ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 17 / 1อ่านอรรถกถา 17 / 258อรรถกถา เล่มที่ 17 ข้อ 260อ่านอรรถกถา 17 / 263อ่านอรรถกถา 17 / 594
อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ปุปผวรรคที่ ๕
นาวาสูตร ว่าด้วยการสิ้นและไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ

               อรรถกถานาวาสูตรที่ ๙               
               พึงทราบวินิจฉัยในนาวาสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว กุกฺกุฏิยา อณฺฑานิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุปมา ๒ ข้อนี้ไว้ ด้วยอำนาจธรรมที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว.๑-
               บรรดาอุปมา ๒ ข้อนั้น อุปมาว่าด้วยธรรมที่เป็นฝ่ายดำ ยังไม่ให้สำเร็จประโยชน์ (แต่) อุปมาว่าด้วยธรรมที่เป็นฝ่ายขาว นอกนี้ทำให้สำเร็จประโยชน์ได้แล. พึงทราบเนื้อความของอุปมาว่าด้วยธรรมฝ่ายขาว๒- อย่างนี้.
____________________________
๑- ปาฐะว่า คณฺหปกฺขสุกฺขปกฺขวเสน ฉบับพม่าเป็น กณฺหปกฺขสุกฺกปกฺขวเสน แปลตามฉบับพม่า.
๒- ปาฐะว่า สุกฺปกฺขอุปมาย ฉบับพม่าเป็น กุกฺกปกฺขอุปมาย แปลตามฉบับพม่า.

               บทว่า เสยฺยถา เป็นนิบาต ใช้ในความหมายเป็นข้ออุปมา.
               บทว่า อปิ๓- ใช้ในความหมายว่า ส่งเสริม.
               ด้วยบททั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงว่า เสยฺยถาปิ นาม ภิกฺขเว.
____________________________
๓- ปาฐะว่า ปีติสมฺภาวนตฺเถ ฉบับพม่าเป็น อปีติ สมฺภาวนตฺเถ แปลตามฉบับพม่า.

               ก็ในบทนี้ว่า กุกฺกุฏิยา อณฺฑานิ อฏฺฐ วา ทส วา ทฺวาทส วา มีอธิบายว่า ฟองไข่ของแม่ไก่ ขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง จากจำนวนมีประการดังกล่าวแล้ว ก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้อย่างนั้น เพราะด้วยคำสละสลวยดี และด้วยคำที่สละสลวยในโลกก็มีอยู่อย่างนี้.
               บทว่า ตานสฺส ตัดบทเป็น ตานิ อสฺสุ. (อสฺสุ) คือ ภเวยฺยุํ แปลว่า ฟองไข่เหล่านั้น พึงมี.
               บทว่า กุกฺกุฏิยา สมฺมาอธิสยิตานิ ความว่า ฟองไข่เหล่านั้น อันไก่ตัวเมียที่เป็นแม่กางปีกออกแล้วนออนทับอยู่บนฟองไข่เหล่านั้น ชื่อว่านอนทับด้วยดี.
               บทว่า สมฺมาปริเสทิตานิ ความว่า ฟองไข่ทั้งหลายที่แม่ไก่ให้ได้รับไออุ่นตามกาลอันสมควร ชื่อว่ากก คือทำให้อบอุ่นด้วยดี คือทั่วถึง.
               บทว่า สมฺมาปริภาวิตานิ ความว่า ฟองไข่ทั้งหลายที่แม่ไก่ฟักด้วยดี คือทั่วถึงตามกาลอันสมควร. อธิบายว่า ให้กลิ่นพ่อไก่จับ.
               บทว่า กิญจาปิ ตสฺสา กุกฺกุฏิยา ความว่า ไม่ไก่ตัวนั้นทำความไม่ประมาทด้วยการทำกิริยา ๓ อย่างนี้แล้ว จะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้แม้ก็จริง.
               บทว่า อถ โข ภพฺพาว เต ความว่า ถึงกระนั้น ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถที่จะเจาะ (ฟองไข่) ออกมาได้โดยสวัสดี ตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว.
               ก็เพราะเหตุที่ฟองไข่เหล่านั้นอันแม่ไก่ตัวนั้นบริบาลอยู่โดยอาการ ๓ อย่างอย่างนี้ จึงไม่เสีย และน้ำเมือกของฟองไข่เหล่านั้นก็เหือดแห้งไป เปลือกไข่บางปลายเล็บเท้าและจะงอยปากเริ่มแข็ง แก่กล้าไปเอง เพราะเปลือกไข่บาง แสงสว่างจากข้างนอกจึงปรากฏเข้าไปถึงข้างใน ฉะนั้น ลูกไก่เหล่านั้นจึงอยากจะออกมา (ข้างนอก) ด้วยคิดว่า เรานอนตัวงออยู่ในที่แคบมานานแล้วหนอ และแสงสว่างข้างนอกนี้ ก็ปรากฏอยู่ บัดนี้ เราทั้งหลายจักอยู่อย่างสุขสบายในที่นี้แหละดังนี้แล้ว เอาเท้ากระเทาะเปลือกไข่ ยื่นคอออกมา ครั้นแล้วเปลือกไข่นั้น ก็จะแตกออกเป็น ๒ ซีก ทีนั้นลูกไก่เหล่านั้นก็จะออกมาสลัดปีกส่งเสียงร้องเจี๊ยบๆ และครั้นออกมาแล้วก็จะเที่ยว (หากิน) ไป ทำให้คามเขตดูสวยงาม.
               บทว่า เอวเมว โข นี้เป็นบทรับรองข้ออุปมา บทรับรองข้ออุปมานั้นพึงทราบเทียบเคียงกับความหมายอย่างนี้. อธิบายว่า เวลาที่ภิกษุนี้ประกอบการบำเพ็ญภาวนาพึงทราบว่า เปรียบเหมือนการที่แม่ไก่นั้นทำกิริยา ๓ อย่างในฟองไข่.
               ความที่วิปัสสนาญาณของภิกษุผู้ประกอบการบำเพ็ญภาวนาไม่เสื่อมเพราะทำอนุปัสสนา ๓ อย่างให้ถึงพร้อม พึงทราบว่าเปรียบเหมือนภาวะที่ฟองไข่ไม่เน่า เพราะแม่ไก่ทำกิริยา ๓ อย่างให้ถึงพร้อม
               การที่ความสิเนหาคือความใคร่ใจที่ติดอยู่ในภพทั้ง ๓ ของภิกษุนั้นสิ้นไปเพราะทำอนุปัสสนา ๓ อย่างให้ถึงพร้อม พึงทราบว่าเปรียบเหมือนการที่ยางเหนียวของฟองไข่ทั้งหลายสิ้นไปเพราะแม่ไก่นั้นทำกิริยา ๓ อย่าง.
               การที่กะเปาะฟองไข่คืออวิชชาของภิกษุบาง พึงทราบว่าเปรียบเหมือนการที่เปลือกฟองไข่บาง
               การที่วิปัสสนาญาณของภิกษุกล้าแข็ง ผ่องใสและแกล้วกล้า พึงทราบว่าเปรียบเหมือนการที่ปลายเล็บเท้า และจะงอยปากของลูกไก่ทั้งหลายกล้าแข็ง.
               เวลาที่วิปัสสนาญาณของภิกษุแก่กล้า เจริญได้ที่ พึงทราบว่าเปรียบเหมือนเวลาที่ลูกไก่ทั้งหลายเจริญขึ้น.
               เวลาที่ภิกษุนั้นถือเอาวิปัสสนาญาณได้แล้ว เที่ยว (จาริก) ไป ได้ฤดูเป็นสัปปายะ โภชนะเป็นสัปปายะ บุคคลเป็นสัปปายะหรือการฟังธรรมเป็นสัปปายะอันเกิดแต่วิปัสสนาญาณนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะเดียวนั่นแล เจริญวิปัสสนา ทำลายกะเปาะฟองคืออวิชชาด้วยอรหัตตมรรคที่บรรลุแล้วตามลำดับ ปรบปีกคืออภิญญา แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยสวัสดี พึงทราบว่าเปรียบเหมือนเวลาลูกไก่เอาปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก กะเทาะกะเปาะฟองไข่ กระพือปีก แหวกออกมาได้โดยสวัสดี.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า แม่ไก่ทราบว่า ลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว จึงจิกกะเปาะฟองไข่ฉันใด ฝ่ายพระศาสดาก็ฉันนั้น ทรงทราบว่า ญาณของภิกษุเห็นปานนั้นแก่เต็มที่แล้ว ก็ทรงแผ่แสงสว่างไป แล้วทำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชา ด้วยคาถาโดยนัยเป็นต้นว่า :-
                         จงถอนความเสน่หาของตนขึ้นเสียเถิด ให้เหมือนกับ
                         ถอนดอกโกมุทที่บานในฤดูสารทกาลด้วยมือของตน
                         ฉะนั้น ขอเธอจงเพิ่มพูลทางแห่งสันติเถิด พระนิพพาน
                         พระสุคตเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว.
               เวลาจบคาถา ภิกษุนั้นทำลายกะเปาะฟองคืออวิชชาแล้ว ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์. ตั้งแต่นั้นมา พระมหาขีณาสพแม้นี้ก็เข้าผลสมาบัติที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วท่องเที่ยวไป ทำให้สังฆารามงดงาม เปรียบเหมือนลูกไก่เหล่านั้นท่องเที่ยวไปทำให้คามเขตงดงามฉะนั้น.
               บทว่า ผลภณฺฑสฺส ได้แก่ ช่างไม้. จริงอยู่ ช่างไม้นั้นเรียกกันว่าผลภัณฑะ เพราะตีเส้นบันทัด คือโอสมนกะ แล้วเปิดปีกไม้ออกไป.
               บทว่า วาสิชเฏ ได้แก่ ที่สำหรับจับของมีดที่มีด้าม.
               บทว่า เอตฺตกํ วา เม อชฺช อาสวานํ ขีณํ มีอธิบายว่า ก็อาสวะทั้งหลายของบรรพชิตสิ้นอยู่เป็นนิตย์ เพราะอุทเทส เพราะปริปุจฉา เพราะการทำไว้ในใจโดยแยบคาย และเพราะวัตตปฏิบัติ โดยสังเขปคือการบรรพชา. และเมื่ออาสวะเหล่านั้นกำลังสิ้นไปอยู่อย่างนี้ ท่านไม่รู้อย่างนี้ดอกว่า วันนี้สิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของวิปัสสนาไว้ด้วยอุปมานี้.
               บทว่า เหมนฺติเกน ได้แก่ โดยสมัยแห่งเหมันตฤดู.
               บทว่า ปฏิปสฺสมฺภนฺติ ได้แก่ เครื่องผูกคือหวายทั้งหลายย่อมเสื่อมสิ้นไปเพราะชราภาพ.
               ในบทว่า เอวเมว โข นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่สังโยชน์หย่อนกำลังลงด้วยอุปมานี้ว่า :-
                         ศาสนาพึงเห็นว่า เปรียบเหมือนมหาสมุทร
                         พระโยคาวจรพึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเรือ.
               การที่ภิกษุนี้ท่องเที่ยวไปในสำนักอุปัชฌาย์อาจารย์ในเวลาที่มีพรรษายังไม่ครบ ๕ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือลอยวนอยู่ในทะเลหลวง.
               ความที่สังโยชน์ทั้งหลายของภิกษุเบาบางลง เพราะอุเทศและปริปุจฉาเป็นต้นนั่นเอง (ปาฐะว่า เจว น่าจะเป็น เอว.) โดยสังเขปก็ได้แก่บรรพชา พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เชือกผูกเรือถูกน้ำในทะเลหลวงกัดกร่อนจนบาง.
               เวลาที่ภิกษุผู้เป็นนิสัยมุตตกะเรียนกรรมฐานแล้ว (ไป) อยู่ในป่า พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเวลาที่เรือถูกยกวางไว้บนบก.
               การที่เสน่หาคือตัณหาเหือดแห้งไปเพราะวิปัสสนาญาณ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเชือกผูกเรือแห้ง เพราะถูกลมและแดดในตอนกลางวัน.
               การที่จิตชุ่มชื่น เพราะปีติและปราโมทย์อันอาศัยกรรมฐานเกิดขึ้น พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือชุ่มชื้น เพราะถูกน้ำอันเกิดจากน้ำค้างในตอนกลางคืน.
               การที่ภิกษุได้ฤดูเป็นสัปปายะเป็นต้นในวันหนึ่ง ในวิปัสสนาญาณกรรมฐาน แล้วมีสังโยชน์เบาบางลงมากมาย เพราะปีติและปราโมทย์อันเกิดแต่วิปัสสนาญาณ (ปาฐะว่า เอกา ปีติปามุชฺเชหิ ฉบับพม่าเป็น วิปสฺสนาญาณปีติปาโมชฺเชหิ แปลตามฉบับพม่า) พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเครื่องผูก (เรือ) แห้งในตอนกลางวัน เพราะถูกลมและแดด และเปียกชื้นในตอนกลางคืน เพราะน้ำเกิดจากน้ำค้าง.
               อรหัตตมรรคญาณพึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเมฆฝน.
               การที่ภิกษุผู้เริ่มเรียนวิปัสสนากรรมฐาน แล้วเจริญวิปัสสนา โดยเป็นรูปสัตตกะ (หมวด ๗ แห่งรูป) เป็นต้น เมื่อกรรมฐานแจ่มชัดๆ เข้า วันหนึ่งได้ฤดูเป็นสัปปายะเป็นต้น นั่งขัดสมาธิครั้งเดียว (ไม่ลุกขึ้นอีก) แล้วได้บรรลุอรหัตตผล พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนการที่เรือมีน้ำฝนเต็มลำ.
               การที่ภิกษุนั้น สิ้นสังโยชน์แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้อนุเคราะห์มหาชน ดำรงอยู่ตราบอายุขัย พึงเห็นว่าเปรียบเหมือนการที่เรือซึ่งมีเชือกผูกเปื่อย แต่ก็ยังจอดอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง.
               เวลาที่พระขีณาสพปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ โดยการขัดสมาธิครั้งเดียว เพราะอุปาทินนกขันธ์แตกสลายไป (กิเลสสิ้นแล้ว ปรินิพพานทันที) แล้วเข้าถึงความเป็นผู้หาบัญญัติมิได้ พึงเห็นว่า เปรียบเหมือนเวลาที่เรือมีเชือกผูกเปื่อยกร่อนขาดไปทีละน้อย จนเข้าถึงความเป็นสภาพหาบัญญัติมิได้ (จนเรียกว่าเชือกไม่ได้).

               จบอรรถกถานาวาสูตรที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ปุปผวรรคที่ ๕ นาวาสูตร ว่าด้วยการสิ้นและไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ จบ.
อ่านอรรถกถา 17 / 1อ่านอรรถกถา 17 / 258อรรถกถา เล่มที่ 17 ข้อ 260อ่านอรรถกถา 17 / 263อ่านอรรถกถา 17 / 594
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=3354&Z=3406
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=12&A=7893
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=12&A=7893
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๐  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :