ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 17 / 1อ่านอรรถกถา 17 / 433อรรถกถา เล่มที่ 17 ข้อ 435อ่านอรรถกถา 17 / 436อ่านอรรถกถา 17 / 594
อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ทิฏฐิสังยุต โสตาปัตติวรรคที่ ๑
อสัสสตทิฏฐิสูตรที่ ๑๐ ว่าด้วยความเห็นว่าโลกไม่เที่ยง

               ๘-๑๐ อรรถกถามหาทิฏฐิสูตรเป็นต้น ถึงสูตรที่ ๑๐               
               บทว่า อกฏา คือ (กายทั้ง ๗) ไม่มีใครสร้าง.
               บทว่า อกฏวิธา คือ ไม่มีใครทำการจัดแจง (ให้สร้าง). อธิบายว่า แม้ที่ใครๆ ให้ทำด้วยบอกว่า จงทำอย่างนี้ ก็ไม่มี.
               บทว่า อนิมฺมิตา คือ ไม่มีใครเนรมิตแม้ด้วยฤทธิ์.
               บทว่า อนิมฺมิตวิธา คือ การจัดแจง ไม่มีใครเนรมิตแล้ว. อธิบายว่า ไม่ใช่ที่ใครๆ ควรเนรมิตได้. ปาฐะว่า อนิมฺมิตพฺพา ดังนี้บ้าง.
               บทว่า วญฺฌา คือ ไม่มีผล ได้แก่ไม่ให้เกิดผลอะไรๆ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่เป็นหมัน และตาลที่เป็นหมัน (ตาลตัวผู้) เป็นต้น.๑-
____________________________
๑- อรรถกถาเป็น วชฺฌาติ ปํสุวชฺฌา ตาลาทโย วิย. ฉบับพม่าเป็น วญฺฌปสฺวญฺฌตาลาทโย วิย. บาลีเป็น วญฺญา แปลตามฉบับพม่า.

               บทว่า กูฏฏฺฐา ความว่า ยืนหยัดอยู่เหมือนยอดภูเขา (เพราะเหตุนั้น) จึงชื่อว่า กูฏัฏฐา
               บทว่า เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตา ตั้งอยู่เป็นเหมือนตั้งอยู่ดุจเสาระเนียด เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตา. อธิบายว่า เสาระเนียดที่ฝังดีแล้ว ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวฉันใด กายก็ตั้งอยู่ฉันนั้น.
               บทว่า น อิญฺชนฺติ ความว่า ไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียดฉะนั้น.
               บทว่า น วิปริณมนฺติ ความว่า ไม่ละปกติ.
               บทว่า น อญฺญมญฺญํ พฺยาเธนฺติ ความว่า ไม่เบียดเบียนกันและกัน.
               บทว่า นาลํ แปลว่า ไม่สามารถ.
               ในบทว่า ปฐวีกาโย เป็นต้น มีอธิบายว่า ปฐวีนั่นแล ชื่อว่าปฐวีกายะ (กองดิน) หรือปฐวีสมูหะ (มูลดิน).
               บทว่า สตฺตนฺนํ เตฺวว กายานํ มีความว่า ศัสตราที่ฟันลงไปในกองถั่วเขียวเป็นต้น ย่อมแทรกเข้าไปในระหว่างถั่วเขียวเป็นต้นฉันใด ศัสตราก็แทรกเข้าไปในระหว่าง คือทางช่อง ได้แก่ทางที่ว่างของกายทั้ง ๗ ฉันนั้น.
               ในการฆ่านั้น พวกมิจฉาทิฏฐิแสดงว่า จะมีแต่เพียงหมายรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้นว่า เราปลงผู้นี้จากชีวิต (ฆ่าสัตว์).
               มิจฉาทิฏฐิกบุคคล (ผู้นิยมในลัทธินี้) พากันแสดงการปลงใจเชื่อแบบไร้ประโยชน์ (ที่ได้มา) ด้วยเหตุเพียงการตรึกแต่เพียงอย่างเดียว (โดยใช้หลักตักกวิทยาเพียงอย่างเดียว) ว่ากำเนิดใหญ่ คือกำเนิดที่สำคัญมี ๑,๔๐๐,๐๐๐ รวมกับกำเนิดอื่นอีก ๖,๖๐๐ และกรรมอีก ๕๐๐ ด้วยบทว่า โยนิปมุขสตสหสฺสานิ.
               แม้ในบทว่า ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ (กรรม ๕ และกรรม ๓) เป็นต้นก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้.
               ฝ่ายอาจารย์บางพวกกล่าวว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหลายกล่าวถึงกรรม ๕ ด้วยอำนาจอินทรีย์ ๕ กล่าวถึงกรรม ๓ ด้วยอำนาจกายกรรมเป็นต้น.
               ส่วนในบทว่า กมฺเม จ อฑฺฒกมฺเม จ (กรรมและกรรมครึ่งหนึ่ง) นี้มีอธิบายว่า กายกรรมและวจีกรรมของเจ้าลัทธินั้น ได้ชื่อว่าเป็นกรรม มโนกรรมได้ชื่อว่าเป็นกรรมครึ่งหนึ่ง.
               มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า ปฏิปทามี ๖๒ ด้วยบทว่า ทฺวฏฺฐิปฏิปทา.
               บทว่า ทฺวฏฺฐนฺตรกปฺปา ความว่า ในกัปใหญ่กัปหนึ่ง มีกัปชื่อว่าอันตรกัป (กัปย่อย) ๖๔ กัป. แต่ว่า เจ้าลัทธินี้ไม่รู้กัปอื่นอีก ๒ กัป (สังวัฏฏฐายีกัป ๑ วิวัฏฏฐายีกัป ๑) จึงกล่าวอย่างนี้.
               มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวถึง อภิชาติ (กำเนิด) ๖ เหล่านี้ คือ กัณหาภิชาติ ๑ นีลาภิชาติ ๑ โลหิตาภิชาติ ๑ หลิททาภิชาติ ๑ สุกกาภิชาติ ๑ ปรมสุกกาภิชาติ ๑ ด้วยบทว่า ฉฬาภิชาติโย.
               มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า บรรดากำเนิดทั้ง ๖ นั้น โอรัมภิกกำเนิด (การเกิดเป็นนายพรานแกะ) สูกริกกำเนิด (การเกิดเป็นนายพรานสุกร) สากุณิกกำเนิด (การเกิดเป็นนายพรานนก) มาควิกกำเนิด (การเกิดเป็นนายพรานเนื้อ) ลุทธกำเนิด (การเกิดเป็นนายพราน) มัจฉมาฏกกำเนิด (การเกิดเป็นชาวประมง) โจรกำเนิด (การเกิดเป็นโจร) โจรฆาฏกำเนิด (การเกิดเป็นเพชฌฆาต ฆ่าโจร) พันธนาคาริกกำเนิด (การเกิดเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ) ก็หรือว่า การงานที่ต่ำต้อยเหล่าอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้ชื่อว่า กัณหาภิชาติ (กำเนิดดำ).
               กำเนิดภิกษุ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า นีลาภิชาติ (กำเนิดเขียว) ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นใส่หนามลงไปในปัจจัย ๔ แล้วจึงฉัน (อาหาร) และภิกษุทั้งหลายก็เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยอาศัยหนาม ก็บาลีดังว่ามานี้ เป็นบาลีของภิกษุนั้นนั่นแล.
               อีกอย่างหนึ่ง เขากล่าวกันว่า นักบวชทั้งหลายเป็นเหมือนอยู่ในดงหนาม จึงมีชื่ออย่างนี้ (กณฺฐกวุตฺติกา)
               เขากล่าวว่า พวกนิครนถ์ที่ใช้ผ้าผืนเดียว ชื่อว่า โลหิตาภิชาติ (กำเนิดแดง) ว่ากันว่า นิครนถ์พวกนี้บริสุทธิ์กว่า ๒ พวกแรก.
               เขากล่าวว่า สาวกของอเจลกะที่เป็นคฤหัสถ์นุ่งขาวห่มขาว ชื่อว่า หลิทฺทาภิชาติ (กำเนิดเหลือง) นิครนถ์ทั้งหลายทำพวกสาวกที่เป็นคฤหัสถ์ผู้ถวายปัจจัยของตน ให้มีความสำคัญกว่าพวกนิครนถ์ด้วยกันด้วยอาการอย่างนี้.
               เขากล่าวว่า พวกอาชีวกผู้ชาย พวกอาชีวกผู้หญิง นี้ชื่อว่าสุกกาภิชาติ ว่ากันว่า อาชีวกทั้งหญิงและชายเหล่านั้นบริสุทธิ์กว่า ๔ พวกแรก.
               เขากล่าวว่า เจ้าลัทธิ ชื่อ นันทะ วัจฉะ สังกิจจะ มักขลิโคสาล ชื่อว่าปรมสุกกาภิชาติ. ว่ากันว่า เจ้าลัทธิเหล่านั้นบริสุทธิ์กว่าพวกอื่นทั้งหมด.
               มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า ภูมิ (ระดับของการเจริญเติบโต) ของคนมี ๘ ภูมิเหล่านี้ คือ มันทภูมิ ๑ ขิฑฑาภูมิ ๑ วีมังสกภูมิ ๑ อุชุคตภูมิ ๑ เสขภูมิ ๑ สมณภูมิ ๑ ชานนภูมิ ๑ ปันนภูมิ ๑ ด้วยบทว่า อฏฺฐ ปุริสภูมิโย.
               บรรดาภูมิทั้ง ๘ นั้น ตลอด (เวลา) ๗ วัน จำเดิมแต่วันเกิด สัตว์ทั้งหลายนับว่ายังอ่อนแอ โง่เง่า เพราะออกมาจากสถานที่คับแคบ เขาว่า นี้ชื่อว่ามันทภูมิ.
               ส่วนสัตว์เหล่าใดมาจากทุคคติ สัตว์เหล่านั้น ชอบร้องไห้บ่อยๆ และร้องดังด้วย (ส่วน) สัตว์เหล่าใดมาจากสุคติ สัตว์เหล่านั้นหวนระลึกถึงสุคตินั้น แล้วก็ชอบหัวเราะ นี้ชื่อว่าขิฑฑาภูมิ.
               การจับมือหรือเท้าของมารดาบิดา (หรือ) จับเตียงหรือตั่งแล้ววางเท้าลงเหยียบพื้น ชื่อว่าวิมังสกภูมิ. เวลาที่สามารถเดินได้ ชื่อว่าอุชุคตภูมิ. ระยะเวลาที่ศึกษาศิลปะ ชื่อว่าเสขภูมิ. เวลาที่ออกจากเรือนบวช ชื่อว่าสมณภูมิ. เวลาที่มีความรู้เพราะซ่องเสพ (ศึกษามาจาก) อาจารย์ ชื่อว่าชานนภูมิ.
               เขากล่าวถึงสมณะผู้ไม่ฉลาดอย่างนี้ว่า ก็ภิกษุเป็นผู้พลัดตก (จากประโยชน์) เสียแล้ว (เพราะ) พระชินเจ้าหาตรัสอะไรไว้ด้วยไม่ นี้ชื่อว่าปันนภูมิ.
               บทว่า เอกูนปญฺญาส อาชีวสเต ได้แก่ วิธีดำเนินชีวิต ๔,๙๐๐.
               บทว่า ปริพฺพาชกสเต ได้แก่ การบวชเป็นปริพาชก ๑๐๐.
               บทว่า นาควาสสเต ได้แก่ นาคมณฑล ๑๐๐.
               บทว่า วีเส อินฺทฺริยสเต ได้แก่ อินทรีย์ ๒,๐๐๐.
               บทว่า ตึเส นิรยสเต ได้แก่ นรก ๓,๐๐๐.
               มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวหมายถึงหลังมือและหลังเท้าเป็นต้นซึ่งเป็นที่โปรยธุลีลง ด้วยบทว่า รโชธาตุโย.
               กล่าวหมายถึง อูฐ โค ฬา แพะ สัตว์เลี้ยงเนื้อและกระบือ ด้วยบทว่า สตฺตสญฺญีคพฺภา.
               กล่าวหมายถึง ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟ่าง ลูกเดือยและหญ้ากับแก้ ด้วยบทว่า อสญฺญีคพฺภา.
               กล่าวหมายถึง ต้นอ้อย ต้นไผ่และต้นอ้อเป็นต้นซึ่งมีต้น (ใหม่) งอกขึ้นที่ตา ด้วยบทว่า นิคณฺฐิคพฺภา.
               บทว่า สตฺต ทิพฺพา ได้แก่ เทพจำนวนมาก ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลนั้น เรียก (เทพเหล่านั้น) ว่าสัตว์. แม้มนุษย์ก็มีจำนวนมาก เขาก็เรียก (มนุษย์เหล่านั้น) ว่าสัตว์.
               บทว่า สตฺต ปิสาจา ได้แก่ ปีศาจจำนวนมากมาย มิจฉาทิฏฐิกบุคคลก็เรียก (ปีศาจจำนวนมากเหล่านั้น) ว่าสัตว์.๒-
____________________________
๒- อรรถกถาว่า สตฺต ทิพฺพาติ พหุเทวา โสมนสตฺตาติ วทติ. ฉบับพม่าเป็น สตฺต เทวาติ พหู เทวา, โส ปน สตฺตาติ วทติ. มนุสฺสาปิ อนนฺตา, โส สตฺตาติ วทติ. สตฺต เปสาจาติ ปิสาขา มหนฺตมหนฺตา, สตฺตาติ วทติ. แปลตามฉบับพม่า.

               บทว่า สรา ได้แก่ สระใหญ่. เขากล่าวหมายถึงสระกัณณมุณฑะ สระรถการะ สระอโนดาต สระสีหปปาตะ สระมณฑากินี สระมุจจลินท์และสระกุณาละ.
               บทว่า ปวุฏา ได้แก่ ห้วง๓-
               บทว่า ปปาตา ได้แก่ เหวใหญ่๓-
____________________________
๓- ฉบับพม่าเป็น ปวุฏาติ คณฐิตา. ปปาตาติ มหาปปาตา.

               บทว่า ปปาตสตานิ ได้แก่ เหวเล็ก ๗๐๐.
               บทว่า สุปินา ได้แก่ สุบินใหญ่ ๗.
               บทว่า สุปินสตานิ ได้แก่ สุบินเล็ก ๗๐๐.
               บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่ มหากัปทั้งหลาย
               ในข้อนี้ เจ้าลัทธินั้นมีความเห็นดังนี้ว่า เมื่อบุคคลเอาปลายหญ้าคาจุ่มน้ำออกจากสระใหญ่ ๑ สระโดย ๑๐๐ ปีต่อน้ำ ๑ หยด แล้วทำสระนั้นให้แห้งถึง ๗ ครั้ง (อย่างนี้) จัดเป็นมหากัป ๑. พาลและบัณฑิตปล่อยให้มหากัปเห็นปานนี้ สิ้นไปได้ ๘,๔๐๐,๐๐๐ มหากัปแล้วก็จะทำที่สุดทุกข์ได้.
               เชื่อกันว่า ในระยะเวลาระหว่างนั้น แม้บัณฑิตก็ไม่สามารถจะบริสุทธิ์ได้ ทั้งคนพาลก็ไม่เลยจากนั้นไปได้.
               บทว่า สีเลน วา ได้แก่ ด้วยศีลของอเจลกะหรือด้วยศีลอย่างอื่นชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้ด้วยวัตรก็เช่นนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า ตเปน ความว่า ผู้ใดคิดว่า เราเป็นบัณฑิต แล้วบริสุทธิ์ในระยะเวลาระหว่าง (มหากัปเหล่านั้น) ผู้นั้นชื่อว่าทำกรรมที่ยังไม่สุกงอม ให้สุกงอมด้วยการบำเพ็ญตบะ. ผู้ใดคิดว่า เขาเป็นพาลดังนี้แล้ว ล่วงเลยเวลากำหนดดังกล่าวแล้วไป ผู้นั้นชื่อว่าได้สัมผัสกรรมที่ยังไม่สุกงอมแล้วทำให้สิ้นสุดไปได้.
               บทว่า เหวํ นตฺถิ คือ เอวํ นตฺถิ. ก็กรรมทั้งสองอย่างนั้น เจ้าลัทธิแสดงว่า ใครๆ ไม่สามารถจะทำได้.
               บทว่า โทณมิเต แปลว่า เป็นเหมือนตวงด้วยทะนาน.
               บทว่า สุขทุกฺเข คือ สุขทุกฺขํ (แปลว่า สุขและทุกข์)
               บทว่า ปริยนฺตกเต คือ (สังสารวัฏ) ถูกทำให้มีที่สุดได้ตามเวลามีกำหนดดังกล่าวแล้ว.
               บทว่า นตฺถิ หายนวฑฺฒเน คือไม่มีความเสื่อมและเจริญ. อธิบายว่า สังสารวัฏของบัณฑิตก็ไม่เสื่อม (สิ้นสุดลง) ของคนพาลก็ไม่เจริญ (ยืดออกไป).
               บทว่า อุกฺกํสาวกํเส นี้เป็นไวพจน์ของความเสื่อมและความเจริญเหมือนกัน.
               บัดนี้ เมื่อจะให้ความหมายนั้นสำเร็จด้วยอุปมา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า เสยฺยถาปิ นาม เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุตฺตคุเฬ ได้แก่ กลุ่มด้ายที่กรอไว้กำลังคลี่คลายออกไปนั่นเอง.
               ด้วยบทว่า ปเลติ เจ้าลัทธิแสดงว่า กลุ่มด้ายที่วาง (เงื่อนหนึ่ง) ไว้บนภูเขา หรือบนยอดไม้ แล้วขว้างไป จะคลี่คลายไปตามขนาด (ความยาว) ของด้าย เมื่อด้ายหมดแล้วก็จะหยุดลงในที่นั้นแหละ ไม่ไปต่อฉันใด พาลและบัณฑิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อแก้ไขไปก็จะสิ้นสุดความสุขความทุกข์ได้ ตามอำนาจกาลเวลา คือจะผ่านพ้นสุขทุกข์ไปได้ตามกาลเวลาดังกล่าวแล้ว.

               จบอรรถกถาสูตรที่ ๘ ถึงสูตรที่ ๑๐.               
               -----------------------------------------------------               
               อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-
               อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ทิฏฐิสังยุต โสตาปัตติวรรคที่ ๑                เหตุสูตรที่ ๗ ว่าด้วยอเหตุกทิฏฐิ http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=429                อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
               อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ทิฏฐิสังยุต โสตาปัตติวรรคที่ ๑                อันตวาสูตรที่ ๑๑ ว่าด้วยความเห็นว่าโลกมีที่สุด http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=436

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ทิฏฐิสังยุต โสตาปัตติวรรคที่ ๑ อสัสสตทิฏฐิสูตรที่ ๑๐ ว่าด้วยความเห็นว่าโลกไม่เที่ยง จบ.
อ่านอรรถกถา 17 / 1อ่านอรรถกถา 17 / 433อรรถกถา เล่มที่ 17 ข้อ 435อ่านอรรถกถา 17 / 436อ่านอรรถกถา 17 / 594
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=5244&Z=5263
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๐  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :