ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 17อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 19อ่านอรรถกถา 15 / 21อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรคที่ ๑
มานกามสูตรที่ ๙

               อรรถกถามานกามสูตรที่ ๙               
               พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๙ ต่อไป :-
               บทว่า มานกามสฺส ได้แก่ บุคคลผู้ใคร่อยู่ คือปรารถนาอยู่ซึ่งมานะ.
               บทว่า ทโม อธิบายว่า เทวดาย่อมกล่าวว่า ทมะอันเป็นไปในฝ่ายสมาธิย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เห็นปานนี้.
               ก็ในบทว่า สจฺเจน ทนฺโต ทมสา อุเปโต เวทนฺตคู วิสิตพฺรหฺมจริโย แปลว่า บุคคลผู้ฝึกฝนแล้วด้วยสัจจะผู้เข้าถึงแล้วด้วยทมะ ผู้ถึงที่สุดแห่งเวท ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ ดังนี้ ท่านเรียกอินทรีย์ว่า ทมะ.
               ในบทว่า ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตยา ภิยฺโยธ วิชฺชติ แปลว่า ผิว่า จะมีธรรมอื่นยิ่งกว่า สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติ ในโลกนี้ดังนี้ ท่านเรียกปัญญาว่า ทมะ.
               ในคำนี้ว่า ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวาเทน อตฺถิ ปุญฺญํ อตฺถิ ปุญฺญสฺส อาคโม แปลว่า บุญมีอยู่ การมาถึงแห่งบุญย่อมมี ด้วยทาน ด้วยทมะ ด้วยสังยมะ ด้วยสัจจวาจา ดังนี้ ท่านเรียกอุโบสถกรรมว่า ทมะ.
               ในคำว่า สกฺขิสฺสสิ โข ตฺวํ ปุณฺณ อิมินา ทมูปสเมน สมนฺนาคโต สุนาปรนฺตสฺมึ ชนปเท วิหริตุํ แปลว่า ดูก่อนปุณณะ เธอเป็นผู้ประกอบด้วยความอดทนด้วยความสงบนี้แล้ว จักอาจเพื่ออยู่ในชนบทสุนาปรันตะดังนี้ ท่านเรียกอธิวาสนขันติว่า ทมะ
               แต่คำว่า ทมะ ในพระสูตรนี้ เป็นชื่อของธรรมอันเป็นฝ่ายสมาธิ เพราะเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า น โมนมตฺถิ อสมาหิตสฺส แปลว่า ความรู้ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า โมนํ ได้แก่ ญาณในมรรค ๔.
               จริงอยู่ ญาณในมรรค ๔ นั้น ญาณใดย่อมรู้ เหตุนั้น ญาณนั้นจึงชื่อว่าโมนะ. อธิบายว่า ย่อมรู้สัจจธรรม ๔.
               บทว่า มจฺจุเธยฺยสฺส ได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓.
               จริงอยู่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ นั้น ท่านเรียกว่ามัจจุเธยยะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งความตาย.
               บทว่า ปารํ ได้แก่ ฝั่ง (นิพพาน) คือที่ดับแห่งเตภูมิกวัฏนั้นแล.
               บทว่า ตเรยฺย ได้แก่ พึงแทงตลอดหรือพึงถึง. คำนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลผู้เดียวเมื่ออยู่ในป่าประมาทแล้ว ไม่พึงข้ามพ้น ไม่พึงแทงตลอด ไม่พึงถึงฝั่งแห่งเตภูมิกวัฏอันเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุได้.
               ในบทว่า มานํ ปหาย ได้แก่ ละมานะ ๙ อย่าง ด้วยพระอรหัตมรรค.
               บทว่า สุสมาหิตตฺโต ได้แก่ มีจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ.
               บทว่า สุเจตโส ได้แก่ จิตที่ดีสัมปยุตแล้วด้วยญาณ. อธิบายว่า จริงอยู่ ท่านไม่เรียกว่า ผู้มีจิตดี โดยปราศจากญาณ เพราะฉะนั้น ผู้นั้นจึงชื่อว่ามีจิตดี เพราะประกอบด้วยญาณ.
               บทว่า สพฺพธิ วิปฺปมุตฺโต ความว่า พ้นไปแล้วในธรรมทั้งปวงมีขันธ์และอายตนะเป็นต้น.
               ในคำว่า ตเรยฺย นี้ ท่านกล่าวว่า เมื่อก้าวล่วงเตภูมิกวัฏ แทงตลอดถึงพระนิพพานข้ามไป ดังนี้ จึงชื่อว่าการข้ามพ้นด้วยการแทงตลอด. เพราะเหตุนี้ สิกขา ๓ เป็นอันท่านกล่าวแล้วด้วยคาถานี้. อย่างไร คือ ขึ้นชื่อว่ามานะนี้เป็นเครื่องทำลายศีล เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวถึงอธิศีลสิกขาด้วยคำว่า มานํ ปหาย แปลว่า ละมานะแล้ว. ท่านกล่าวอธิจิตตสิกขาด้วยคำว่า สุสมาหิตตฺโต แปลว่า มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว. ท่านแสดงปัญญาไว้ด้วยจิตตศัพท์ ในคำว่า สุเจตโส นี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าแสดงอธิปัญญาสิกขาด้วยคำว่า สุเจตโส นี้.
               เมื่อศีลมีก็ชื่อว่ามีอธิศีล เมื่อจิตมีก็ชื่อว่ามีอธิจิต เมื่อปัญญามีก็ชื่อว่ามีอธิปัญญา เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี จึงชื่อว่าศีล ในที่นี้. ปาฏิโมกขสังวร พึงทราบว่าชื่อว่าอธิศีล. สมาบัติ ๘ ชื่อว่าจิต. ฌานอันเป็นบาทแห่งวิปัสสนา ชื่อว่าอธิจิต. กัมมัสสกตญาณ ชื่อว่าปัญญา. วิปัสสนา ชื่อว่าอธิปัญญา.
               จริงอยู่ ศีลที่เป็นไปในกาลที่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด ฉะนั้น ศีล ๕ ศีล ๑๐ ชื่อว่าศีลเท่านั้น. ปาฏิโมกขสังวรศีลย่อมเป็นไปในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ฉะนั้น จึงชื่อว่าอธิศีล.
               แม้ในจิตและปัญญาก็นัยนี้เหมือนกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง แม้ศีล ๕ ศีล ๑๐ อันผู้ปรารถนาพระนิพพาน สมาทานแล้วก็ชื่อว่าอธิศีลเหมือนกัน. แม้สมาบัติ ๘ ที่เข้าถึงแล้ว ก็ชื่อว่าอธิจิตเหมือนกัน.
               หรือว่า โลกียศีลทั้งหมดชื่อว่าศีลเหมือนกัน โลกุตรศีลชื่อว่าอธิศีล.
               แม้ในจิตและปัญญาก็นัยนี้เหมือนกัน.
               ท่านประมวลสิกขา ๓ มากล่าวศาสนธรรมทั้งสิ้นไว้ด้วยพระคาถานี้ด้วยประการฉะนี้แล.

               จบอรรถกถามานกามสูตรที่ ๙               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต นฬวรรคที่ ๑ มานกามสูตรที่ ๙ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 17อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 19อ่านอรรถกถา 15 / 21อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=111&Z=120
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=657
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=657
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :