บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ยโต ยโต ได้แก่ แต่อารมณ์ที่เป็นบาป หรือว่าเป็นบุญ. ได้ยินว่า เทวดานี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นโลกีย์หรือที่เป็นโลกุตระโดยประการต่างๆ มีอารมณ์ที่เป็นกุศลเป็นต้น บุคคลพึงห้ามใจเท่านั้น คือไม่พึงให้อารมณ์นั้นเกิดขึ้น ดังนี้. คำว่า ส สพฺพโต แก้เป็น โส สพฺพโต แปลว่า บุคคลนั้น...แต่อารมณ์ทั้งปวง. ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เทวดานี้ย่อมกล่าวถ้อยคำอันเป็นอนิยยานิกะ (คำไม่นำสัตว์ออกไปจากทุกข์) ธรรมดาว่าใจ เป็นภาวะที่ควรห้ามก็มี ควรเจริญก็มี เราจักจำแนกความข้อนั้นแสดงแก่เธอดังนี้ จึงตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า
ใจมาถึงความสำรวม บาปย่อมเกิดขึ้นแต่อารมณ์ใดๆ บุคคลพึงห้ามใจแต่อารมณ์นั้นๆ. บรรดาคำเหล่านั้น คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มโน ยตตฺตมาคตํ ได้แก่ ไม่พึงห้ามใจโดยประการทั้งปวง คือว่าธรรมอะไรๆ ที่กล่าวแล้ว ไม่ควรห้ามใจไปเสียทั้งหมด เพราะว่าธรรมที่เป็นเหตุให้ใจมาสู่ความสำรวมอันใดที่เกิดขึ้นโดยนัยว่า เราจักให้ทาน จักรักษาศีล อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความสำรวมใจเป็นต้นนี้ บุคคลไม่พึงห้าม ด้วยว่าข้อนี้เป็นความพอกพูนเป็นความเจริญโดยแท้. คำว่า ยโต ยโต จ ปาปกํ ได้แก่ อกุศลย่อมเกิดแต่ธรรมอะไรๆ บุคคลพึงห้ามใจเฉพาะธรรมนั้นๆ ดังนี้แล. จบอรรถกถามโนนิวารณสูตรที่ ๔ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคที่ ๓ มโนนิวารณสูตรที่ ๔ จบ. |