ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 16 / 1อ่านอรรถกถา 16 / 276อรรถกถา เล่มที่ 16 ข้อ 279อ่านอรรถกถา 16 / 305อ่านอรรถกถา 16 / 725
อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมัยสังยุตต์ มหาวรรคที่ ๗
สุสิมสูตร

               อรรถกถาสุสิมสูตรที่ ๑๐               
               ในสุสิมสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               บทว่า ครุกโต ความว่า เป็นอันเทวดาและมนุษย์กระทำให้หนักด้วยจิต เหมือนฉัตรหิน.
               บทว่า มานิโต ได้แก่ อันเขาประพฤติรักใคร่ด้วยใจ.
               บทว่า ปูชิโต ได้แก่ อันเขาบูชาด้วยการบูชาด้วยปัจจัย ๔.
               บทว่า อปจิโต ได้แก่ อันเขายำเกรงด้วยการประพฤติอ่อนน้อม.
               จริงอยู่ มนุษย์ทั้งหลายเห็นพระศาสดาแล้ว ย่อมลงจากคอช้างเป็นต้น ถวายทางลดผ้าจากจะงอยบ่า ลุกจากอาสนะถวายบังคม ดังกล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นผู้อันมนุษย์เหล่านั้นยำเกรงแล้ว.
               บทว่า สุสิโม ได้แก่ บัณฑิตปริพาชกผู้ฉลาดในเวทางค์ ผู้มีชื่ออย่างนั้น.
               บทว่า เอหิ ตฺวํ ความว่า ปริพาชกเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมอาศัยชาติและโคตรเป็นต้น ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภก็หาไม่ ที่แท้ทรงเป็นยอดกวี ผูกคัมภีร์คำร้อยกรองประทานแก่พระสาวก เพราะทรงเป็นยอดกวี พระสาวกเหล่านั้นเรียกคัมภีร์นั้นหน่อยหนึ่งแล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า อุปนิสินนกกถาบ้าง อนุโมทนาบ้าง สรภัญญะบ้างแก่อุปัฏฐากทั้งหลาย อุปัฏฐากเหล่านั้นก็น้อมนำลาภเข้าไป.
               ถ้าพวกเราพึงรู้อย่างละหน่อยๆ จากสิ่งที่พระสมณโคดมรู้ เราพึงใส่ลัทธิของตนในคัมภีร์นั้น กล่าวแก่อุปัฏฐากทั้งหลาย ต่อแต่นั้นเราพึงเป็นผู้มีลาภมากกว่าสาวกเหล่านั้น ใครเล่าจักบวชในสำนักพระสมณโคดมแล้ว สามารถเรียนได้ฉับพลันทีเดียว. ปริพาชกเหล่านั้นคิดอย่างนี้แล้ว เห็นว่าสุสิมะเป็นผู้ฉลาด จึงเข้าไปหาแล้วกล่าวอย่างนั้น.
               บทว่า เยนายสฺมา อนนฺโท เตนุปสงฺกมิ ถามว่า เพราะเหตุไร สุสิมปริพาชกจึงเข้าไปหา.
               ได้ยินว่า สุสิมปริพาชกมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไปสำนักใครหนอ จึงจักสามารถได้ธรรมโดยฉับพลัน.
               แต่นั้น จึงคิดว่า พระสมณโคดมผู้มากด้วยอำนาจคือความเคารพ ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความนิยม ใครๆ ไม่อาจจะเข้าเฝ้าในเวลาอันไม่สมควร แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมากมีกษัตริย์เป็นต้น ย่อมเข้าเฝ้าพระสมณโคดม ในสมัยแม้นั้น ใครก็ไม่อาจจะเข้าเฝ้าได้.
               แม้บรรดาพระสาวกของพระองค์ พระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะในวิปัสสนาลักขณะ พระมหาโมคคัลลานะ ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะในสมาธิลักขณะ พระมหากัสสปะ ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะฝ่ายทรงไว้ซึ่งธุดงคคุณ พระอนุรุทธ ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะฝ่ายมีจักษุทิพย์ พระปุณณมันตานีบุตร ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะฝ่ายพระธรรมกถึก พระอุบาลีเถระ ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะฝ่ายทรงไว้ซึ่งพระวินัย.
               ส่วนพระอานนท์นี้เป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฏก แม้พระศาสดาก็ทรงนำเทศนาที่ตรัสแล้วในที่นั้นๆ มาตรัสแก่พระอานนท์นั้นอีก ทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะ ๕ ตำแหน่ง ท่านได้พร ๘ ประการ ประกอบด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรม ๔ ประการ เราเข้าไปหาท่าน จักสามารถได้ธรรมโดยฉับพลัน ฉะนั้น สุสิมปริพาชกจึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่.
               บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า ถามว่า เพราะเหตุไร จึงนำเข้าไปหา.
               ตอบว่า ได้ยินว่า พระอานนท์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า สุสิมปริพาชกนี้เป็นเจ้าลัทธิแผนกหนึ่งในลัทธิเดียรถีย์ เที่ยวปฏิญาณว่าเราเป็นศาสดา ครั้นบวชแล้ว แม้เมื่อไม่ได้คำสอนก็ยังพยายาม ทั้งเราก็ไม่รู้อัธยาศัยของท่าน พระศาสดาจักทรงทราบ ฉะนั้น จึงพาท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
               บทว่า เตนหานนฺท สุสิมํ ปพฺพาเชถ ความว่า ได้ยินว่า พระศาสดามีพระดำริว่า ปริพาชกนี้เทียวปฏิญาณในลัทธิของเดียรถีย์ว่า เราเป็นศาสดาเจ้าลัทธิแผนกหนึ่ง ได้ยินว่า ท่านกล่าวว่า เราปรารถนาจะประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในศาสนานี้ ท่านเลื่อมใสในเราหรือในสาวกของเรา หรือเลื่อมใสในธรรมกถาของเราหรือของสาวกของเรา ครั้นทรงทราบว่า ท่านไม่มีความเลื่อมใสแม้ในฐานะเดียว ทรงตรวจดูว่า ผู้นี้บวชด้วยตั้งใจว่า จักขโมยธรรมในศาสนาของเรา ดังนั้น การมาของเขาจึงไม่บริสุทธิ์ ผลสำเร็จเป็นเช่นไรหนอ ทรงทราบว่า ถึงท่านจะบวชด้วยตั้งใจว่าจักขโมยธรรมก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านพยายาม ๒-๓ วันเท่านั้นก็จักบรรลุพระอรหัต จึงตรัสว่า เตนหานนฺท สุสิมํ ปพฺพาเชถ ดังนี้.
               บทว่า อญฺญา พฺยากตา โหติ ความว่า ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส เพียรพยายามอยู่ ได้บรรลุพระอรหัตภายในไตรมาสนั้นเอง. ภิกษุเหล่านั้นคิดว่า เราจักกราบทูลคุณที่ตนได้แล้วแด่พระศาสดา ทำปริสุทธปวารณาแล้วเก็บงำเสนาสนะ มาเฝ้าพระศาสดา กราบทูลคุณที่ตนได้ ซึ่งท่านหมายเอาคำที่กล่าวไว้แล้วนั้น.
               ก็บทว่า อญฺญา เป็นชื่อของพระอรหัต.
               บทว่า พฺยากตา แปลว่า กราบทูลแล้ว.
               บทว่า อสฺโสสิ ความว่า ได้ยินว่า ท่านเงี่ยโสตลงสดับ ไปยังที่ที่ภิกษุเหล่านั้นอยู่ ประสงค์จะฟังถ้อยคำนั้นๆ จึงเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่.
               ถามว่า เข้าไปหาทำไม.
               ได้ยินว่า ท่านสดับเรื่องนั้นแล้วจึงคิดดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าพระอรหัตผล เป็นปริมาณในพระศาสนานี้ ชะรอยว่ากำมือคือความรู้ของอาจารย์จักเป็นสาระ เพราะฉะนั้น จึงเข้าไปหา.
               บทว่า อเนกวิหิตํ แปลว่า มีหลายอย่าง.
               บทว่า อิทฺธิวิธํ ได้แก่ ส่วนแห่งฤทธิ์.
               ด้วยบทว่า อาวีภาวํ ติโรภาวํ ท่านถามว่า พวกท่านสามารถทำสิ่งที่ปรากฏให้หายไป [หายตัว] ทำสิ่งที่หายไปให้ปรากฏได้หรือ [ปรากฏตัว].
               บทว่า ติโรกุฑฺฑํ แปลว่า นอกฝา. แม้ภายนอกภูเขาก็นัยนี้แหละ.
               บทว่า อุมฺมุชฺชนิมฺมุชฺชํ แปลว่า ผุดขึ้นและดำลง.
               บทว่า ปลฺลงฺเกน แปลว่า ด้วยการนั่งขัดสมาธิ.
               ด้วยบทว่า กมถ ท่านถามว่า พวกท่านสามารถที่จะนั่งหรือยึดเอาได้หรือ.
               บทว่า ปกฺขี สกุโณ แปลว่า นกที่มีปีก.
               ในข้อนี้ มีความสังเขปเพียงเท่านี้ ส่วนความพิสดาร พึงทราบนัยแห่งการพรรณนาอิทธิวิธญาณนี้และทิพยโสตเป็นต้นนอกจากนี้ โดยนัยที่กล่าวแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               บทว่า สนฺตา วิโมกฺขา ความว่า อรูปวิโมกข์ ชื่อว่าสงบ เพราะสงบองค์ และเพราะสงบอารมณ์.
               บทว่า กาเยน ผุสิตฺวา ได้แก่ ถูกต้องคือได้ด้วยนามกาย.
               ด้วยคำว่า ปญฺญาวิมุตฺตา โข มยํ อาวุโส. ท่านแสดงว่า อาวุโส พวกเราเป็นผู้เพ่งฌาน เป็นสุกขวิปัสสก หลุดพ้นด้วยสักว่าปัญญาเท่านั้น.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาชาเนยฺยาสิ วา ตฺวํ อาวุโส สุสิม น วา ตฺวํ อาชาเนยฺยาสิ ดังนี้.
               เพราะเล่ากันมาว่า ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราไม่สามารถจะยึดอัธยาศัยของสุสิมภิกษุนี้กล่าวได้ สุสิมภิกษุนี้ถามพระทศพลอีก จึงจักหมดความสงสัย.
               บทว่า ธมฺมฏฺฐิติญาณํ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ. วิปัสสนาญาณนั้นเกิดขึ้นก่อน.
               บทว่า นิพฺพาเน ญาณํ ได้แก่ มรรคญาณที่เป็นไปในที่สุดแห่งวิปัสสนาที่เคยประพฤติ.
               มรรคญาณนั้นเกิดขึ้นภายหลัง ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวว่า อาชาเนยฺยาสิ วา เป็นต้น.
               แก้ว่า เพื่อแสดงการเกิดขึ้นแห่งญาณอย่างนี้แม้เว้นสมาธิ. ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนสุสิมะ มรรคก็ตาม ผลก็ตาม ไม่ใช่เป็นผลของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ แต่มรรคหรือผลนี้ เป็นผลของวิปัสสนา เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนา เป็นความสำเร็จของวิปัสสนา ฉะนั้น ท่านจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม ที่แท้ธัมมัฏฐิติญาณเป็นญาณในเบื้องต้น ญาณในพระนิพพานเป็นญาณภายหลัง.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ท่านสุสิมะนั้นควรจะแทงตลอด เมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องไตรลักษณ์ จึงตรัสว่า ตํ กึ มญฺญสิ สุสิม รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา ดูก่อนสุสิมะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น.
               ก็ในเวลาจบเทศนาเรื่องไตรลักษณ์ พระเถระบรรลุพระอรหัต.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงยกขึ้นซึ่งความพยายามของพระเถระนั้น จึงตรัสว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ สุสิม ปสฺสสิ ดูก่อนสุสิมะ เธอเห็นว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะหรือ ดังนี้ เป็นต้น.
               ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภคำนี้ว่า อปิ นุ ตฺวํ สุสิม ดังนี้.
               แก้ว่า เพื่อทรงกระทำให้ปรากฏแก่เหล่าภิกษุสุกขวิปัสสกผู้เพ่งฌาน.
               ก็ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
               มิใช่เธอผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้เพ่งฌาน เป็นสุกขวิปัสสก แม้ภิกษุเหล่านั้นก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน.
               คำที่เหลือในบททั้งปวง ปรากฏแล้วทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาสุสิมสูตรที่ ๑๐               
               จบอรรถกถามหาวรรคที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

               รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. อัสสุตตวตาสูตรที่ ๑
                         ๒. อัสสุตตวตาสูตรที่ ๒
                         ๓. ปุตตมังสสูตร
                         ๔. อัตถิราคสูตร
                         ๕. นครสูตร
                         ๖. สัมมสสูตร
                         ๗. นฬกลาปิยสูตร
                         ๘. โกสัมพีสูตร
                         ๙. อุปยสูตร
                         ๑๐. สุสิมสูตร
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมัยสังยุตต์ มหาวรรคที่ ๗ สุสิมสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 16 / 1อ่านอรรถกถา 16 / 276อรรถกถา เล่มที่ 16 ข้อ 279อ่านอรรถกถา 16 / 305อ่านอรรถกถา 16 / 725
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=3187&Z=3452
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=12&A=3148
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=12&A=3148
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๙  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :