ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 51อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 67อ่านอรรถกถา 14 / 80อ่านอรรถกถา 14 / 853
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เทวทหวรรค
สุนักขัตตสูตร

               ๕. อรรถกถาสุนักขัตตสูตร               
               สุนักขัตตสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ ดังนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในสุนักขัตตสูตรนั้นดังต่อไปนี้.
               พระอรหัตชื่อว่า อัญญา. บทว่า พฺยากตา ความว่า อัญญา คือพระอรหัต ท่านกล่าวด้วยบททั้ง ๔ มีอาทิว่า อธิมาเนน ความว่า เป็นผู้มีความสำคัญธรรมที่ตนยังไม่ถึงว่าถึงแล้ว มีความสำคัญผิดว่า พวกเราได้บรรลุแล้วดังนี้.
               บทว่า เอวํ เอตฺถ สุนกฺขตฺต ตถาคตสฺส โหติ ความว่า ดูก่อนสุนักขัตตะ ในการที่พวกภิกษุเหล่านี้พยากรณ์พระอรหัตนี้ ตถาคตมีความดำริอย่างนี้ว่า ฐานะนี้ยังไม่แจ่มแจ้ง ยังมืดอยู่สำหรับภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ ภิกษุเหล่านี้จึงเป็นผู้มีความสำคัญในธรรมที่ตนยังไม่ได้บรรลุว่าบรรลุแล้ว เอาเถิด เราตถาคตแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ทำให้บริสุทธิ์ให้ปรากฏ.
               บทว่า อถ จ ปนีเธกจฺเจ ฯเปฯ ตสฺส โหติ อญฺญถตฺตํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พวกภิกษุผู้ปฏิบัติในเรื่องที่มีโมฆบุรุษบางพวกตั้งอยู่ในอิจฉาจาร พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเห็นว่าโมฆบุรุษเหล่านี้เรียนปัญหานี้แล้ว ไม่รู้เลย ก็ทำเหมือนรู้ เมื่อยังไม่ถึงก็สำคัญว่าถึง จักเที่ยวโพนทนาคุณวิเศษไปในคามนิคมเป็นต้น ข้อนั้นก็จักไม่เป็นประโยชน์ จักเป็นทุกข์แก่โมฆบุรุษเหล่านั้นตลอดกาลนาน. พระดำริที่เกิดขึ้นแด่พระตถาคตว่า เราจักแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติ ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะเหตุที่พวกโมฆบุรุษตั้งอยู่ในอิจฉาจารด้วยอาการอย่างนี้ ทรงหมายเอาข้อความนั้นจึงได้ตรัสคำนี้.
               บทว่า โลกามิสาธิมุตฺโต ความว่า น้อมไป คือโน้มไป โอนไป เงื้อมไป ในกามคุณ ๕ อันเป็นเหยื่อล่อของวัฏฏะ เป็นเหยื่อล่อของกามและเป็นเหยื่อล่อของโลก.
               บทว่า ตปฺปฏิรูปี ได้แก่ มีกามคุณเป็นสภาวะ.
               บทว่า อาเนญฺชปฏิสํยุตฺตาย แปลว่า เกี่ยวกับอาเนญชสมาบัติ.
               บทว่า สํเสยฺย แปลว่า พึงกล่าว.
               บทว่า อาเนญฺชสํโยชเนน หิ โข วิสํยุตฺโต ได้แก่ ไม่คลุกคลีด้วยการเกี่ยวข้อง ในอาเนญชสมาบัติ.
               บทว่า โลกามิสาธิมุตฺโต ความว่า ก็พระเถระเห็นปานนี้ ครองจีวรปอนๆ ถือบาตรดินไปยังปัจจันตชนบทกับพระที่เหมือนกับตน ๒-๓ รูป ในเวลาเข้าบ้านไปบิณฑบาต พวกมนุษย์เห็นแล้ว พากันกล่าวว่า ท่านผู้ถือมหาบังสุกุลมาแล้ว ต่างก็ตระเตรียมข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ถวายทานโดยเคารพ. เมื่อท่านฉันเสร็จ ได้ฟังอนุโมทนาแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ถึงวันพรุ่งนี้ก็ขอนิมนต์ท่านเข้ามาบิณฑบาตในที่นี้แหละ. พระเถระกล่าวว่า อย่าเลย อุบาสกทั้งหลาย แม้วันนี้ ท่านก็ถวายมากแล้ว. ชนทั้งหลายกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านทั้งหลายพึงอยู่ในที่นี้ตลอดพรรษา ดังนี้ ให้พระเถระรับนิมนต์แล้วถามทางไปยังวิหาร. ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะในวิหารนั้นแล้ว เก็บบาตรและจีวร. ในเวลาเย็น ภิกษุเจ้าถิ่นรูปหนึ่งได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านเที่ยวบิณฑบาตที่ไหน? พระอาคันตุกะตอบว่า ในบ้านโน้น.
               ถามว่า ภิกษาสมบูรณ์หรือ?
               ตอบว่า สมบูรณ์ขอรับ มนุษย์ทั้งหลายมีศรัทธาเห็นปานนี้ยังมีอยู่.
               ถามว่า คนเหล่านั้นจะเป็นเช่นนี้ เฉพาะวันนี้หรือหนอ? หรือเป็นเช่นนี้เป็นนิจเลย?
               ตอบว่า มนุษย์เหล่านี้มีศรัทธาเช่นนี้เป็นนิจ วิหารนี้อาศัยคนเหล่านั้นเท่านั้นจึงเจริญดังนี้.
               ต่อแต่นั้น พวกภิกษุผู้ถือปังสุกูลิกจีวรกังคธุดงค์เหล่านั้น กล่าวสรรเสริญคุณของคนเหล่านั้นบ่อยๆ กล่าวตลอดหมดทั้งวัน แม้กลางคืนก็กล่าว. ด้วยเหตุมีประมาณเพียงนี้ ศีรษะของผู้ตั้งอยู่ในอิจฉาจารก็หลุดไป ท้องก็แตก. พึงทราบบุคคลผู้น้อมใจไปในโลกามิส ด้วยประการฉะนี้.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงบุคคลผู้ได้อาเนญชสมาบัติ ผู้สำคัญผิด จึงตรัสว่า ฐานํ โข ปน ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า อาเนญฺชาธิมุตฺตสฺส ความว่า ผู้น้อมไป คือโน้มไป โอนไป เงื้อมไปในสมาบัติ ๖ ในเบื้องต่ำอันเว้นจากเครื่องหวั่นไหว คือกิเลส.
               บทว่า เส ปวุตฺเต แปลว่า นั้นหลุดไปแล้ว. เพราะอามิส คือกามคุณ ๕ ย่อมปรากฏแก่ผู้ได้สมาบัติ ๖ ผู้สำคัญผิด เหมือนใบไม้เหลืองหลุดจากขั้วฉะนั้น. ด้วยเหตุนี้จึงตรัสคำนั้น.
               บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงความลำบากของผู้ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติซึ่งสำคัญผิด จึงตรัสคำว่า ฐานํ โข ปน ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทวฺธา ภินฺนา (แตก ๒ ซีก) ได้แก่ แตกตรงกลาง (หักกลาง).
               บทว่า อปฺปฏิสนฺธิกา ความว่า หินก้อนเล็ก ขนาดหลังแผ่นหินอาจยาต่อให้ติดกันด้วยชันหรือยางเหนียว. แต่ท่านหมายเอาหินก้อนใหญ่ขนาดเท่าเรือนยอด จึงกล่าวคำนี้.
               บทว่า เส ภินฺนา ได้แก่ ภินนํ แปลว่า มันแตกแล้ว เบื้องต่ำย่อมเป็นเหมือนหินแตกออก ๒ ซีก (หัก ๒ ท่อน) สำหรับผู้ได้สมาบัติสูงขึ้นไป ย่อมไม่เกิดความคิดว่า เราจักเข้าสมาบัตินั้นดังนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสคำนั้น.
               บทว่า อาเนญฺชสญฺโญชเนหิ วิสํยุตฺโต ความว่า คลุกคลีด้วยการประกอบในอาเนญชสมาบัติ.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงความลำบากของท่านผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติผู้สำคัญผิด จึงตรัสว่า ฐานํ โข ปน ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า เส วนฺเต ได้แก่ ความเกี่ยวข้องในอากิญจัญญายตนะนั้น อันผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติคายแล้ว เกิดขึ้น.
               จริงอยู่ สมาบัติเบื้องต่ำย่อมปรากฏเป็นเหมือนตายแล้ว สำหรับผู้ได้สมาบัติ ๘ ย่อมไม่เกิดความคิดว่า เราจักเข้าสมาบัติอีก ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสคำ (ว่า เส วนฺเต) นั้น.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความลำบากของพระขีณาสพ จึงตรัสว่า ฐานํ โข ปน ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เส อุจฺฉินฺเน ได้แก่ ความเกี่ยวข้องในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัตินั้นอันผู้น้อมใจไปในพระนิพพานโดยชอบ ตัดขาดแล้ว. เพราะสมาบัติเบื้องต่ำ ย่อมปรากฏเหมือนตาลรากขาด สำหรับผู้ได้สมาบัติเบื้องสูง ย่อมไม่เกิดความคิดที่ว่า เราจักเข้าสมาบัตินั้น ดังนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสคำนี้.
               คำว่า ฐานํ โข ปเนตํ จ ดังนี้ เป็นอนุสนธิอันหนึ่ง.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความลำบากของท่านผู้ได้สมาบัติ ทั้งที่สำคัญผิดทั้งที่เป็นพระขีณาสพไว้ในหนหลัง. แต่สำหรับท่านที่เป็นสุกขวิปัสสก ทั้งที่สำคัญผิด ทั้งที่เป็นพระขีณาสพ มิได้ตรัสไว้. เพื่อทรงแสดงความลำบากแห่งท่านแม้ทั้งสอง (คือผู้ได้สมาบัติและสุกขวิปัสสก) เหล่านั้นจึงทรงเริ่มเทศนานี้. ก็คำนี้นั้นท่านคัดค้าน เพราะเมื่อกล่าวความลำบากของท่านผู้ได้สมาบัติที่สำคัญผิด ย่อมเป็นอันกล่าว สำหรับท่านที่เป็นสุกขวิปัสสก ทั้งท่านที่สำคัญผิด และเมื่อกล่าวความลำบากของท่านผู้ได้สมาบัติที่เป็นพระขีณาสพ ก็เป็นอันกล่าวสำหรับท่านที่เป็นสุกขวิปัสสกแม้ที่เป็นพระขีณาสพด้วย. แต่เพื่อจะตรัสสัปปายะและอสัปปายะของภิกษุทั้งสองเหล่านั้น จึงทรงเริ่มเทศนานี้.
               ในข้อนั้น พึงมีอธิบายดังต่อไปนี้
               สำหรับปุถุชน อารมณ์ยังไม่เป็นสัปปายะ ก็ช่างเถอะ แต่สำหรับพระขีณาสพอย่างไรจึงไม่เป็นสัปปายะเล่า? ไม่เป็นสัปปายะแก่ปุถุชนด้วยอารมณ์ใด ก็ไม่เป็นสัปปายะเลยแม้แก่พระขีณาสพ แม้ด้วยอารมณ์นั้น. ขึ้นชื่อว่ายาพิษ รู้แล้วกินก็ตาม ก็คงเป็นยาพิษอยู่นั่นเอง. อันพระขีณาสพจะพึงเป็นผู้ไม่สังวร เพราะคิดว่าเราเป็นพระขีณาสพ ดังนี้ ก็หาไม่. แม้พระขีณาสพก็ควรจะเป็นผู้ขะมักเขม้นจึงจะควร.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า สมเณน ได้แก่ พุทธสมณะ.
               บทว่า ฉนฺทราคพฺยาปาเทน ความว่า โทษอันเป็นพิษ คืออวิชชานั้นย่อมแปรปรวน ย่อมกำเริบด้วยฉันทราคะและพยาบาท. บทว่า อสปฺปายานิ ได้แก่ อารมณ์ที่ไม่เจริญใจ. บทว่า อนุทธํเสยฺย ได้แก่ พึงทำให้ร่วงโรย คือให้เหี่ยวแห้ง. บทว่า สอุปาทิเสสํ ได้แก่ สิ่งที่ยึดถือเป็นส่วนเหลือ ก็สิ่งที่พึงยึดมั่น คือสิ่งที่ยึดถือนี้ท่านเรียกว่า อุปาทิ.
               บทว่า อลํ จ เต อนฺตภยาย ความว่า ไม่สามารถทำอันตรายแก่ชีวิตของท่าน. ธุลีและละอองมีละอองข้าวเปลือกเป็นต้น ชื่อว่า รโชสุกํ.
               บทว่า อสุจิวิสโทโส ได้แก่ โทษอันเป็นพิษนั้นด้วย. บทว่า ตทุภเยน ได้แก่ ด้วยกิริยาอันไม่เป็นสัปปายะ และโทษอันเป็นพิษทั้งสองนั้น. บทว่า ปุถุตฺตํ ได้แก่ ความเป็นแผลใหญ่.
               ในคำว่า เอวเมว โข นี้ พึงเห็นโทษอันเป็นพิษ คืออวิชชาที่ยังละไม่ได้ เหมือนการถอนลูกศรอันมีเชื้อ พึงเห็นเวลาที่ไม่สำรวมในทวารทั้ง ๖ เหมือนภาวะคือการทรงอยู่แห่งกิริยาอันไม่สบาย การบอกคืนสิกขาแล้วเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว เหมือนการตาย เพราะแผลบวมขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการนั้น. พึงเห็นการต้องอาบัติหนัก เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนทุกข์ปางตาย. แม้ในฝ่ายขาว พึงทราบการเปรียบเทียบด้วยความอุปมา โดยนัยนี้แหละ.
               สติในคำว่า สติยา เอตํ อธิวจนํ นี้มีคติเหมือนปัญญา. โลกิยปัญญาย่อมมีได้ด้วยปัญญาอันเป็นโลกิยะ โลกุตรปัญญาย่อมมีได้ด้วยปัญญาอันเป็นโลกุตระ.
               บทว่า อริยาเยตํ ปญฺญาย ได้แก่ วิปัสสนาปัญญาอันบริสุทธิ์.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงกำลังของพระขีณาสพ จึงตรัสคำว่า โส วต ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า สํวุตการี ได้แก่ ผู้มีปกติปิด.
               บทว่า อิติ วิทิตฺวา นิรุปธิ ความว่า เพราะรู้อย่างนี้แล้วละอุปธิคือกิเลส ย่อมเป็นผู้ไม่มีอุปธิ. อธิบายว่า ย่อมเป็นผู้ไม่มีอุปาทาน.
               บทว่า อุปธิสงฺขเย วิมุตฺโต ความว่า น้อมไปแล้วโดยอารมณ์ในพระนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิทั้งหลาย. บทว่า อุปธิสฺมึ ได้แก่ ในอุปธิคือกาม.
               บทว่า กายํ อุปสํหริสฺสติ ความว่า จักยังกายให้ติดอยู่. ท่านอธิบายว่า ข้อที่พระขีณาสพพ้นแล้วด้วยอารมณ์ในนิพพานอันเป็นที่สิ้นตัณหา จักน้อมกายเข้าไปหรือจักยังจิตให้เกิดขึ้น เพื่อเสพกามคุณ ๕ นั่น มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
               คำที่เหลือในทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาสุนักขัตตสูตรที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เทวทหวรรค สุนักขัตตสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 51อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 67อ่านอรรถกถา 14 / 80อ่านอรรถกถา 14 / 853
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=1185&Z=1439
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=10&A=869
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=10&A=869
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๙  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :