับคำชาวพระนครว่า จักกระทำอย่างนั้น จึงโกนพระมัสสุ สนานพระองค์ตกแต่งพระองค์ ไปเฝ้าพระราชา กราบ พระโอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พวกข้าพระองค์มิได้บังคับให้พระองค์พระราชทานพร พระองค์มีความยินดีพระราชทานตามความพอพระทัยของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ ควรหรือที่ราชตระกูลจะมีคำพูดเป็นสอง ดังนี้ได้ถือเอาด้วยความเป็นผู้กล่าววาจาสัตย์. พระราชาเมื่อกลับคำพูดไม่ได้จึงตรัสว่าลูกๆ พ่อจักให้พวกเจ้าบำรุงตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน. พระโอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์โปรดประทานสิ่งที่ดีไว้เป็นประกัน. มีรับสั่งถามว่า ประกันใครเล่าลูก. พระโอรสกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดประทานสิ่งที่ไม่ตายไว้เป็นประกันตลอดกาลเท่านี้. ตรัสว่า ลูกๆ พวกเจ้าให้ประกันที่ไม่สมควร เราไม่อาจให้ประกันอย่างนี้ ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเช่นกับหยาดน้ำค้างที่ปลายหญ้า. พระโอรสกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ประทานประกัน พวกข้าพระองค์ตายเสียในระหว่าง จักกระทำกุศลได้อย่างไร. พระราชาตรัสว่า ลูกๆ ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงให้ตลอด ๖ ปี. ไม่สามารถพระเจ้าข้า. ถ้าเช่นนั้น จงให้ ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๖ เดือน ฯลฯ เพียงเดือนเดียว. ไม่สามารถพระเจ้าข้า. ถ้าอย่างนั้น จงให้เพียง ๗ วัน. พระโอรสรับพระดำรัส ๗ วัน. พระราชาได้ทรงกระทำสักการะที่ควรจะทำตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ใน ๗ วันเท่านั้น. ต่อแต่นั้น พระราชามีรับสั่งให้ แม้พระราชโอรสก็ให้ตกแต่งทาง ๑๖ อุสภะในที่ที่ตนมีอำนาจ อย่างนั้นเหมือนกัน. พระราชาเสด็จไปเขตคันนาของสถานที่พระองค์มีอำนาจถวายบังคมพระศาสดาพลางรำพันตรัสว่า ลูกๆ พวกเจ้าเหมือนควักตาขวาของเราไป แต่พวกเจ้ารับอย่างนี้ไปแล้ว พึงกระทำให้สมควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อย่าเที่ยวประมาทเหมือนนักเลงสุรา. พระราชโอรสเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าพระองค์จักทราบพระเจ้าข้า แล้วพา ลำดับนั้น พระราชโอรสเหล่านั้นได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้หนักในธรรม ไม่หนักในอามิส พวกเราตั้งอยู่ในศีลแล้วจักอาจยึด ลำดับนั้น บรรดาราชกุมารเหล่านั้น เชฏฐภาดาพาบุรุษ ๕๐๐ คนตั้งอยู่ในศีล ๑๐ ครองผ้ากาสายะ ๒ ผืน บริโภคน้ำที่สมควร ครองชีพอยู่. ราชโอรสองค์กลางเป็นคฤหัสถ์ ราชโอรสองค์สุดท้องปฏิบัติเหมือนอย่างนั้น พร้อมกับบุรุษ ๒๐๐ คน. เขาบำรุงพระศาสดาตลอดชีวิต. พระศาสดาเสด็จปรินิพพานในสำนักของเขาเหล่านั้นเอง. ราชโอรสแม้เหล่านั้นทิวงคตแล้ว ตั้งแต่นั้นไป ๙๒ กัป ท่องเที่ยวไปจากมนุษย์โลกสู่เทวโลก จากเทวโลกสู่มนุษย์โลก ในสมัยพระศาสดาของพวกเรา จุติจากเทวโลกบังเกิดในมนุษยโลก. มหาอำมาตย์เป็นโฆสกในโรงทานของเขาเหล่านั้น บังเกิดเป็น ฝ่ายมนุษย์ผู้เป็นบริวารของราชโอรสเหล่านั้นเกิดเป็นมนุษย์บริวารนั่นเอง. ชนทั้ง ๓ นั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว พาบุรุษ ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นดาบส อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแขวงอุรุเวลาประเทศ. ชาวอังคะและมคธนำสักการะเป็นอันมาก ถวายแก่ดาบสเหล่านั้นทุกๆ เดือน. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ บรรลุสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ แล้วทรงประกาศพระ พระองค์ทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ ผู้ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ไปยังคยาสีสประเทศ อันสมณะเหล่านั้นแวดล้อมแล้วประทับนั่ง พลางทรงพระดำริว่า ธรรม ลำดับนั้น พระองค์ได้ตรัสอาทิตตปริยายสูตรนี้ เพื่อแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้น โดยปาฏิหาริย์หลายร้อย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเลือกพระธรรมเทศนาอันเป็นสัปปายะของชน (ชฏิล) เหล่านั้น จึงตรัสเรียก ด้วยหมายจะทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตํ แปลว่า อันไฟติดแล้ว ลุกโชนแล้ว. คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ตรัสทุกขลักษณะไว้ในพระสูตรนี้ ด้วยประการฉะนี้. จบอรรถกถาอาทิตตปริยายสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สฬายตนสังยุตต์ สัพพวรรคที่ ๓ ๖. อาทิตตปริยายสูตร จบ. |