ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 313อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 322อ่านอรรถกถา 15 / 328อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ปฐมวรรคที่ ๑
ทหรสูตรที่ ๑

               โกสลสังยุตต์               
               ปฐมวรรคที่ ๑               
               อรรถกถาทหรสูตรที่ ๑               
               พึงทราบวินิจฉัยในทหรสูตรที่ ๑ ต่อไป :-
               บทว่า ภควตา สทฺธิ สมฺโมทิ ความว่า แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงมีความยินดีร่วมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยอาการอย่างเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามถึงขันธปัญจกพอทนได้เป็นต้น ยินดีกับท้าวเธอ คือทรงนำความยินดีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนน้ำเย็นกับน้ำร้อน ฉะนั้น.
               อนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยินดี [บันเทิง] ด้วยถ้อยคำอันใดเป็นต้นว่า ท่านพระโคดมพอทนหรือ พอเป็นไปได้หรือ ท่านพระโคดมและเหล่าสาวกของพระโคดมมีอาพาธน้อย มีโรคน้อย คล่องแคล่ว มีเรี่ยวแรง อยู่เป็นสุขอยู่หรือ ทรงนำถ้อยคำนั้นที่น่ายินดี น่าให้ระลึกถึงกันล่วงไป ให้ถึงที่สุด คือจบลงด้วยปริยายเป็นอันมากอย่างนี้คือ ชื่อว่าสัมโมทนียะ เพราะให้เกิดความยินดีกล่าวคือ ปีติปราโมทย์และควรที่จะยินดี. ชื่อว่าสาราณียะ เพราะมีอรรถพยัญชนะไพเราะ และเพราะเป็นถ้อยคำที่ควรระลึกโดยควรที่จะให้ระลึกถึงตลอดกาลนานๆ คือเป็นไปเป็นนิตย์.
               ไม่ทรงทราบความลึกหรือความตื้น โดยคุณและโทษ เพราะไม่เคยพบพระตถาคต จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อประทับนั่งแล้ว ก็ตรัสว่า ภวํปิ โน เป็นต้นเพื่อจะทูลถามปัญหาเรื่องการสลัดออกจากโลกและการลงสู่ภพ คือความเป็นพระสัมมาสัมพุทธะของศาสดา ที่ท้าวเธอเสด็จมาทำเป็นโอวัฏฏิกสารปัญหา คือปัญหาที่มีสาระวกวน.
               ศัพท์ว่า ภวมฺปิ ในคำทูลถามนั้นเป็นนิบาตลงในอรรถว่าประมวล.
               พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประมวลศาสดาทั้ง ๖ ด้วยศัพท์นั้น.
               อธิบายว่า ท่านพระโคดมก็ปฏิญาณ เหมือนศาสดาทั้ง ๖ มีปูรณกัสสปเป็นต้นที่ปฏิญญาว่าเราเป็นสัมมาสัมพุทธะหรือ แต่พระราชามิได้ทูลถามปัญหานี้ โดยลัทธิของพระองค์เอง ตรัสถามโดยอำนาจปฏิญญาที่มหาชนในโลกถือกัน.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงบันลือพุทธสีหนาท จึงตรัสว่า ยํ หิ ตํ มหาราช ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหํ หิ มหาราช ความว่า เราตถาคตตรัสรู้ยิ่งซึ่งสัมมาสัมโพธิ กล่าวคือพระสัพพัญญุตญาณอันยอดเยี่ยม ประเสริฐสุดแห่งญาณทั้งหมด.
               บทว่า สมณพฺราหฺมณา ได้แก่ ชื่อว่าสมณะ เพราะเข้าบวช ชื่อว่าพราหมณ์ โดยกำเนิด.
               ในบทว่า สงฺฆิโน เป็นต้นที่ชื่อว่า สังฆี เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นมีสงฆ์ กล่าวคือชุมนุมนักบวช. ที่ชื่อว่า คณี ก็เพราะสมณพราหมณ์มีคณะนั้นนั่นแหละ. ที่ชื่อว่า คณาจารย์ ก็เพราะเป็นอาจารย์ของคณะนั้น โดยให้ศึกษาอาจาระ.
               บทว่า ญาตา แปลว่า ที่เขารู้จักกันทั่ว คือปรากฏแล้ว.
               ที่ชื่อว่า ยสสฺสิ [มียศ] ก็เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นมียศ [เกียรติยศ] ฟุ้งขจรอย่างนี้ว่า ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ไม่นุ่งแม้แต่ผ้า เพราะเป็นผู้มักน้อย.
               บทว่า ติตฺถกรา แปลว่า เจ้าลัทธิ.
               บทว่า สาธุสมฺมตา ได้แก่ ที่เขาสมมติอย่างนี้ว่าเป็นคนสงบเป็นคนดี.
               บทว่า พหุชนสฺส ได้แก่ ปุถุชนคนอันธพาล ผู้มิได้สดับฟัง [ศึกษา].
               คำว่า ปูรณะ เป็นต้นเป็นชื่อตัวและโคตร [สกุล] ของเจ้าลัทธิเหล่านั้น.
               จริงอยู่ คำว่า ปูรณะ เป็นชื่อตัวเท่านั้น. คำว่า มักขลิ ก็เหมือนกัน. ก็มักขลินั้นเรียกกันว่าโคสาล ก็เพราะเกิดในโรง [คอก] โค.
               บทว่า นาฏปุตฺโต แปลว่า บุตรของนักรำ. บทว่า เวลฏฺฐปุตฺโต แปลว่า บุตรของช่างสานเสื่อลำแพน.
               บทว่า กจฺจายโน เป็นโคตร [สกุล] ของเดียรถีย์ชื่อปกุทธะ. เรียกกันว่า อชิต เกสกัมพล ก็เพราะครองผ้ากัมพลทำด้วยผมคน.
               บทว่า เตปิ มยา ความว่า หลาหล#- มี ๓ คือกัปปหลาหล พุทธหลาหล จักกวัตติหลาหล.
____________________________
#- คำว่า หลาหล มี ๓ คือ กัปปหลาหล พุทธหลาหล จักกวัตติหลาหลนี้. อรรถกถาของพม่าใช้คำว่า โกลาหล ๓ คือ กัปปโกลาหล พุทธโกลาหล จักกวัตติโกลาหล...

               บรรดาหลาหลทั้ง ๓ นั้น หลาหลที่ว่า กัปจักปรากฏที่สุดแสนปี ชื่อว่ากัปปลาหล. เหล่าเทวดาเที่ยวป่าวร้องในถิ่นมนุษย์ว่า ในที่สุดแสนปีแต่นี้ไป โลกจักพินาศ ผู้นิรทุกข์ทั้งหลายจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากันเถิด.
               ส่วนหลาหลที่ว่า พระพุทธเจ้าจักอุบัติในที่สุดพันปี ชื่อว่าพุทธหลาหล. เหล่าเทวดาป่าวร้องว่า ในที่สุดพันปีแต่นี้ไป พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้น อันพระสังฆรัตนะผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแวดล้อมแล้ว จักเสด็จจาริกแสดงธรรมโปรด.
               ส่วนหลาหลที่ว่า ในที่สุดร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติ ชื่อว่าจักกวัตติลาหล. เหล่าเทวดาป่าวร้องว่า ในที่สุดร้อยปีแต่นี้ไป พระเจ้าจักรพรรดิผู้สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ มีพระราชโอรสกว่าพันองค์เป็นบริวาร เสด็จไปทางอากาศได้ [เหาะได้] จักทรงอุบัติ ดังนี้.
               ก็ในหลาหลทั้ง ๓ นี้ ศาสดาทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ยินเรื่องพุทธหลาหล ก็เข้าไปหาอาจารย์เล่าเรียนวิชาว่าด้วยแก้วสารพัดนึกเป็นต้น แล้วก็ปฏิญญาว่า เราเป็นพุทธะ มหาชนห้อมล้อมจาริกไปตลอดชนบท มาถึงกรุงสาวัตถีตามลำดับ. เหล่าอุปัฏฐากคนบำรุงของศาสดาเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระราชา กราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ได้ยินว่า ท่านปูรณกัสสป ฯลฯ อชิตเกสกัมพล เป็นพุทธะ เป็นสัพพัญญู.
               พระราชาตรัสสั่งว่า พวกท่านจงนิมนต์ศาสดาเหล่านั้นเข้ามา ศาสดาทั้ง ๖ นั้นอันอุปัฏฐากเหล่านั้นบอกว่า พระราชานิมนต์พวกท่าน โปรดไปรับอาหารในพระราชวังเถิดดังนี้ ก็ไม่กล้าไป เมื่อถูกรบเร้าบ่อยๆ เข้า ก็รับเพื่อต้องการรักษาน้ำใจของเหล่าอุปัฏฐาก ก็ไปพร้อมกันทั้งหมด.
               พระราชาโปรดให้จัดปูอาสนะ รับสั่งให้นั่ง. พระราชอำนาจแผ่สร้านไปทั่วตัวเหล่านิครนถ์. นิครนถ์เหล่านั้นไม่อาจนั่งเหนืออาสนะที่สมควรอย่างใหญ่ได้ ก็นั่งบนแผ่นกระดานและพื้นดิน. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้นี่แล พระราชาก็ตรัสว่า ธรรมอันสะอาดภายในของนิครนถ์เหล่านั้นไม่มี จึงไม่พระราชทานอาหาร ตรัสถามว่า พวกท่านเป็นพุทธะหรือไม่ใช่พุทธะ ประหนึ่งทรงเอาค้อนตีผลตาลหล่นจากต้นตาลฉะนั้น.
               นิครนถ์เหล่านั้นคิดว่า ถ้าทูลว่าเราเป็นพุทธะ พระราชาตรัสถามในพุทธวิสัย เราก็ไม่อาจทูลตอบได้ ท้าวเธอก็จะตรัสว่า พวกท่านเที่ยวลวงมหาชนว่าเราเป็นพุทธะ ก็จะพึงโปรดให้ตัดลิ้นเสีย พึงทำความพินาศแม้อย่างอื่นดังนี้แล้ว จึงกล่าวปฏิญญาของตนอย่างเดียวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพุทธะ ดังนั้น พระราชาจึงให้ลากตัวนิครนถ์เหล่านั้นไปเสียจากพระราชวัง.
               พวกนิครนถ์เหล่านั้นออกจากพระราชวังแล้ว เหล่าอุปัฏฐากก็พากันถามว่า ท่านอาจารย์ พระราชาตรัสถามปัญหาแล้ว ได้ทรงกระทำสักการะและสัมมานะอะไร. เหล่านิครนถ์กล่าวว่า พระราชาตรัสถามว่า พวกท่านเป็นพุทธะหรือไม่ใช่พุทธะ ต่อนั้น พวกเราคิดว่า ถ้าพระราชาพระองค์นี้ไม่ทรงทราบปัญหาที่ตรัสถามในพุทธวิสัย ก็จักขัดพระทัยในพวกเรา จักทรงประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก เพราะความเอ็นดูพระราชา พวกเราจึงไม่ทูลว่า พวกเราเป็นพุทธะ แต่ความจริงพวกเราก็เป็นพุทธะนั่นแหละ ความเป็นพุทธะของพวกเรา ใครๆ ก็ไม่อาจเอาน้ำล้างออกไปได้ ดังนั้น พวกเราจึงเป็นพุทธะภายนอก.
               พวกนิครนถ์ไม่ทูลในสำนักของพระราชาว่า พวกเราเป็นพุทธะ พระราชาทรงถือเอาข้อนี้ จึงตรัสอย่างนี้. ในข้อนั้น พระราชาทรงถือปฏิญญาของพระองค์ จึงตรัสคำนี้ว่า ท่านพระโคดมยังหนุ่มโดยกำเนิด และยังใหม่โดยการบวช ทำไมจึงทรงปฏิญาณว่า ตรัสรู้ยิ่งพระอนุตตระสัมมาสัมโพธิเล่า.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ เป็นคำปฏิเสธ.
               นิครนถ์เหล่านั้นโดยกำเนิดก็เป็นคนแก่ และบวชมานาน ยังไม่ปฏิญาณว่าเราเป็นพุทธะ. ท่านพระโคดม โดยกำเนิดก็ยังหนุ่ม และโดยบรรพชาก็ยังใหม่ ทำไมจึงปฏิญญาณ. อธิบายว่า ก็อย่าปฏิญาณสิ.
               บทว่า น อุญฺญาตพฺพา ได้แก่ ไม่พึงดูหมิ่น.
               บทว่า น ปริโภตพฺพา ได้แก่ ไม่พึงดูแคลน.
               บทว่า กตเม จตฺตาโร เป็น กเถตุกมฺยตาปุจฉา ถามเองตอบเอง.
               บทว่า ขตฺติโย ได้แก่ พระราชกุมาร.
               บทว่า อุรโค แปลว่า งูพิษ.
               บทว่า อคฺคิ ก็แปลว่า ไฟนั่นแหละ.
               ก็ในบทว่า ภิกฺขุ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงบรรพชิตผู้มีศีล ยกพระองค์เป็นภายใน [ตัวอย่าง] เพราะทรงฉลาดในเทศนาวิธี.
               ในสภาวะ ๔ อย่างนั้น บุคคลพบพระราชกุมารหนุ่มทรงดำเนินสวนทาง ไม่ถวายทาง ไม่ลดผ้าห่ม ไม่ลุกจากที่นั่งที่นั่งอยู่ ไม่ลงจากหลังช้างเป็นต้น กระทำความประพฤติที่ไม่สมควรเห็นปานนั้นแม้อย่างอื่น โดยดูหมิ่นว่าอยู่ในที่ต่ำ ชื่อว่าดูหมิ่นกษัตริย์. เมื่อกล่าวว่า พระราชกุมารผู้น่ารักพระองค์นี้ พระปรางยุ้ย อุทรพลุ้ย จักทรงสามารถระงับโจรผู้ร้าย ทรงปกครองราชกิจในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งได้หรือ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าดูแคลน.
               เอาลูกงูพิษแม้ขนาดเท่าไม้ป้ายยาตามาประดับหูเป็นต้น ให้มันกัดนิ้วมือก็ดี ลิ้นก็ดี ชื่อว่าดูหมิ่นงู. เมื่อกล่าวคำว่า งูพิษตัวนี้น่าเอ็นดูหนอ เหมือนงูน้ำ จักสามารถกัดอะไรๆ ได้หรือ จักสามารถแผ่พิษไปในร่างกายของใครๆ ได้หรือ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าดูแคลนงู.
               จับไฟแม้เท่าหิ่งห้อย เล่นด้วยมือ เหวี่ยงไปที่หม้อสิ่งของ เหวี่ยงไปที่มวยผมก็ดี ที่หลังที่นอนผ้ากระสอบเป็นต้นก็ดี ชื่อว่าดูหมิ่นไฟ. กล่าวว่า ไฟนี้น่าเอ็นดูหนอ จักหุงต้มข้าวต้มข้าวสวยอะไรได้บ้างหนอ จักปิ้งปลาและเนื้ออะไรได้บ้าง จักบรรเทาความหนาวของใครได้ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าดูแคลน.
               อนึ่ง บุคคลพบภิกษุหนุ่มและสามเณรเดินสวนทาง แล้วไม่ถวายทาง กระทำความประพฤติที่ไม่สมควร ซึ่งกล่าวไว้แล้วในเรื่องพระราชกุมาร ชื่อว่าดูหมิ่นภิกษุ. กล่าวว่า สามเณรรูปนี้น่าเอ็นดูหนอ แก้มยุ้ย ท้องพลุ้ย จักสามารถเรียนพระพุทธวจนะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ จักสามารถยึดป่าแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ได้ จักเป็นที่น่าพอใจในเวลาเป็นพระสังฆเถระได้หรือ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าดูแคลน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงว่า ข้อนั้นแม้ทุกข้อไม่ควรทำ จึงตรัสว่า ไม่ควรดูหมิ่น ไม่ควรดูแคลน.
               บทว่า เอตทโวจ ความว่า ได้ตรัสคำที่ผูกเป็นคาถานี้ ก็ชื่อว่าคาถาเหล่านี้ ย่อมแสดงความข้อนั้นบ้าง แสดงความที่แปลกออกไปบ้าง. บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาเหล่านี้ย่อมแสดงทั้งความข้อนั้น ทั้งความแปลกออกไปทีเดียว.
               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งที่ดินทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงเกิดอักขระที่ ๒ ขึ้นว่า กษัตริย์ๆ ดังนี้.
               บทว่า ชาติสมฺปนฺนํ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยชาติ โดยชาติกษัตริย์ โดยชาติกษัตริย์นั้นแล.
               บทว่า อภิชาตํ ได้แก่ เกิดสูง เกินตระกูลทั้ง ๓ [คือขัตติยมหาศาล พราหมหาศาลและคหติมหาศาล].
               บทว่า ฐานํ แปลว่า มีเหตุ.
               บทว่า มนุสฺสินฺโท ได้แก่ เป็นหัวหน้ามนุษย์.
               บทว่า ราชทณฺเฑน ได้แก่ ด้วยอาชญาที่พระราชายกขึ้น ราชอาชญานั้นไม่ชื่อว่าเล็กน้อย คือปรับไหมหมื่นหนึ่ง สองหมื่นทีเดียว.
               บทว่า ตสฺมึ ปกฺกมเต ภุสํ ได้แก่ พยายามลงโทษอย่างร้ายแรงในบุคคลนั้น.
               บทว่า รกฺขํ ชีวิตมตฺตโน ได้แก่ เมื่อรักษาชีวิตตน ก็พึงละเว้น ไม่กระทบกระทั่งกษัตริย์นั้นเลย.
               บทว่า อุจฺจาวเจหิ ได้แก่ ต่างๆ อย่าง.
               บทว่า วณฺเณหิ ได้แก่ ด้วยทรวดทรงทั้งหลาย.
               จริงอยู่ งูนั้น เมื่อท่องเที่ยวด้วยเพศอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะได้เหยื่อ งูทั้งหลายจึงเที่ยวไปด้วยเพศงูธรรมดาบ้าง งูน้ำบ้าง งูเรือนบ้าง โดยที่สุดแม้ด้วยเพศกระแต.
               บทว่า อาสชฺช แปลว่า ถึง.
               บทว่า พาลํ ความว่า งูถูกคนเขลาผู้ใดกระทบแล้ว ก็พึงกัดคนเขลาผู้นั้นไม่ว่าชายหรือหญิง.
               บทว่า ปหุตพฺภกฺขํ แปลว่า มีอาหาร [เชื้อ] มาก. ความจริง ชื่อว่าอาหารของไฟไม่มีดอก.
               บทว่า ชาลินํ แปลว่า ลุกโชน.
               บทว่า ปาจกํ แปลว่าไฟ. ปาฐะว่า ปาวกํ ก็มี.
               บทว่า กณฺหวตฺตนึ ความว่า ทางชื่อว่าวัตตนี ทางที่ไฟไปแล้ว ย่อมดำๆ เพราะฉะนั้น ไฟท่านจึงเรียกว่า กัณหวัตตนี ทางดำ.
               บทว่า มหา หุตฺวา แปลว่า เป็นของใหญ่ ไฟบางครั้งก็มีขนาดเท่าพรหมโลก.
               บทว่า ชายนฺติ ตตฺถ ปาโรหา ความว่า ในป่าที่ไฟไหม้แล้วนั้น ต้นไม้ใบหญ้าย่อมเกิดขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าเป็นต้น ท่านเรียกว่า ปาโรหา. จริงอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น ในที่ๆ ไฟไหม้แล้ว ยังเหลือแม้เพียงหัว ก็งอก เกิด เจริญได้จากหัวนั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ปาโรหา. อีกนัยหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าชื่อว่า ปาโรหา เพราะอรรถว่างอกได้อีก.
               บทว่า อโหรตฺตานมฺจฺจเย แปลว่า ในกาลล่วงไปแห่งวันและคืนทั้งหลาย. แม้เมื่อฝนแล้ง พอฝนตก ต้นไม้ใบหญ้าก็เกิด.
               ในบทว่า ภิกฺขุ ฑหติ เตปสา นี้ ขึ้นชื่อว่าภิกษุ ด่าตอบภิกษุผู้ด่า ทะเลาะตอบผู้ทะเลาะ ประหารตอบผู้ประหาร ย่อมไม่สามารถเอาเดชเผาภิกษุไรๆ ได้.
               ส่วนภิกษุรูปใดไม่ด่าตอบผู้ด่า ไม่ทะเลาะตอบผู้ทะเลาะ ไม่ประหารตอบผู้ประหาร ไม่ผิดในภิกษุนั้น ด้วยเดชแห่งศีลของภิกษุนั้น ย่อมเผาภิกษุนั้นได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า น ตสฺส ปุตฺตา ปสโว ดังนี้. อธิบายว่า ทั้งบุตรธิดาของผู้นั้น ทั้งโคกระบือไก่สุกรเป็นต้น ก็ไม่มี พินาศหมด.
               บทว่า ทายาทา วินฺทเร ธนํ ความว่า แม้ทายาทของผู้นั้นก็ไม่ได้ทรัพย์.
               บทว่า ตาลวตฺถุ ภวนฺติ เต ความว่า ชนเหล่านั้นถูกเดชภิกษุเผาแล้ว ก็เป็นเหมือนต้นตาลขาดยอด คงเหลือเพียงลำต้น คือย่อมไม่เจริญด้วยบุตรธิดาเป็นต้น.
               บทว่า ตสฺมา แปลว่า ก็เพราะชนเหล่านั้น ถูกเดชของสมณะเผาแล้ว มีอันไม่งอกงามเป็นธรรมดา เหมือนต้นตาลขาดยอดฉะนั้น.
               บทว่า สมฺมเทว สมาจเร แปลว่า พึงประพฤติเอื้อเฟื้อโดยชอบ.
               ถามว่า อะไรอันผู้ประพฤติเอื้อเฟื้อโดยชอบพึงทำ.
               ตอบว่า ก่อนอื่น เมื่อพิจารณาเห็นอานิสงส์มีตำบลแขวงยานพาหนะเป็นต้นที่ได้มา เพราะอาศัยพระมหากษัตริย์. อานิสงส์มีผ้าเงินทองเป็นต้นที่พึงได้ด้วยการให้งูนั้นเล่นกีฬา เพราะอาศัยงู. อานิสงส์มีต้มหุงข้าวต้มข้าวสวยและบรรเทาความหนาวเป็นต้น ที่พึงได้ปรารภด้วยอำนาจของไฟนั้น เพราะอาศัยไฟ. อานิสงส์มีได้ฟังเรื่องที่ยังไม่ได้ฟัง ทำเรื่องที่ฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง และการบรรลุมรรคของตนเป็นต้นที่พึงถึงด้วยอำนาจภิกษุนั้น เพราะอาศัยภิกษุ. พึงละโทษมีประการที่กล่าวมาแต่ก่อน เพราะอาศัยสภาวะทั้ง ๔ เหล่านี้เสีย.
               แต่ไม่พึงละโดยประการทั้งปวงด้วยคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรกับสิ่งเหล่านี้อันผู้ต้องการจะเป็นใหญ่ ไม่ทำการดูหมิ่นดูแคลนดังกล่าวแล้ว พึงทำขัตติยกุมารให้ทรงยินดีด้วยอุบายมีตื่นก่อนนอนหลังเป็นต้น แต่นั้นก็จักถึงความเป็นใหญ่ด้วยประการฉะนี้. อันหมองูไม่พึงทำความสนิทสนมในงู ร่ายวิชามนต์งูเอาไม้สองง่าม [เท้าแพะ] ยันคอ เอารากไม้ถอนพิษล้างเขี้ยวงูแล้วใส่ไว้ในลุ้ง ให้มันเล่นกีฬา อาศัยงูนั้นก็จักได้อาหารและผ้าเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. อันผู้ประสงค์จะต้มข้าวเป็นต้น ไม่ใส่ไฟลงในหม้อใส่ของ ไม่จับต้องด้วยมือ ก่อไฟด้วยโคมัย [ขี้ไต้] ละเอียดเป็นต้น พึงต้มข้าวต้มเป็นต้น อาศัยไฟนั้นก็จักได้รับผลดีด้วยประการฉะนี้. อันผู้ประสงค์จะฟังเรื่องที่ยังไม่ได้ฟังเป็นต้น คุ้นเคยสนิทกับภิกษุ ไม่ใช้ท่านให้ทำตัวเป็นหมอ รับใช้ก่อสร้างเป็นต้น พึงบำรุงด้วยปัจจัย ๔ โดยเคารพ อาศัยภิกษุนั้นก็จักได้พระพุทธพจน์ที่ไม่เคยฟังด้วยประการฉะนี้.
               บุคคลถึงการวินิจฉัยปัญหาที่ไม่เคยฟัง ประโยชน์ในปัจจุบันและภายหน้า กุลสมบัติ ๓ กามาวจรสวรรค์ ๖ พรหมโลก ๙ แล้วจักได้การเห็นอมตมหานิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงประโยชน์ดังกล่าวมานี้ จึงตรัสว่า สมฺมเทว สมาจเร ดังนี้.
               บทว่า เอตทโวจ ความว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฟังพระธรรมเทศนาแล้วทรงเลื่อมใส จะทรงทำความเลื่อมใสให้ชัดเจนแล้ว จึงตรัสคำว่า อภิกฺกนฺตํ เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกนฺตํ แปลว่า น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจอย่างยิ่ง. อธิบายว่า ดีเหลือเกิน.
               พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงชมเทศนาด้วยอภิกกันตศัพท์ๆ หนึ่ง ในคำว่า อภิกฺกนฺตํ เป็นต้นนั้นว่า พระเจ้าข้า พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าน่าฟังจริงๆ ทรงชมความเสื่อมใสของพระองค์ด้วยอภิกกันตศัพท์อีกศัพท์หนึ่งว่า พระเจ้าข้า น่าชื่นใจจริงๆ ที่ข้าพระองค์อาศัยพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงเลื่อมใส.
               ต่อจากนั้น ก็ทรงชมพระธรรมเทศนาด้วยอุปมา ๔ ข้อ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ แปลว่า ของที่วางคว่ำหน้าหรือเอาหน้าไว้ล่าง.
               บทว่า อุกฺกุชฺเชยฺย แปลว่า พึงทำหน้าไว้ข้างบน [หงาย].
               บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ แปลว่า ของที่ปิดไว้ด้วยหญ้าเป็นต้น.
               บทว่า วิวเรยฺย แปลว่า พึงเพิก [เปิด].
               บทว่า มุฬฺหสฺส แปลว่า คนหลงทิศ [ทาง].
               บทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ได้แก่ จับมือบอกว่า นั่นทาง.
               บทว่า อนฺธกาเร ได้แก่ ในความมืด ๔ อย่าง คือแรม ๑๔ ค่ำ, เที่ยงคืน, ป่าทึบและแผ่นเมฆ.
               ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงยกข้าพระองค์ ซึ่งตกไปในอสัทธรรมหันหน้าหนีจากสัทธรรม ไว้ในสัทธรรม เหมือนใครๆ หงายของที่คว่ำ ทรงเปิดพระศาสนาที่การถือมิจฉาทิฏฐิปิดไว้ ตั้งแต่พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป อันตรธานไป เหมือนทรงเปิดของที่ปิดทรงกระทำทางสวรรค์และนิพพานให้ชัดแจ้งแก่ข้าพระองค์ผู้ดำเนินทางชั่วทางผิด เหมือนทรงบอกทางแก่ผู้หลงทาง ทรงชูดวงประทีปคือพระธรรมเทศนาที่กำจัดความมืด คือโมหะอันปิดพระศาสนานั้นแก่ข้าพระองค์ผู้จมลงในความมืด คือโมหะ ผู้ไม่เห็นรูปคือพระรัตนะมีพระพุทธรัตนะเป็นต้น เหมือนทรงส่องประทีปน้ำมันในความมืด ทรงประกาศธรรมแก่ข้าพระองค์โดยปริยายเป็นอันมาก เพราะทรงประกาศด้วยปริยายเหล่านั้น.
               พระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นทรงชมพระธรรมเทศนาอย่างนี้แล้วมีพระทัยเลื่อมใสในพระรัตนตรัยด้วยเทศนานี้ เมื่อทรงทำอาการของผู้เลื่อมใส จึงตรัสว่า เอสาหํ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาหํ แยกสนธิว่า เอโส อหํ แปลว่า ข้าพระองค์นั้น.
               บทว่า ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ แปลว่า ขอถึงพระรัตนตรัยนี้ คือพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะ.
               บทว่า อุปาสกํ มํ ภนฺเต ภควา ธาเรตุ ความว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำ รับรู้ข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นอุบาสก.
               บทว่า อชฺชตคฺเค แปลว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
               อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า อชฺชทคฺเค ดังนี้ก็มี.
               อักษรทำสนธิบท. ความว่า ตั้งต้นแต่วันนี้ไป.
               บทว่า ปาณุเปตํ แปลว่า เข้าถึงด้วยปราณคือชีวิต.
               สังเขปความในข้อนี้อย่างนี้ว่า ชีวิตของข้าพระองค์ยังดำเนินไปเพียงใด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ทำแต่สิ่งที่สมควร ผู้ถึงสรณะด้วยสรณคมน์ ๓ ไม่นับถือศาสดาอื่น เข้าถึงด้วยชีวิตเพียงนั้น.
               ส่วนความพิสดารกล่าวไว้แล้วทุกอาการในสามัญญผลสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินีแล.

               จบอรรถกถาทหรสูตรที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ปฐมวรรคที่ ๑ ทหรสูตรที่ ๑ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 313อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 322อ่านอรรถกถา 15 / 328อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=2153&Z=2217
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=3203
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=3203
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :