ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 76อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 78อ่านอรรถกถา 15 / 86อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สตุลลปกายิกวรรคที่ ๔
สัพภิสูตรที่ ๑

               สตุลลปกายิกวรรคที่ ๔               
               อรรถกถาสัพภิสูตรที่ ๑               
               พึงทราบวินิจฉัยในสัพภิสูตรที่ ๑ แห่งสตุลลปกายิกวรรคที่ ๔ ต่อไป :-
               บทว่า สตุลฺลปกายิกา มีวิเคราะห์ว่า เทวดาทั้งหลายที่ชื่อว่าสตุลลปกายิกา เพราะยกย่องด้วยอำนาจแห่งการสมาทานธรรมของสัตบุรุษ แล้วบังเกิดขึ้นในสวรรค์.
               ในข้อนั้นมีเรื่องดังต่อไปนี้

               เรื่องผู้เทิดทูนธรรมสัตบุรุษ               
               ได้ยินว่า ชนจำนวนมากด้วยกันได้ทำการค้าทางทะเล ใช้เรือแล่นไปสู่ทะเล. เมื่อเรือแห่งชนเหล่านั้นไปอยู่โดยเร็วปานลูกธนูอันบุคคลซัดไปแล้ว ในวันที่ ๗ จึงเกิดเหตุร้ายใหญ่ในท่ามกลางทะเล คือ คลื่นใหญ่ตั้งขึ้นแล้วก็ยังเรือให้เต็มไปด้วยน้ำ. เมื่อเรือกำลังจะจมลง มหาชนจึงนึกถึงชื่อเทวดาของตนๆ แล้วกระทำกิจมีการอ้อนวอนเป็นต้น คร่ำครวญแล้ว.
               ในท่ามกลางแห่งชนเหล่านั้น บุรุษคนหนึ่งนึกว่า เราต้องประสบภัยร้ายเห็นปานนี้แน่ จึงนึกถึงธรรมของตน เห็นแล้วซึ่งสรณะทั้งหลายและศีลทั้งหลายก็บริสุทธิ์แล้ว จึงนั่งขัดสมาธิ ดุจพระโยคี.
               พวกชนทั้งหลายจึงถามท่านถึงเหตุอันไม่กลัวนั้น.
               บุรุษผู้เป็นบัณฑิตนั้นจึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ใช่แล้ว เราไม่กลัวภัยเห็นปานนี้ เพราะเราถวายทานแก่หมู่แห่งภิกษุในวันที่ขึ้นเรือ เราได้รับสรณะทั้งหลายและศีลทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่กลัว ดังนี้.
               ชนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย ก็สรณะและศีลเหล่านี้สมควรแก่ชนพวกอื่นบ้างหรือไม่. บัณฑิตนั้นตอบว่า ใช่แล้ว ธรรมเหล่านี้ย่อมสมควรแม้แก่พวกท่าน. ชนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านบัณฑิตจงให้แก่พวกเราบ้าง.
               ชนผู้เป็นบัณฑิตนั้นจึงจัดทำพวกมนุษย์เหล่านั้นให้เป็นพวกละร้อยคน รวมเป็น ๗ พวกด้วยกัน. ต่อจากนั้นก็ให้ศีล ๕.
               ในบรรดาชน ๗ พวกนั้น ชนจำนวนร้อยคนพวกแรกตั้งอยู่ในน้ำมีข้อเท้าเป็นประมาณ จึงได้รับศีล. พวกที่ ๒ ตั้งอยู่ในน้ำมีเข่าเป็นประมาณ... พวกที่ ๓ ตั้งอยู่ในน้ำมีสะเอวเป็นประมาณ... พวกที่ ๔ ตั้งอยู่ในน้ำมีสะดือเป็นประมาณ... ชนพวกที่ ๕ ตั้งอยู่ในน้ำมีนมเป็นประมาณ... พวกที่ ๖ ตั้งอยู่ในน้ำมีคอเป็นประมาณ... พวกที่ ๗ น้ำทะเลกำลังจะไหลเข้าปาก จึงได้รับศีล ๕ แล้ว.
               ชนผู้เป็นบัณฑิตนั้น ครั้นให้ศีล ๕ แก่ชนเหล่านั้นแล้ว จึงประกาศเสียงกึกก้องว่า สิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเฉพาะของพวกท่านไม่มี พวกท่านจงรักษาศีลเท่านั้น ดังนี้.
               ชนทั้ง ๗๐๐ เหล่านั้นทำกาละในทะเลนั้นแล้ว ไปบังเกิดขึ้นในภพดาวดึงส์ เพราะอาศัยศีลอันตนรับเอาในเวลาใกล้ตาย. วิมานทั้งหลายของเทวดาเหล่านั้นก็เกิดขึ้นเป็นหมู่เดียวกัน. วิมานทองของอาจารย์มีประมาณร้อยโยชน์เกิดในท่ามกลางแห่งวิมานทั้งหมด. เทพที่เหลือเป็นบริวารของเทพที่เป็นอาจารย์นั้น วิมานที่ต่ำกว่าวิมานทั้งหมดนั้นก็ยังมีประมาณถึง ๑๒ โยชน์.
               เทพเหล่านั้นได้พิจารณาผลกรรมในขณะที่ตนเกิดแล้ว ทราบแล้วซึ่งการได้สมบัตินั้น เพราะอาศัยอาจารย์ จึงกล่าวกันว่า พวกเราจักไป พวกเราจักกล่าวสรรเสริญคุณแห่งอาจารย์ของพวกเราในสำนักแห่งพระทศพล ดังนี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาระหว่างมัชฌิมยาม.
               ในบรรดาเทวดาเหล่านั้น เทวดา ๖ องค์ได้กล่าวคาถาองค์ละหนึ่งคาถา เพื่อพรรณนาคุณอาจารย์ของตนด้วยคำว่า
                         สพฺภิเรว สมาเสถ    สพฺภิ กุพฺเพถ สนฺถวํ
                         สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย    เสยฺโย โหติ น ปาปิโย.
                         บุคคลควรนั่งร่วมกับพวกสัตบุรุษ ควรทำความสนิทกับ
                         พวกสัตบุรุษ บุคคลทราบสัทธรรมของพวกสัตบุรุษแล้ว
                         มีแต่คุณอันประเสริฐ ไม่มีโทษลามกเลย.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺภิ แปลว่า พวกบัณฑิต คือพวกสัตบุรุษ.
               ระอักษรทำหน้าที่สนธิ.
               บทว่า สมาเสถ แปลว่า ควรนั่งร่วม. ก็คำว่า สมาเสถ นี้ เป็นหัวข้อแห่งเทศนาเท่านั้น. อธิบายว่า พึงสำเร็จอิริยาบถทั้งปวงร่วมกับสัตบุรุษทั้งหลายทีเดียว.
               บทว่า กุพฺเพถ แปลว่า ควรทำ.
               บทว่า สนฺถวํ แปลว่า ความสนิท ได้แก่ความสนิทด้วยไมตรี แต่ความสนิทด้วยตัณหาอันใครๆ ไม่ควรกระทำ. ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาคำว่า บุคคลพึงทำความสนิทไมตรีกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและพระสาวกทั้งหลาย ดังนี้.
               บทว่า สตํ แปลว่า ของพวกสัตบุรุษ.
               บทว่า สทฺธมฺมํ ได้แก่ สัทธรรมต่างๆ มีศีล ๕ ศีล ๑๐ และสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น. แต่ในสูตรนี้ ท่านประสงค์เอาศีล ๕.
               บทว่า เสยฺโย โหติ แปลว่า มีแต่คุณอันประเสริฐ คือมีแต่ความเจริญ.
               บทว่า น ปาปิโย ได้แก่ ความลามก (ความต่ำช้า) อะไรๆ ย่อมไม่มี.
               ลำดับนั้น เทวดาอื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า บุคคลควรนั่งร่วมกับพวกสัตบุรุษ ฯลฯ ย่อมได้ปัญญา หาได้ปัญญาแต่คนอื่น (คนพาล) ไม่ ดังนี้.
               บทว่า นาญฺญโต แปลว่า หาได้แต่คนอื่นไม่ คือชื่อว่าปัญญา อันบุคคลย่อมไม่ได้แต่คนอื่นผู้เป็นพาล ดุจน้ำมันงาเป็นต้น อันบุคคลไม่พึงได้ด้วยกรวดทรายเป็นต้น. ก็บุคคลทราบธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายแล้ว เสพอยู่คบอยู่ซึ่งบัณฑิตเท่านั้นจึงได้ปัญญา ดุจน้ำมันทั้งหลายมีน้ำมันงาเป็นต้น อันบุคคลย่อมได้ด้วยเม็ดงาเป็นต้น.
               ลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า บุคคลควรนั่งร่วมกับพวกสัตบุรุษ ฯลฯ ย่อมไม่เศร้าโศกในท่ามกลางแห่งเรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าโศก ดังนี้.
               บทว่า โสกมชฺเฌ อธิบายว่า บุคคลผู้ไปแล้วในท่ามกลางแห่งเรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าโศก หรือว่าไปแล้วในท่ามกลางแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้มีความเศร้าโศก เหมือนอุบาสิกา (มัลลิกา) ของพันธุลเสนาบดี และเหมือนสังกิจจสามเณรผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดี ผู้ไปในท่ามกลางแห่งโจร ๕๐๐ ย่อมไม่เศร้าโศก.
               ลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า บุคคลควรนั่งร่วมกับพวกสัตบุรุษ ฯลฯ ย่อมไพโรจน์ในท่ามกลางแห่งญาติ ดังนี้.
               บทว่า ญาติมชฺเฌ วิโรจติ แปลว่า ย่อมไพโรจน์ในท่ามกลางแห่งหมู่ญาติ คือว่าย่อมงามดุจสามเณรชื่อว่าอธิมุตตกะ ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระสังกิจจเถระ.

               เรื่องอธิมุตตกะสามเณร               
               ได้ยินว่า สามเณรนั้นเป็นหลานของพระสังกิจจเถระนั้น. ในกาลครั้งนั้น พระเถระกล่าวกะสามเณรว่า ดูก่อนสามเณร เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอจงไปถามถึงอายุของเธอแล้วจงมา เราจักอุปสมบทให้ ดังนี้ สามเณรรับคำว่า ดีแล้วขอรับ ไหว้พระเถระแล้วถือบาตรและจีวรไปบ้านน้องหญิง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ดงอันเป็นที่อาศัยอยู่ของพวกโจร แล้วก็เที่ยวไปบิณฑบาต. น้องหญิงเห็นท่านแล้วไหว้แล้ว จึงนิมนต์ให้ไปนั่งในบ้านให้ฉันภัตตาหารแล้ว.
               สามเณรทำภัตกิจเสร็จแล้ว จึงถามถึงอายุของตน.
               นางตอบว่า ดิฉันไม่ทราบ แม่ย่อมทราบ.
               สามเณรกล่าวว่า ท่านจงอยู่ที่นี่ เราจักไปบ้านโยมมารดา แล้วก็ก้าวเข้าไปสู่ดง.
               บุรุษผู้เป็นโจรเห็นสามเณรแต่ไกล จึงส่งสัญญาณแก่พวกโจร. พวกโจรให้สัญญาณด้วยคำว่า ได้ยินว่า สามเณรองค์หนึ่งหยั่งลงสู่ดง พวกเธอจงไปนำสามเณรนั้นมา ดังนี้. โจรบางพวกกล่าวว่าเราจักฆ่า บางพวกกล่าวว่าเราจักปล่อย.
               แม้สามเณรก็คิดว่าเราเป็นพระเสกขะ มีกิจที่ควรทำแก่ตนอยู่ เราปรึกษากับพวกโจรเหล่านี้แล้ว จักทำความสวัสดีเป็นประมาณ จึงเรียกหัวหน้าโจรมา กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราจักทำความอุปมา (ความเปรียบเทียบ) แก่ท่าน ดังนี้
               แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
                                   ในอดีตกาลอันยาวนาน ที่หมู่ไม้ในดงใหญ่
                         เสือดาวตัวหนึ่งเที่ยวดักเหยื่อตามทางโค้ง ในกาล
                         นั้น มันได้ฆ่าจัมปกะเสียแล้ว เนื้อและนกทั้งหลาย
                         เห็นจัมปกะตายแล้ว ตกใจกลัว พากันหลบหลีกไป
                         ในเวลาราตรี จึงไม่เกิดประโยชน์แก่มันฉันใด ท่าน
                         ฆ่าสมณะชื่ออธิมุตตกะ ผู้ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวลใจ
                         ก็เหมือนกันนั่นแหละ ชนทั้งหลายผู้เดินทางจักไม่มา
                         พวกท่านก็จักขาดทรัพย์ สมณะชื่อว่าอธิมุตตกะ ผู้ไม่
                         มีกิเลสเครื่องกังวลใจกล่าวคำจริงแท้ ชนทั้งหลายผู้
                         เดินทางจักไม่มา ความเสื่อมแห่งทรัพย์จักมี.
               นายโจรกล่าวว่า
                                   ถ้าท่านเห็นคนเดินทางสวนมาแล้ว จักไม่บอก
                         แก่ใครๆ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อท่านตามรักษาสัจจะนี้
                         ได้ ก็จงไปตามสบายเถิด.
               สามเณรนั้นผู้อันพวกโจรเหล่านั้นปล่อยอยู่ ไปอยู่ แม้เห็นญาติทั้งหลายก็มิได้บอก ทีนั้นเมื่อญาติของสามเณรนั้นมาถึงแล้ว พวกโจรก็ช่วยกันจับแล้วทรมานอยู่ พวกโจรได้กล่าวกะมารดาของสามเณรซึ่งนางกำลังเสียใจ ประหารอกคร่ำครวญอยู่ว่า
               อธิมุตตกะจักถามท่านว่า อธิมุตตกะ
                                   บัดนี้มีกาลฝนเท่าไร แม่กระผมถามแล้ว
                         ขอจงบอก พวกเราจักรู้ได้อย่างไร.
               มารดาของอธิมุตตกะกล่าวกะพวกโจรว่า
                                   เรานี้แหละเป็นมารดาของอธิมุตตกะ
                         ผู้นี้แหละเป็นบิดา ผู้นี้เป็นน้องหญิง ผู้นี้เป็น
                         พี่ชายน้องชาย ชนทั้งหมดในที่นี้เป็นญาติ
                         ของอธิมุตตกะ. อธิมุตตกะมีปกติทำกิจอัน
                         ไม่สมควรเลย เห็นญาติคนใดมาแล้ว ก็ไม่
                         ห้าม ข้อนี้เป็นวัตรปฏิบัติของสมณะทั้งหลาย
                         ผู้เป็นพระอริยะ ผู้มีธรรมเป็นชีวิตหรือหนอ.
               นายโจรกล่าวว่า
                                   อธิมุตตกะมีปกติกล่าวคำจริง เห็นญาติ
                         คนใดแล้วก็ไม่ห้าม เพราะความประพฤติความ
                         ดีของอธิมุตตกะ ผู้เป็นภิกษุผู้มีปกติกล่าวคำ
                         จริง. ชนทั้งหมดผู้เป็นญาติของอธิมุตตกะ
                         ปลอดภัยแล้ว ขอจงไปสู่ความสวัสดีเถิด.
               ญาติเหล่านั้นผู้อันโจรทั้งหลายปล่อยตัวแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ไปแล้วกล่าวกะอธิมุตตกะว่า พ่อ ชนทั้งหมดปลอดภัยแล้ว กลับมาสู่ความสวัสดี เพราะความประพฤติดีของท่านผู้เป็นภิกษุผู้กล่าววาจาสัตย์.
               พวกโจรทั้งห้าร้อยเลื่อมใสแล้ว จึงขอบวชในสำนักของสามเณรชื่ออธิมุตตกะ. สามเณรจึงพาศิษย์เหล่านั้นไปสู่สำนักพระอุปัชฌาย์ แล้วตนก็อุปสมบทก่อน ภายหลังจึงทำการอุปสมบทให้อันเตวาสิกของตน มีประมาณห้าร้อยเหล่านั้น. อันเตวาสิกทั้งหมดเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของอธิมุตตกะเถระแล้ว ก็บรรลุซึ่งพระอรหัตมีผลอันเลิศ ดังนี้.
               เทวดาถือเอาความข้อนี้แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย ญาติมชฺเฌ วิโรจติ แปลว่า บุคคลรู้สัทธรรมของพวกสัตบุรุษแล้ว ย่อมไพโรจน์ในท่ามกลางแห่งญาติ ดังนี้.
               ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า บุคคลควรนั่งร่วมกับพวกสัตบุรุษ ฯลฯ ย่อมดำรงอยู่สบายเนืองๆ.
               คำว่า สาตตํ นี้ แปลว่า เนืองๆ คือ เทวดาย่อมกล่าวว่า ชนทั้งหลายย่อมดำรงอยู่สบายเนืองๆ หรือว่า มีความสุขอันยั่งยืน.
               ลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คำของใครหนอเป็นสุภาษิต.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คำของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกท่านจงฟังคำของเราบ้างว่า
                         บุคคลควรนั่งร่วมกับพวกสัตบุรุษ ควรทำความสนิทกับพวกสัตบุรุษ
                         บุคคลทราบสัทธรรมของพวกสัตบุรุษแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.
               บทว่า สพฺพาสํ โว แปลว่า ของพวกท่านทั้งหมด.
               บทว่า ปริยาเยน ได้แก่ โดยการณะ.
               บทว่า สพฺพทุกฺขา ปมุญฺจติ แปลว่า ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.
               อธิบายว่า ไม่ใช่มีเหตุแต่คุณอันประเสริฐแต่อย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่ได้ปัญญาเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เศร้าโศกในท่ามกลางแห่งเรื่องเป็นที่ตั้งแห่งความโศกเพียงอย่างเดียว ย่อมไพโรจน์ในท่ามกลางแห่งญาติ... ย่อมเกิดในสุคติ...ย่อมดำรงอยู่สบายสิ้นกาลนานเพียงอย่างเดียว ก็บุคคลนั้นแล ย่อมพ้นแม้จากวัฏทุกข์ทั้งสิ้น ดังนี้แล.

               จบอรรถกถาสัพภิสูตรที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สตุลลปกายิกวรรคที่ ๔ สัพภิสูตรที่ ๑ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 76อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 78อ่านอรรถกถา 15 / 86อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=480&Z=524
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=1413
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=1413
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :