ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 658อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 667อ่านอรรถกถา 15 / 671อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ อรหันตวรรคที่ ๑
พหุธิติสูตรที่ ๑๐

               อรรถกถาพหุธิติสูตรที่ ๑๐               
               ในพหุธิติสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อญฺญตรสฺมึ วนสณฺเฑ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นธรรมอันเป็นอุปนิสัยพระอรหัตของพราหมณ์นั้น ทรงพระดำริที่จะไปสงเคราะห์พราหมณ์ จึงเสด็จไปประทับอยู่ในไพรสณฑ์นั้น.
               บทว่า ปลฺลงฺกํ ได้แก่ นั่งขัดสมาธิ.
               บทว่า อาภุชิตฺวา ได้แก่ ผูกไว้.
               บทว่า อุชุํ กายํ ปณิธาย ความว่า ตั้งกายตอนบนให้ตรงให้ปลายกระดูกสันหลัง ๑๘ ข้อจดกัน.
               บทว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา ความว่า ตั้งสติมุ่งต่อพระกรรมฐาน หรือทำพระกรรมฐานไว้ใกล้หน้า. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า สตินี้ปรากฏแล้ว ตั้งอยู่ด้วยดีแล้วที่ปลายจมูกหรือที่ใบหน้า เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดำรงพระสติเฉพาะพระพักตร์.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริ ได้แก่ อาศัย.
               บทว่า มุขํ ได้แก่ นำออก.
               บทว่า สติ ได้แก่ บำรุง.
               ก็ในข้อนี้พึงเห็นเนื้อความตามนัยที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคว่า เตน วุจฺจติ ปริมุขํ สตึ เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดำรงสติเฉพาะหน้า ดังนี้.
               ในข้อนั้นมีความย่อดังนี้ว่า ทำสติกำหนดธรรมเครื่องนำออกจากทุกข์. ก็แลเมื่อประทับนั่งอย่างนี้ ได้ประทับนั่งเปล่งพระพุทธรัศมีที่หนาทึบ ๖ สี.
               บทว่า นฏฺฐา โหนฺติ ความว่า โคที่พราหมณ์ใช้ไถนาแล้วปล่อย เที่ยวไปปากดง หนีไปเมื่อพราหมณ์ไปบริโภคอาหาร.
               บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า พราหมณ์มีความโทมนัสครอบงำเที่ยวไป คิดว่า พระสมณโคดมนี้ประทับนั่งเป็นสุขหนอ ดังนี้เข้าไปเฝ้า.
               บทว่า อชฺช สฏฺฐึ น ทิสฺสนฺติ ความว่า หายไปประมาณ ๖๐ วันเข้าวันนี้.
               บทว่า ปาปกา ได้แก่ ตอต้นงาที่เลว.
               ได้ยินว่า เมื่อพราหมณ์นั้นหว่านงาในไร่ ฝนได้ตกลงในวันนั้นเอง ทำเมล็ดงาจมลงในดินร่วน ไม่อาจผลิดอกออกผลได้. บนต้นที่เจริญงอกงามก็มีแมลงเล็กๆ บินมากินใบเป็นต้นเสีย เหลือไว้ต้นละใบสองใบ.
               พราหมณ์ไปตรวจดูไร่เห็นดังนั้น จึงคิดว่า เราปลูกงาก็เพื่อหวังผลกำไร แต่งาเหล่านั้นเสีย เสียแล้ว ได้เกิดโทมนัส. เขาถือเอาเรื่องนั้นจึงกล่าวคาถานี้.
               บทว่า อุสฺโสฬฺหิกาย ความว่า หนูทั้งหลายยกหูชูหางเป็นต้นเที่ยวกระโดดโลดเต้นด้วยอุตสาหะ.
               ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น เมื่อโภคะสิ้นลงตามลำดับ มีฉางเปล่าเพราะไม่มีสิ่งที่จะพึงใส่เข้าไป. หนูทั้งหลายมาทางโน้นทางนี้จาก ๗ หลังคาเรือนเข้าไปในฉางเปล่าของพราหมณ์นั้นกระโดดโลดเต้น เหมือนเล่นกีฬาในสวน. เขากำหนดเรื่องนั้นจึงกล่าวอย่างนี้.
               บทว่า อุปฺปาทเกหิ สญฺฉนฺโน ความว่า ดาดาษไปด้วยสัตว์เล็กๆ ที่เกิดขึ้น.
               ได้ยินว่า เครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้าและใบไม้ที่ปูลาดไว้ให้พราหมณ์นั้นนอน ไม่มีใครๆ ปัดกวาดเป็นครั้งคราวเลย. พราหมณ์ทำงานในป่าตลอดวัน มาในเวลาเย็น นอนบนเครื่องปูลาดนั้น. ลำดับนั้น แมลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมเกาะกินสรีระของพราหมณ์นั้นเต็มไปหมด เขาถือเอาเรื่องนั้นจึงกล่าวอย่างนี้.
               บทว่า วิธวา ได้แก่ หญิงสามีตาย.
               ได้ยินว่า หญิงทั้งหลายแม้เป็นหม้าย ก็ยังได้อยู่ในตระกูลสามีชั่วเวลาที่ยังมีสมบัติอยู่ในเรือนของพราหมณ์นั้น แต่เมื่อใดเขาไร้ทรัพย์ เมื่อนั้นหญิงทั้งหลายที่ถูกแม่ผัวพ่อผัวเป็นต้นขับไล่ว่า จงไปเรือนบิดา ดังนี้ ย่อมมาอยู่เรือนของพราหมณ์นั้นแหละ. ในเวลาพราหมณ์บริโภค ชนเหล่าใดส่งบุตรไปว่า พวกเจ้าจงไปบริโภคร่วมกับพระผู้เป็นเจ้า เมื่อชนเหล่านั้นหย่อนมือลงในถาด พราหมณ์ใดไม่ได้โอกาสจะใช้มือ (หยิบอาหาร). เขาหมายถึงพราหมณ์นั้นจึงกล่าวคาถานี้.
               บทว่า ปิงฺคลา ได้แก่ มดดำมดแดงมดเหลือง.
               บทว่า ติลกาหตา ได้แก่ มีตัวตกกระ มีสีดำและขาวเป็นต้น.
               บทว่า โสตฺตํ ปาเทน โปเถติ ได้แก่ ใช้เท้าไต่ตอมปลุกผู้ที่นอนหลับให้ตื่น.
               ได้ยินว่า พราหมณ์นี้รำคาญด้วยเสียงหนูและถูกแมลงเล็กๆ กัด ไม่ได้หลับตลอดคืน มาหลับได้เมื่อใกล้สว่าง.
               ลำดับนั้น พราหมณ์พอลืมตาขึ้นเท่านั้น เจ้าหนี้คนหนึ่งก็กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่าจะทำอย่างไรละพราหมณ์ หนี้ที่ท่านกู้ในภายหลังและเมื่อก่อน ดอกเบี้ยเพิ่มพูนขึ้น ท่านยังจะต้องเลี้ยงธิดา ๗ คน บัดนี้ พวกเจ้าหนี้มาล้อมเรือน ท่านจงไปทำการงาน ดังนี้แล้ว ใช้เท้าถีบปลุกให้ตื่น. เขาหมายเอาเรื่องนั้นจึงกล่าวคาถานี้.
               บทว่า อิณายิกา ได้แก่ ผู้มีของให้เขากู้หนี้จากมือ.
               ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น กู้หนี้จากมือของคนบางคน ๑ กหาปณะ บางคน ๒ กหาปณะ บางคน ๑๐ กหาปณะ บางคน ๑๐๐ กหาปณะ รวมความว่า พราหมณ์ได้กู้หนี้จากมือของคนหลายคน. เจ้าหนี้เหล่านั้น เมื่อไม่เห็นพราหมณ์ตอนกลางวัน คิดจะจับเขากำลังออกจากเรือนทีเดียว จึงไปทวงตอนใกล้รุ่ง. พราหมณ์หมายเอาเรื่องนั้น จึงกล่าวคาถานี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพราหมณ์นั้นพรรณนาความทุกข์ด้วยคาถา ๗ คาถาเหล่านี้ เมื่อจะทรงแสดงว่า พราหมณ์ ทุกข์ที่ท่านพรรณนามานั้นทั้งหมดไม่มีแก่เรา จึงใช้คาถาตอบพราหมณ์ขยายพระธรรมเทศนา. เพื่อจะแสดงว่า พราหมณ์ฟังพระคาถาเหล่านั้น เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งอยู่ในสรณะ ๓ บวชแล้วบรรลุพระอรหัต จึงตรัสพระดำรัสว่า เอวํ วุตฺเต ภารทฺวาโช เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลตฺถ แปลว่า ได้แล้ว.
               ก็แหละพระผู้มีพระภาคเจ้าให้พราหมณ์นั้นบวชแล้ว พาไปยังพระเชตวันมหาวิหาร ในวันรุ่งขึ้นมีพระเถระนั้นเป็นปัจฉาสมณะได้เสด็จไปยังทวาร พระราชมณเฑียรของพระเจ้าโกศล. พระราชาทรงสดับว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงเสด็จลงจากปราสาท ถวายบังคมแล้วทรงรับบาตรจากพระหัตถ์ อาราธนาพระตถาคตให้เสด็จขึ้นบนปราสาท ให้ประทับนั่งเหนือพระแท่น ทรงล้างพระยุคลบาทด้วยน้ำหอม ทาด้วยน้ำมันที่หุงร้อยครั้ง ให้นำข้าวยาคูมา ทรงถือทัพพีทองด้ามเงิน ทรงน้อมเข้าไปถวายพระศาสดา.
               พระศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิด.
               พระราชาทรงหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระตถาคตกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์มีโทษ ขอพระองค์โปรดอดโทษ.
               พระศาสดาตรัสว่า ไม่มีโทษดอก มหาบพิตร.
               พระราชาตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระองค์ไม่รับข้าวยาคู.
               ปลิโพธ ความกังวล มีอยู่ มหาบพิตร.
               ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุไรเล่า ผู้ไม่รับข้าวยาคูพึงได้ปลิโพธ ข้าพระองค์สามารถทำปลิโพธหรือ โปรดรับข้าวยาคูเถิด พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาทรงรับแล้ว.
               แม้พระเถระแก่หิวมานานจึงดื่มข้าวยาคูตามความต้องการ.
               พระราชาทรงถวายขาทนียโภชนียะ ในเวลาเสร็จภัตกิจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อุบัติในวงศ์โอกากราช ซึ่งมีมาตามประเพณี ทรงละสิริราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงผนวชบรรลุความเป็นผู้เลิศในโลกแล้ว พระองค์ยังจะมีปลิโพธอะไรอีกเล่า พระเจ้าข้า.
               มหาบพิตร ความปลิโพธของพระเถระผู้แก่รูปนี้ เป็นเช่นปลิโพธของอาตมาเหมือนกัน.
               พระราชาทรงไหว้พระเถระตรัสถามว่า ท่านขอรับ ท่านมีปลิโพธอะไร.
               พระเถระถวายพระพรว่า มีความปลิโพธเรื่องหนี้ มหาบพิตร.
               เท่าไร ขอรับ. ทรงนับดูเถิด มหาบพิตร.
               เมื่อพระราชาทรงนับว่า ๑, ๒, ๑๐๐, ๑,๐๐๐ ดังนี้ นิ้วพระหัตถ์ไม่พอ.
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า พนายจงไปตีกลองร้องประกาศในพระนครว่า เจ้าหนี้ของพหุฐิติกพราหมณ์ทั้งหมดจงประชุมกันในพระลานหลวง. พวกมนุษย์ได้ยินเสียงกลองประชุมกันแล้ว. พระราชาให้นำบัญชีมาจากมือของเจ้าหนี้เหล่านั้น ได้พระราชทานทรัพย์ไม่หย่อนกว่าหนี้ที่กู้มาทั้งหมด. ในที่นั้น ทองมีราคาหนึ่งแสน.
               พระราชาตรัสถามอีกว่า ท่านขอรับ ปลิโพธอื่นยังมีอีกไหม.
               พระเถระถวายพระพรว่า พระมหาราชสามารถทรงใช้หนี้ให้แล้วตรัสถาม จึงกล่าวว่า เด็กหญิง ๗ คนเหล่านี้เป็นปลิโพธใหญ่ของอาตมา.
               พระราชาทรงส่งยานไปรับธิดาทั้งหลายของพระเถระนั้นมา ทรงทำเป็นธิดาของพระองค์ แล้วทรงส่งไปยังเรือนตระกูลสามีนั้นๆ แล้วตรัสถามว่า ท่านขอรับ ยังมีปลิโพธอื่นอีกไหม.
               พระเถระถวายพระพรว่า นางพราหมณี มหาบพิตร.
               พระราชาทรงส่งยานไปนำนางพราหมณีมา ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งพระอัยยิกา แล้วตรัสถามอีกว่า ท่านขอรับ ยังมีปลิโพธอื่นอีกไหม.
               พระเถระถวายพระพรว่า ไม่มี มหาบพิตร.
               พระราชามีรับสั่งให้พระราชทานผ้าจีวร ตรัสว่า ท่านขอรับ ขอท่านจงทราบความเป็นภิกษุของท่านว่าเป็นของข้าพเจ้า.
               พระเถระถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร.
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า ท่านขอรับ ปัจจัยทุกอย่างมีจีวรและบิณฑบาตเป็นต้น จักเป็นของของพวกเราจัดถวาย ขอท่านจงยึดถือพระทัยพระตถาคต บำเพ็ญสมณธรรมเถิด.
               พระเถระไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรมตามนั้นทีเดียว ถึงความสิ้นอาสวะต่อกาลไม่นานนักแล.

               จบอรรถกถาพหุธิติสูตรที่ ๑๐               
               จบอรหันตวรรคที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

               รวมพระสูตรในวรรคนี้ ๑๐ สูตร คือ
                         ๑. ธนัญชานีสูตร
                         ๒. อักโกสกสูตร
                         ๓. อสุรินทกสูตร
                         ๔. พิลังคิกสูตร
                         ๕. อหิงสกสูตร
                         ๖. ชฏาสูตร
                         ๗. สุทธิกสูตร
                         ๘. อัคคิกสูตร
                         ๙. สุนทริกสูตร
                         ๑๐. พหุธิติสูตร
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ อรหันตวรรคที่ ๑ พหุธิติสูตรที่ ๑๐ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 658อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 667อ่านอรรถกถา 15 / 671อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=5493&Z=5560
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=5871
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=5871
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :