ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 58อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 60อ่านอรรถกถา 15 / 62อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคที่ ๓
ชฏาสูตรที่ ๓

               อรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓               
               พึงทราบวินิจฉัยในชฏาสูตรที่ ๓ ต่อไป :-
               บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งคาถาว่า อนฺโตชฏา ดังต่อไปนี้.
               บทว่า ชฏา เป็นชื่อของตัณหาเพียงดังข่าย.
               จริงอยู่ ตัณหานั้นชื่อว่าชฏา เพราะอรรถว่าเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งไม้ทั้งหลายมีกิ่งไม้ไผ่เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานกันไว้ เพราะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์เป็นต้นด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งต่ำและสูง.
               ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า ชัฏ (แปลว่ารก) ทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก เพราะเกิดขึ้นในบริขารของตนและบริขารของผู้อื่น ทั้งในอัตภาพของตนและอัตภาพของผู้อื่น ทั้งในอายตนะภายในและอายตนะภายนอก. หมู่สัตว์ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏ คือตัณหานั้นอันเกิดขึ้นอย่างนี้.
               อธิบายว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือกิ่งของไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้นฉันใด ปชาคือหมู่สัตว์แม้ทั้งหมดนี้ก็ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือตัณหา ถูกตัณหานั้นผูกพันแล้วฉันนั้น. ก็เพราะหมู่สัตว์ถูกตัณหาผูกพันแล้วอย่างนี้ ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงขอทูลถามพระองค์ว่า ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ ดังนี้ แปลว่า ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์.
               บทว่า โคตม คือ เทวดาย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระโคตร.
               บทว่า โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ แปลว่า ใครพึงถางชัฏนี้. ความว่า เทพบุตรนั้นทูลถามว่า ใครพึงถาง คือใครสามารถเพื่อจะถางชัฏ (ตัณหา) อันรกรุงรังซึ่งตั้งอยู่ในโลกธาตุทั้ง ๓ นี้ได้.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาเนื้อความนี้แก่เทพบุตรนั้น จึงตรัสว่า
                         สีเล ปติฏฺฐาย นโร    สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ
                         อาตาปิ นิปโก ภิกฺขุ    โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ
                         นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญา
                         ให้เจริญอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด
                         ภิกษุนั้นพึงถางชัฏ (ตัณหา) นี้ได้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีเล ปติฏฺฐาย ได้แก่ ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล.
               ก็ในบทนี้พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันเทวดาทูลถามถึงชัฏคือตัณหาที่ผูกพันนระไว้ พระองค์จึงเริ่มคำว่า ศีล มิได้ทูลถามอย่างอื่น ก็มิได้ตรัสอย่างอื่น. เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงศีลในที่นี้ ก็เพื่อทรงแสดงถึงที่พึ่งของนระผู้ถางชัฏ คือตัณหาที่ผูกพันไว้.
               บทว่า นโร ได้แก่ สัตว์.
               บทว่า สปญฺโญ ได้แก่ ผู้มีปัญญาโดยปฏิสนธิมาด้วยปัญญาอันเป็นไตรเหตุอันเกิดแต่กรรม.
               บทว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ ได้แก่ ยังสมาธิและปัญญาให้เจริญอยู่.
               จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาบัติ ๘ ไว้ด้วยหัวข้อแห่งจิต ตรัสวิปัสสนาไว้โดยชื่อว่าปัญญา.
               บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร.
               จริงอยู่ ความเพียร ตรัสเรียกว่าอาตาปะ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน. ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสของนระนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นระผู้มีความเพียรนั้นจึงชื่อว่า อาตาปี แปลว่า ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน.
               ในบทว่า นิปโก นี้ ตรัสเรียกปัญญาว่าเนปกะ. อธิบายว่า นระผู้ประกอบด้วยปัญญา ชื่อว่าเนปกะนั้น. ทรงแสดงปาริหาริยปัญญา ด้วยบทว่า นิปโก นี้.
               อธิบายว่า ปัญญาอันเป็นเหตุที่บุคคลพึงบริหารให้สำเร็จกิจทั้งปวง โดยนัยว่า นี้เป็นกาลสมควรเพื่อเรียน (อุเทศ) นี้เป็นกาลสมควรเพื่อสอบถาม (ปริปุจฉา) เป็นต้น ชื่อว่าปาริหาริยปัญญา.
               ในปัญหาพยากรณ์นี้ ปัญญามา ๓ วาระ.
               ในปัญญาเหล่านั้น ปัญญาที่หนึ่ง ชื่อว่าสชาติปัญญา (ปัญญามีมาพร้อมกับการเกิด) ปัญญาที่สอง ชื่อว่าวิปัสสนาปัญญา. ปัญญาที่สาม ชื่อว่าปาริหาริยปัญญา อันเป็นเครื่องนำไปในกิจทั้งปวง.
               บทว่า ภิกฺขุ มีวิเคราะห์ว่า ผู้ใดย่อมเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้นจึงชื่อว่าภิกษุ.๑-
____________________________
๑- คำว่า ภิกขุ ในที่นี้ท่านไม่ได้อธิบายไว้ (อรรถกถาบาลี หน้า ๖๒)

               บทว่า โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ ความว่า ภิกษุนั้นพึงถางชัฏนี้ได้ ได้แก่ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีสีลาทิคุณเป็นต้นเหล่านี้.๒-
               อธิบายว่า ภิกษุอาศัยแผ่นดินคือศีล แล้วยกศาสตราคือวิปัสสนาปัญญาอันตนลับดีแล้วด้วยศิลาคือสมาธิ ด้วยมือคือปาริหาริยปัญญาอันกำลังคือความเพียร ประคับประคองแล้ว พึงถาง พึงตัด พึงทำลายซึ่งชัฏคือตัณหาอันประจำอยู่ในสันดานแห่งตนนั้นแม้ทั้งหมด เปรียบเหมือนบุรุษผู้ยืนบนแผ่นดินยกศาสตราอันตนลับดีแล้ว พึงถางกอไผ่ใหญ่ ฉะนั้น.
____________________________
๒- ผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๖ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างและวิริยะ.

               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเสกขภูมิด้วยคำมีประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงพระมหาขีณาสพผู้ถางชัฏ (ตัณหา) แล้วดำรงอยู่ จึงตรัสคำว่า
                         เยสํ ราโค จ โทโส จ    อวิชฺชา จ วิราชิตา
                         ขีณาสวา อรหนฺโต    เตสํ วิชฺชิตา ชฏา.
                    ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี อันบุคคลเหล่าใด
                    กำจัดได้แล้ว บุคคลเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว
                    เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งอัน
                    บุคคลเหล่านั้นสางได้แล้ว.

               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระขีณาสพผู้ถางซึ่งชัฏคือตัณหาอย่างนี้แล้วดำรงอยู่ เมื่อจะทรงแสดงโอกาสเป็นเครื่องถางชัฏอีก จึงตรัสคำว่า
                         ยตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ    อเสสํ อุปรุชฺฌติ
                         ปฏิฆรูปสญฺญา จ    เอตฺถ สา ฉิชฺชเต ชฏา.
                    นามก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญาและรูปสัญญาก็ดี
                    ย่อมดับไม่เหลือในที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น
                    ย่อมขาดไปในที่นั้น.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นามํ ได้แก่ อรูปขันธ์ ๔.
               ในบทว่า ปฏิฆรูปสญฺญา นี้ ท่านถือเอากามภพด้วยอำนาจแห่งปฏิฆสัญญา ถือเอารูปภพด้วยอำนาจแห่งรูปสัญญา. เมื่อภพทั้ง ๒ เหล่านั้นทรงถือเอาแล้ว อรูปภพก็เป็นอันถือเอาแล้วโดยสังเขปแห่งภพนั่นแหละ.
               ในบทว่า เอตฺเถสา ฉิชฺชเต ชฏา นี้ แปลว่า ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งย่อมขาดไปในที่นั้น คือว่าตัณหาอันเป็นเครื่องยุ่งเหยิงนี้ ย่อมขาดไปในที่เป็นที่สิ้นสุดลงแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือว่าอาศัยพระนิพพานแล้วย่อมขาด ย่อมดับไป ดังนี้ นี้เป็นอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้แล.

               จบอรรถกถาชฏาสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต สัตติวรรคที่ ๓ ชฏาสูตรที่ ๓ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 58อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 60อ่านอรรถกถา 15 / 62อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=392&Z=403
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=1293
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=1293
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :