ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 17 / 1อ่านอรรถกถา 17 / 239อรรถกถา เล่มที่ 17 ข้อ 242อ่านอรรถกถา 17 / 248อ่านอรรถกถา 17 / 594
อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ปุปผวรรคที่ ๕
เผณปิณฑสูตร ว่าด้วยอุปมาขันธ์ ๕

               อรรถกถาเผณปิณฑสูตรที่ ๓               
               พึงทราบวินิจฉัยในเผณปิณฑสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า คงฺคาย นทิยา ตีเร ความว่า พวกชาวเมืองอโยธยาเห็นพระตถาคตมีภิกษุจำนวนมากเป็นบริวาร เสด็จเที่ยวจาริกมาถึงเมืองของตน จึงได้ช่วยกันสร้างวัด ถวายพระศาสดาใน (ภูมิ) ประเทศที่เดียรดาษไปด้วยไพรสณฑ์ใหญ่ตรงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำคงคาไหลวน. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในวิหารนั้น พระสังคีติกาจารย์หมายเอาวิหารนั้น จึงกล่าวว่า คงฺคาย นทิยา ตีเร ดังนี้.
               (ปาฐะว่า คงฺคาย นทิยา ตีเร ฉบับพม่าเป็น คงฺคาย นทิยา ตีเรติ แปลตามฉบับพม่า)
               บทว่า ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า พระผู้มีีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในวิหารนั้น เวลาเย็นเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ไปประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่ชาวเมืองจัดถวายไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ทอดพระเนตรเห็นฟองน้ำใหญ่ลอยมาในแม่น้ำคงคา จึงทรงดำริว่า เราจักกล่าวธรรมข้อหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับเบญจขันธ์ในศาสนาของเราดังนี้ แล้วได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายผู้นั่งแวดล้อมอยู่.
               (ปาฐะว่า ปวาเรตฺวา ฉบับพม่าเป็น ปริวาเรตฺวา แปลตามฉบับพม่า)
               บทว่า มหนฺตํ เผณปิณฺฑํ ความว่า ฟองน้ำเริ่มตั้งแต่มีขนาดเท่าผลพุทราและล้อรถในคราวแรกก่อตัวๆ แล้ว เมื่อถูกกระแสน้ำพัดพาไปก็ก่อตัวใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนมีขนาดเท่ายอดภูเขา ซึ่งสัตว์เป็นจำนวนมากมีงูน้ำเป็นต้นอาศัยอยู่ ได้แก่ฟองน้ำที่ใหญ่ถึงปานนี้.
               บทว่า อาวเหยฺย แปลว่า พึงนำมา.
               ก็ฟองน้ำนี้นั้น ย่อมสลายตัวไปตรงที่ที่ก่อตัวบ้าง ลอยไปได้หน่อยหนึ่งจึงสลายตัวบ้าง ลอยไปได้ไกลเป็นโยชน์หนึ่งสองโยชน์เป็นต้น แล้วจึงสลายตัวบ้าง แต่ถึงแม้จะไม่สลายตัว ในระหว่างทางถึงทะเลหลวง แล้วก็ย่อมสลายตัวเป็นแน่แท้ทีเดียว.
               บทว่า นิชฺฌาเยยฺย แปลว่า พึงจ้องดู.
               บทว่า โยนิโส อุปปริกฺเขยฺย แปลว่า พึงตรวจดูตามเหตุ.
               บทว่า กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เผณปิณฺเฑ สาโร ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าในฟองน้ำจะพึงมีสาระได้อย่างไร? ฟองน้ำจะพึงย่อยยับสลายตัวไปถ่ายเดียว.

               รูป               
               บทว่า เอวเมว โข ความว่า ฟองน้ำไม่มีสาระ (แก่น ) ฉันใด แม้รูปก็ไม่มีสาระฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเว้นจากสาระคือเที่ยง สาระคือยั่งยืนและสาระคืออัตตา.
               เปรียบเหมือนว่า ฟองน้ำนั้นใครๆ ไม่สามารถจะจับเอาด้วยความประสงค์ว่า เราจักเอาฟองน้ำนี้ทำภาชนะหรือถาด แม้จับแล้วก็ไม่ให้สำเร็จประโยชน์นั้นได้ ย่อมสลายตัวทันทีฉันใด แม้รูปก็ฉันนั้น ใครๆ ไม่สามารถยึดถือได้ว่า เราหรือของเรา แม้ยึดถือแล้วก็คงอยู่อย่างนั้นไม่ได้ ย่อมเป็นเช่นกับฟองน้ำอย่างนี้ทีเดียว คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่สวยงามเอาเลย.
               อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ฟองน้ำมีช่องเล็กช่องน้อยพรุนไป เชื่อมต่อด้วยที่ต่อหลายแห่ง เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์จำนวนมากมีงูน้ำเป็นต้นฉันใด แม้รูปก็ฉันนั้นมีช่องเล็กช่องน้อยพรุนไป เชื่อมต่อด้วยที่ต่อหลายแห่ง ในรูปนี้หมู่หนอน ๘๐ เหล่าอาศัยอยู่กันเป็นตระกูลทีเดียว รูปนั้นนั่นแลเป็นทั้งเรือนเกิด เป็นทั้งส้วม เป็นทั้งโรงพยาบาล เป็นทั้งป่าช้าของหมู่หนอนเหล่านั้น หมู่หนอนเหล่านั้นย่อมไม่ไปทำกิจทั้งหลายมีคลอดลูกเป็นต้นในที่อื่น รูปเป็นเหมือนฟองน้ำด้วยอาการอย่างนี้บ้าง.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่าฟองน้ำแต่แรกก็มีขนาดเท่าผลพุทราและล้อรถ (ต่อมาได้ก่อตัวใหญ่ขึ้น) จนมีขนาดเท่ายอดภูเขาตามลำดับฉันใด แม้รูปก็ฉันนั้น เบื้องแรกมีขนาดเท่ากลละ (ต่อมาได้ก่อตัวใหญ่ขึ้น) ตามลำดับ จนมีขนาดวาหนึ่งบ้าง มีขนาดเท่ายอดเขาเป็นต้นด้วยอำนาจแห่งกระบือและช้างเป็นต้นบ้าง มีขนาด ๑๐๐ โยชน์ ด้วยอำนาจแห่งปลาและเต่าเป็นต้นบ้าง. รูปเป็นเหมือนฟองน้ำด้วยอาการอย่างนี้บ้าง.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่าฟองน้ำพอก่อตัวขึ้นแล้วก็สลายตัวบ้าง ลอยไปได้หน่อยหนึ่งก็สลายตัวบ้าง ลอยไปได้ไกลสลายตัวบ้าง แต่พอถึงทะเลแล้วก็สลายตัวแน่แท้ทีเดียวฉันใด แม้รูปก็ฉันนั้นเหมือนกัน สลายตัวเมื่อคราวเป็นกลละบ้าง เมื่อคราวเป็นอัมพุทะเป็นต้นบ้าง แต่แม้จะไม่สลายตัวลงกลางคันมีอายุอยู่ต่อไปได้ถึง ๑๐๐ ปี ครั้นถึง ๑๐๐ ปีก็สลายตัวแน่แท้ทีเดียว รูปอยู่ในวิถีทางของมรณะร่ำไป รูปเป็นเหมือนฟองน้ำด้วยอาการอย่างนี้บ้าง.

               เวทนา               
               แม้ในบทว่า กิญฺหิ สิยา ภิกฺขเว เวทนาย สาโร เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               พึงทราบว่าเวทนาเป็นต้นเหมือนกับต่อมน้ำเป็นต้น อย่างนี้คือ เหมือนอย่างว่า ต่อมน้ำไม่มีสาระฉันใด ถึงเวทนาก็ไม่มีสาระแม้ฉันนั้น.
               เหมือนอย่างว่า ต่อมน้ำนั้นไม่มีกำลังจับคว้าไม่ได้ ใครๆ ไม่สามารถจะจับคว้าต่อมน้ำนั้นมาทำแผ่นกระดานหรือที่นั่งได้ ต่อมน้ำที่จับคว้าแล้ว ก็สลายตัวทันทีฉันใด แม้เวทนาก็ฉันนั้นไม่มีกำลัง จับคว้าไม่ได้ ใครๆ ไม่สามารถจะจับคว้าไว้ด้วยสำคัญว่า เที่ยงหรือยั่งยืน แม้จับคว้าได้แล้วก็คงอยู่อย่างนั้นไม่ได้ เวทนาชื่อว่าเป็นเหมือนฟองน้ำเพราะจับคว้าไว้ไม่ได้อย่างนี้บ้าง.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต่อมน้ำย่อมเกิดและสลายตัวในเพราะหยดน้ำนั้นๆ อยู่ได้ไม่นานฉันใด แม้เวทนาก็ฉันนั้นย่อมเกิดและสลายตัวไป อยู่ได้ไม่นาน ในขณะชั่วลัดนิ้วมือเดียว เกิดแล้วดับไปนับได้แสนโกฏิครั้ง.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ฟองน้ำเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยเหตุ ๔ อย่าง คือพื้นน้ำ หยดน้ำ ระลอกน้ำ และลมที่พัดมาให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนฉันใด แม้เวทนาก็ฉันนั้นเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุ ๔ อย่าง คือ วัตถุ อารมณ์ ระลอกกิเลส และการกระทบกันด้วยอำนาจผัสสะ. เวทนาเป็นเหมือนต่อมน้ำด้วยอาการอย่างนี้บ้าง.

               สัญญา               
               แม้สัญญาก็ชื่อว่าเป็นเหมือนพยับแดดเพราะอรรถว่าไม่มีสาระ (ปาฐะว่า อสานาฏฺ เฐน ฉบับพม่าเป็น อสารกฏฺเฐน แปลตามฉบับพม่า) อนึ่ง ชื่อว่าเป็นเหมือนพยับแดดเพราะอรรถว่าอันใครๆ จับคว้าไม่ได้ เพราะใครๆ ไม่สามารถจะจับคว้าเอาพยับแดดนั้นมาดื่ม อาบ หรือบรรจุให้เต็มภาชนะได้.
               อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนว่า พยับแดดย่อมเต้นยิบยับ ปรากฏเหมือนมีลูกคลื่นเกิดฉันใด แม้สัญญาแยกประเภทเป็นนีลสัญญาเป็นต้นก็ฉันนั้น ย่อมไหวตัว คือเต้นยิบยับ เพื่อประโยชน์แก่การเสวยอารมณ์มีรูปสีเขียวเป็นต้น.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า พยับแดดย่อมหลอกล่อคนจำนวนมากให้หลง ให้พูดว่า ปรากฏเหมือนแม่น้ำมีน้ำเต็มฉันใด แม้สัญญาก็ฉันนั้น ย่อมหลอกล่อคนจำนวนมากให้หลงให้พูดว่า รูปนี้สีเขียวสวยงาม เป็นสุข เที่ยง.
               แม้ในรูปสีเหลืองเป็นต้นก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้แล. สัญญาชื่อว่าเหมือนกับพยับแดด เพราะทำให้หลงอย่างนี้บ้าง.

               สังขาร               
               บทว่า อกุกฺกุชกชาตํ ได้แก่ ไม่มีแก่นเกิดอยู่ในภายใน. แม้สังขารทั้งหลายก็ชื่อว่าเป็นเหมือนต้นกล้วย เพราะอรรถว่าไม่มีสาระ (แก่น) อนึ่ง ชื่อว่าเป็นเหมือนต้นกล้วย เพราะอรรถว่าจับคว้าไม่ได้.
               เปรียบเหมือนว่า ใครๆ ไม่สามารถจะจับคว้าอะไรๆ จากต้นกล้วยแล้วนำเข้าไปใช้ประโยชน์เป็นกลอนเรือนเป็นต้น แม้นำเข้าไปใช้ประโยชน์แล้ว ก็จะไม่เป็นอย่างนั้น (ไม่เป็นไปตามประสงค์) ฉันใด แม้สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น ใครๆ ไม่สามารถจะยึดถือว่าเที่ยงเป็นต้นได้ แม้ยึดถือแล้วก็ไม่เป็นอย่างนั้น.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต้นกล้วยเป็นที่รวมของกาบจำนวนมากฉันใด สังขารทั้งหลายแม้ฉันนั้น เป็นที่รวมของธรรมมาก.
               อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต้นกล้วยมีลักษณะต่างๆ กัน คือกาบภายนอกสีเป็นอย่างหนึ่ง กาบในๆ ถัดจากกาบนั้นเข้าไปก็มีสีเป็นอีกอย่างหนึ่งฉันใด แม้ในสังขารขันธ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผัสสะมีลักษณะเป็นอย่างหนึ่ง (เจตนาเป็นต้นก็มีลักษณะเป็นอีกอย่างหนึ่ง) แต่ครั้นรวมเจตนาเป็นต้นเข้าแล้ว จึงเรียกว่าสังขารขันธ์อย่างเดียว เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์เป็นเหมือนต้นกล้วยอย่างนี้บ้าง.
               บทว่า จกฺขุมา ปุริโส ความว่า มีจักษุดีด้วยจักษุทั้งสอง คือมังสจักษุและปัญญาจักษุ. อธิบายว่า แม้มังสจักษุของบุรุษนั้นก็บริสุทธิ์ ปราศจากต้อต่อมก็ใช้ได้ แม้ปัญญาจักษุ ก็สามารถมองเห็นว่าไม่มีสาระก็ใช้ได้.

               วิญญาณ               
               แม้วิญญาณก็ชื่อว่า เปรียบเหมือนมายา เพราะหมายความว่าไม่มีสาระ. อนึ่ง ชื่อว่าเปรียบเหมือนมายา เพราะหมายความว่าจับคว้าไม่ได้.
               เปรียบเหมือนว่ามายา ปรากฏเร็วชั่วเวลาเล็กน้อยฉันใด วิญญาณก็ฉันนั้น เพราะว่าวิญญาณนั้นเป็นของมีชั่วเวลาน้อยกว่า และปรากฏเร็วกว่ามายานั้น ก็คนจึงเป็นเหมือนเดินมา เป็นเหมือนยืนอยู่ (และ) เป็นเหมือนนั่ง ด้วยจิตดวง (เดียวกัน)นั้นนั่นแล. (ปาฐะว่า อิตรา ฉบับพม่าเป็น อิตฺตรา แปลตามฉบับพม่า)
               แต่ว่า ในเวลาไป จิตเป็นดวงหนึ่ง ในเวลามาเป็นต้น จิตเป็นอีกดวงหนึ่ง วิญญาณเป็นเหมือนมายาอย่างนี้บ้าง.
               อนึ่ง มายาย่อมล่อลวงมหาชน ให้มหาชนยึดถืออะไรๆ ต่างๆ ว่า นี้ทองคำ นี้เงิน นี้แก้วมุกดา แม้วิญญาณก็ล่อลวงมหาชน ให้มหาชนยึดถือว่า เป็นเหมือนเดินมา เป็นเหมือนยืนอยู่ (และ) เป็นเหมือนนั่งอยู่ด้วยจิต (ดวงเดียวกัน) นั้นนั่นแล ในเวลามา จิตก็เป็นดวงหนึ่ง ในเวลาไปเป็นต้น จิตก็เป็นอีกดวงหนึ่ง วิญญาณเป็นเหมือนมายาอย่างนี้บ้าง.

               แก้คาถาสรูป               
               บทว่า ภูริปญฺเญน ความว่า มีปัญญาละเอียดและมีปัญญากว้างขวาง ไพบูลย์.
               บทว่า อายุ ได้แก่ ชีวิตินทรีย์.
               บทว่า อุสฺมา ได้แก่ เตโชธาตุเกิดจากกรรม.
               บทว่า ปรภตฺตํ ได้แก่ เป็นเหยื่อของหมู่หนอนเป็นต้นชนิดต่างๆ.
               บทว่า เอตาทิสายํ สนฺตาโน ความว่า ประเพณีของผู้ตายนี้เป็นเช่นนี้ จะสืบต่อกันไป จนกว่าจะถึงป่าช้า.
               บทว่า มายายํ พาลลาปินี ความว่า ขันธ์นี้นั้น ชื่อว่าวิญญาณขันธ์ นี้ชื่อว่าเป็นมายาที่มหาชนผู้โง่เขลา พร่ำเพ้อถึง.
               บทว่า วธโก ความว่า เพชฌฆาต กล่าวคือขันธ์นี้ เป็นได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือด้วยการฆ่ากันเอง ๑ โดยพระบาลีว่า เมื่อขันธ์มีอยู่ ผู้ฆ่าก็ปรากฏดังนี้ ๑. (ปาฐะว่า ปญฺญายติปิ ฉบับพม่าเป็น ปญฺญายตีติปิ แปลตามฉบับพม่า)
               อธิบายว่า ปฐวีธาตุอย่างเดียว (ปาฐะว่า เอตาหิ ฉบับพม่าเป็น เอกาหิ แปลตามฉบับพม่า) เมื่อแตกสลายก็พาเอาธาตุที่เหลือแตกสลายไปด้วย ธาตุทั้งหลายมีอาโปธาตุเป็นต้น ก็เหมือนกัน.
               ส่วนรูปขันธ์ เมื่อแตกสลาย ก็พาเอาอรูปขันธ์แตกสลายไปด้วยในอรูปขันธ์ก็เหมือนกัน คือ เวทนาเป็นต้น (เมื่อแตกสลาย) ก็พาเอาสัญญาเป็นต้น (แตกสลายไปด้วย).
               ก็ในที่นี้พึงทราบว่า เบญจขันธ์เป็นตัวสังหารกันและกันอย่างนี้ คือ อรูปขันธ์ทั้ง ๔ กับรูปซึ่งเป็นที่อาศัยของอรูปขันธ์ ทั้ง ๔ นั่น (ต่างก็สังหารกันแลกัน).
               อนึ่ง เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ การฆ่า การจองจำและการตัด (มือเท้า) เป็นต้นจึงมี พึงทราบว่า เบญจขันธ์เป็นผู้ฆ่า เพราะเมื่อขันธ์เหล่านี้มี การฆ่าจึงมีอย่างนี้บ้าง.
               บทว่า สพฺพสํโยคํ ได้แก่ สังโยชน์ทั้งหมด ๑๐ อย่าง.
               บทว่า อจฺจุตํ ปทํ หมายถึง นิพพาน

               จบอรรถกถาเผณปิณฑสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ปุปผวรรคที่ ๕ เผณปิณฑสูตร ว่าด้วยอุปมาขันธ์ ๕ จบ.
อ่านอรรถกถา 17 / 1อ่านอรรถกถา 17 / 239อรรถกถา เล่มที่ 17 ข้อ 242อ่านอรรถกถา 17 / 248อ่านอรรถกถา 17 / 594
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=3132&Z=3191
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=12&A=7714
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=12&A=7714
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๐  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :