ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 1อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 28อ่านอรรถกถา 14 / 42อ่านอรรถกถา 14 / 853
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เทวทหวรรค
ปัญจัตตยสูตร

               ๒. อรรถกถาปัญจัตตยสูตร               
               ปัญจัตตยสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
               พึงทราบวินิจฉัยในปัญจัตตยสูตรนั้นดังต่อไปนี้.
               บทว่า เอเก ได้แก่ บางพวก.
               บทว่า สมณพฺราหฺมณา ความว่า ชื่อว่าสมณะ โดยเป็นนักบวช ชื่อว่าพราหมณ์ โดยชาติ. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่โลกสมมติไว้อย่างนี้ว่าสมณะและว่าพราหมณ์ ดังนี้.
               ชื่อว่าอปรันตกัปปิกะ เพราะกำหนดยึดซึ่งขันธ์ส่วนอนาคต. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอปรันตกัปปิกะ เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นมีการกำหนดยึดขันธ์ส่วนอนาคต ดังนี้ก็มี. ก็ในคำว่า อปรันตกัปปิกะ นั้น ในที่นี้ ส่วนท่านประสงค์เอาส่วนว่า อนฺต ดุจในประโยคเป็นต้นว่า ผู้มีอายุ สักกายะ (กายของตน) แล เป็นส่วนอันหนึ่ง ดังนี้. ตัณหาและทิฏฐิ ชื่อว่ากัปปะ.
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า โดยอุทานว่า กัปปะ ดังนี้ กัปปะมี ๒ อย่าง คือ ตัณหากัปปะและทิฏฐิกัปปะ เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในคำว่า กัปปะ นี้อย่างนี้ว่า ชื่อว่า อปรันตกัปปิกะ เพราะกำหนดซึ่งส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคต โดยตัณหาและทิฏฐิ. ชื่อว่า อปรันตานุทิฏฐิ เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคต ยืนหยัดอยู่อย่างนั้นแล้ว มีความเห็นคล้อยตามส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคตนั่นแหละ โดยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ. สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีความเห็นอย่างนั้น เริ่มพึ่งพาอาศัยส่วนแห่งขันธ์อันเป็นอนาคตนั้น กระทำแม้คนอื่นให้ดำเนินไปตามทิฏฐิ กล่าวยืนยัน อธิมุตติบท (บทคือ ความน้อมใจเชื่อ) หลายอย่าง.
               บทว่า อเนกวิหิตานิ แปลว่า หลายอย่าง.
               บทว่า อธิมุตฺติปทานิ ได้แก่ บทเรียกชื่อ.
               อีกอย่างหนึ่ง ทิฎฐิทั้งหลาย ท่านเรียกว่า อธิมุตติ เพราะครอบงำความที่เป็นจริง ไม่ถือเอาตามเป็นจริงปฏิบัติ. บทแห่งอธิมุตติทั้งหลาย ชื่อว่า อธิมุตติบท. อธิบายว่า คำที่แสดงทิฏฐิ.
               บทว่า สญฺญี ได้แก่ พรั่งพร้อมด้วยสัญญา.
               บทว่า อโรโค ได้แก่ เป็นของเที่ยง.
               บทว่า อิตฺเถเก ตัดบทเป็น อิตฺถํ เอเก อธิบายว่า พวกหนึ่ง (กล่าว) อย่างนี้. ตรัสสัญญีวาทะ ๑๖ ด้วยบทว่า อิตฺเถเก นี้. ตรัสอสัญญีวาทะ ๘ ด้วยบทว่า อสัญญี นี้. ตรัสเนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ ด้วยบทว่า เนวสัญญีนาสัญญี นี้. ตรัสอุจเฉทวาทะ ๗ ด้วยคำนี้ว่า สโต วา ปน สตฺตสฺส.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สโต แปลว่า มีอยู่.
               บทว่า อุจเฉทํ ได้แก่ ขาดสูญ.
               บทว่า วินาสํ ได้แก่ ไม่เห็น.
               บทว่า วิภวํ ได้แก่ ไปปราศจากภพ.
               คำเหล่านี้ทั้งหมด เป็นไวพจน์ของกันและกันทั้งนั้น. ตรัสทิฏฐธรรมนิพพานวาทะ ๕ ด้วยบทนี้ว่า ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา.
               ในบทว่า ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา นั้น ธรรมที่เห็นชัด เรียกว่าทิฏฐธรรม. คำว่า ทิฏฐธรรมนี้เป็นชื่อของอัตภาพที่ได้มาในภพนั้นๆ. นิพพานในปัจจุบัน ชื่อว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน. อธิบายว่า ความเข้าไปสงบทุกข์ในอัตภาพนั้นนั่นแหละ.
               บทว่า สนฺตํ วา ความว่า สงบแล้วด้วยอาการทั้ง ๓ ด้วยคำเป็นต้นว่า มีสัญญา ดังนี้.
               คำว่า ตีณิ โหนฺติ หมายความว่า บทว่า สญฺญี อตฺตา ดังนี้เป็นต้น เป็น ๓ อย่างนี้ คือ เป็น ๑ เนื่องด้วยอัตตา สงบ นอกนี้ อีก ๒ (คือ ขาดสูญและนิพพานในปัจจุบัน)
               บทว่า รูปึ วา ได้แก่ มีรูป ด้วยกรัชรูป หรือกสิณรูป. ผู้ได้ในอัตตามีรูปนั้น ย่อมถือเอากสิณรูปว่า อัตตา ผู้ตรึกในกสิณรูป ย่อมถือเอารูปแม้ทั้งสองทีเดียว.
               บทว่า อรูปึ ความว่า ทั้งผู้ได้และผู้ตรึกทั้งสอง เมื่อบัญญัตินิมิตในอรูปสมาบัติ หรืออรูปธรรมที่เหลือ เว้นสัญญาขันธ์ย่อมบัญญัติอย่างนั้น. ก็ทิฏฐิที่สามเป็นไปด้วยอำนาจการถือเจือปนกัน ทิฏฐิที่สี่เป็นไปด้วยการถือเอาด้วยการตรึกเอาเท่านั้น. พึงทราบว่า ในจตุกกะที่สอง ตรัสทิฏฐิที่หนึ่งด้วยวาทะที่ถึงพร้อม ตรัสทิฏฐิที่สองด้วยวาทะที่ไม่ถึงพร้อม ตรัสทิฏฐิที่สามด้วยอำนาจกสิณบริกรรม ขนาดกระด้งหรือขนาดขันจอก ตรัสทิฏฐิที่ ๔ ด้วยอำนาจกสิณที่กว้างใหญ่.
               คำว่า เอตํ วา ปเนเตสํ อุปาติวตฺตตํ ดังนี้ ตรัสไว้โดยสังเขปด้วยบทว่า สัญญี อธิบายว่า ก้าวล่วงสัญญาทั้ง ๗ หมวด. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ๘ หมวด. คำทั้งสองนั้นจักมีแจ้งข้างหน้า.
               ส่วนในที่นี้ มีเนื้อความย่อดังต่อไปนี้.
               ก็คนบางพวกอาจก้าวล่วงสัญญา ๗ หรือ ๘ นี้ได้. ส่วนบางพวกไม่อาจ. ในสองพวกนั้น บุคคลใดอาจ บุคคลนั้นเท่านั้นก็ยึดไว้ได้. ก็เมื่อชนเหล่านั้นอาจก้าวล่วงสัญญาแต่ละชนิด ชนพวกหนึ่งกล่าวว่าวิญญาณัญจายตนะหาประมาณมิได้ ไม่หวั่นไหวเหมือนในพวกมนุษย์ผู้ข้ามแม่น้ำคงคา ไปถึงแค่บึงใหญ่แล้วก็หยุดอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งไปถึงบ้านใหญ่ข้างหน้าบึงใหญ่นั้น แล้วหยุดอยู่ ฉะนั้น.
               บรรดาวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะนั้น เพื่อแสดงวิญญาณัญจายตนะก่อน จึงตรัสว่า พวกหนึ่ง (กล่าวยืนยัน) กสิณคือวิญญาณ ดังนี้. จักกล่าวคำว่า พวกหนึ่ง (กล่าวยืนยัน) อากิญจัญญายตนะดังนี้ ข้างหน้า.
               บทว่า ตยิทํ ตัดบทเป็น ตํ อิทํ แปลว่า ทิฏฐิ และอารมณ์ของทิฏฐินี้นั้น.
               บทว่า ตถาคโต อภิชานาติ ความว่า ย่อมรู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่งว่า ทรรศนะชื่อนี้อันปัจจัยนี้ยึดแล้ว.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงทำทรรศนะนั้นนั่นแล ให้พิสดาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า เย โข เต โภนฺโต ดังนี้.
               บทว่า ยา วา ปเนสํ สญฺญานํ ความว่า ก็หรือว่า สัญญาใด (บัณฑิตกล่าวว่ายอดเยี่ยม) กว่าสัญญาที่กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าว่า (ทั้งที่) เป็นสัญญาในรูปเหล่านั้น.
               บทว่า ปริสุทฺธา คือ หมดอุปกิเลส.
               บทว่า ปรมา คือ สูงสุด. บทว่า เลิศ คือ ประเสริฐสุด.
               บทว่า อนุตฺตริยา อกฺขายติ ความว่า กล่าวว่าไม่มีอะไรเหมือน. ตรัสรูปาวจรสัญญา ๔ ด้วยบทนี้ว่า ยทิ รูปสญฺญานํ. ตรัสอากาสานัญจายตนสัญญาและวิญญาณณัญจายตนสัญญา ด้วยบทนี้ว่า ยทิ อรูปสญฺญานํ. ตรัสสมาปันนกวาระและอสมาปันนกวาระด้วยบททั้งสองกับบทนอกนี้. สัญญาเหล่านี้จัดเป็น ๘ ส่วน อย่างที่กล่าวมาด้วยประการดังนี้. แต่โดยใจความ สัญญามี ๗ อย่าง. จริงอยู่ สมาปันนกวาระสงเคราะห์ด้วยสัญญา ๖ ข้างต้นเท่านั้น.
               บทว่า ตยิทํ สงฺขตํ ความว่า สัญญาแม้ทั้งหมดนี้นั้นกับด้วยทิฏฐิอันปัจจัยปรุงแต่ง คือประมวลมาแล้ว. บทว่า โอฬาริกํ ความว่า ชื่อว่าหยาบ เพราะปัจจัยปรุงแต่งเทียว. บทว่า อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ ความว่า ก็ชื่อว่านิพพานที่นับได้ว่า ความดับสังขารทั้งหลายที่ท่านกล่าวว่า อันปัจจัยปรุงแต่ง เหล่านั้น มีอยู่. คำว่า อตฺเถตนฺติ อิติ วิทิตฺวา ความว่า ก็เพราะรู้นิพพานนั้นแลอย่างนี้ว่า นิพพานนั่นมีอยู่. คำว่า ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ความว่า มีปกติเห็นการสลัดออก คือมีปกติเห็นความดับสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น. บทว่า ตถาคโต ตทุปาติวตฺโต ความว่า ก้าวล่วง. อธิบายว่า ก้าวล่วงพร้อมซึ่งสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น.
               บทว่า ตตฺร ได้แก่ บรรดาอสัญญีวาทะ ๘ ประการเหล่านั้น. คำว่า อรูปี วา ดังนี้เป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวไว้ในสัญญีวาทะนั่นแล. ก็เพราะวาทะนี้เป็นอสัญญีวาทะ ฉะนั้น จึงไม่กล่าวจตุกกะที่สองนี้ไว้.
               บทว่า ปฏิกฺโกสนฺติ ได้แก่ ห้าม คือปฏิเสธ.
               ในบทว่า สญฺญา โรโค เป็นต้น ชื่อว่าเป็นดังโรค เพราะอรรถว่าเบียดเบียน. ชื่อว่าเป็นเหมือนหัวฝี เพราะอรรถว่ามีโทษ. ชื่อว่าเป็นเหมือนลูกศร เพราะอรรถว่าตามเข้าไป.
               ในบทว่า อาคตึ วา เป็นต้น ชื่อว่าการมา เพราะอำนาจปฏิสนธิ. ชื่อว่าการไป เพราะอำนาจคติ. ชื่อว่าจุติ เพราะอำนาจการเคลื่อนไป. ชื่อว่าอุปบัติ เพราะอำนาจการเข้าถึง. ชื่อว่าเจริญงอกงามไพบูลย์ เพราะอำนาจการเข้าถึงบ่อยๆ แล้วไปๆ มาๆ.
               ในภพที่มีขันธ์ ๔ แม้เว้นรูป ความเป็นไปของวิญญาณย่อมมีได้โดยแท้ แต่ในภพที่เหลือ เว้นขันธ์ ๓ วิญญาณย่อมเป็นไปไม่ได้. แต่สำหรับปัญหานี้ท่านกล่าวด้วยอำนาจภพที่มีขันธ์ ๕ ก็ในภพที่มีขันธ์ ๕ เว้นขันธ์ทั้งหลายประมาณเท่านี้ ชื่อว่าความเป็นไปของวิญญาณ ย่อมไม่มี ส่วนในอธิการนี้ นักพูดเคาะกล่าวในข้อนี้ว่า เพราะพระบาลีว่า เว้นจากรูป ดังนี้เป็นต้น แม้ในอรูปภพก็มีรูป และแม้ในอสัญญีภพก็มีวิญญาณ.
               สำหรับท่านผู้เข้านิโรธสมาบัติ ก็มีอย่างนั้น เหมือนกันซิ. ท่านผู้ชอบพูดเคาะนั้นจะต้องถูกต่อว่า หากจะค้านความหมายตามรูปของพยัญชนะ เพราะพระบาลีว่า อาคตึ วา เป็นต้น วิญญาณนั้นจะต้องกระโดดไปบ้าง เดินไปด้วยเท้าบ้าง เหมือนนกและสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าและเลื้อยไปเหมือนเถาแตงเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสภพ ๓ ไว้ในพระสูตรหลายร้อยสูตร ภพเหล่านั้นก็ต้องเป็นสองภพเท่านั้น เพราะไม่มีอรูปภพ เพราะฉะนั้น ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั้น จงทรงจำข้อความตามที่กล่าวมาแล้วเถิด.
               คำว่า ตตฺร เป็นสัตตมีวิภัตติลงในเนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ ประการ แม้ในที่นี้พึงทราบคำว่า รูปึ เป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               บทว่า อสญฺญา อสมฺโมโห ความว่า ชื่อว่า ความไม่มีสัญญานี้ เป็นที่ตั้งแห่งความหลง. ก็ท่านกล่าวภพที่ไม่รู้อะไรๆ นั้นว่า นั่นอสัญญีภพ.
               บทว่า ทิฏฺฐสุตมุตวิญฺญาตพฺพสงฺขารมตฺเตน ความว่า ด้วยสักว่าที่พึงรู้แจ้งด้วยการเห็น ด้วยสักว่าที่พึงรู้แจ้งด้วยการฟัง ด้วยสักว่า ที่พึงรู้แจ้งด้วยการทราบ. ก็ในบทว่า ทิฏฐมตฺเตน นี้ ธรรมชาติใดย่อมรู้ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วิญญาตัพพะ พึงรู้แจ้ง โดยอาการสักว่ารู้แจ้งอารมณ์ที่เห็นได้ยินและทราบ คือด้วยเหตุสักว่า ความเป็นไปแห่งสัญญาทางทวารทั้ง ๕ ในคำนี้มีความหมายดังกล่าวมานี้.
               บทว่า สงฺขารมตฺเตน ความว่า ด้วยความเป็นไปแห่งสังขารอย่างหยาบ.
               บทว่า เอตสฺสายตนสฺส ได้แก่ เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้.
               บทว่า อุปสมฺปทํ ได้แก่ การได้เฉพาะ.
               บทว่า พฺยสนํ เหตํ ความว่า นั้นเป็นความพินาศ. อธิบายว่า นั้นเป็นการออก เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เป็นไปด้วยสัญญาทางทวาร ๕ พึงเข้าโดยกระทำให้เป็นไปด้วยสังขารอย่างหยาบ หรือไม่ให้เป็นไป. ท่านแสดงว่า ก็เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้นเป็นไป การออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นย่อมมี.
               บทว่า สงฺขารสมาปตฺติปตฺตพฺพมกฺขายติ ความว่า ย่อมกล่าวว่า พึงบรรลุด้วยความเป็นไปแห่งสังขารหยาบ.
               บทว่า สงฺขาราวเสสสมาปตฺติปตฺตพฺพํ ความว่า บรรดาสังขารทั้งหลายนั่นแล สังขารที่เหลือ ชื่อว่าถึงความเป็นสังขารที่ละเอียดกว่าสังขารทั้งปวง ด้วยอำนาจภาวนา อายตนะนั้นพึงบรรลุด้วยความเป็นไปแห่งสังขารเหล่านั้น. เพราะเมื่อสังขารทั้งหลายเห็นปานนั้นเสียไปแล้ว อายตนะนั้นย่อมชื่อว่าเป็นอันพึงบรรลุ.
               บทว่า ตยิทํ ความว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้นั้น แม้เป็นของละเอียดก็เป็นของที่ปัจจัยปรุงแต่ง และเพราะเป็นของที่ปัจจัยปรุงแต่ง จึงเป็นของหยาบ.
               บทว่า ตตฺร เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในความหมายว่า อุจเฉทวาทะ (วาทะว่าขาดสูญ) ๗ ประการ.
               บทว่า อุทฺธํ ปรามาสนฺติ ความว่า วาทะว่าสัญญาอันยังไม่มาถึง เรียกว่ากาลข้างหน้า พวกสมณพราหมณ์ย่อมหมายมั่นกาลอันยังไม่มาถึง คือวาทะว่า สังสาระ (การเวียนว่าย).
               บทว่า อาสตฺตึเยว อภิวทนฺติ ความว่า ย่อมกล่าวการติดอยู่อย่างเดียว. บาลีว่า อาสตฺถึ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า กล่าวถึงความทะยานอยาก.
               บทว่า อิติ เปจฺจ ภวิสฺสาม ความว่า เราละไปแล้ว จักเป็นอย่างนี้. ในบทนี้พึงนำเอานัยอย่างนี้มาว่า เราจักเป็นกษัตริย์ จักเป็นพราหมณ์ ดังนี้.
               บทว่า วาณิชูปมํ มญฺเญ ความว่า ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนพ่อค้า คือ เช่นกับพ่อค้า.
               บทว่า สกฺกายภยา ได้แก่ เป็นผู้กลัวสักกายะ. ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อเกลียดสักกายะ กล่าวคือธรรมที่เป็นไปในภูมิสามนั้นนั่นแหละ ย่อมกลัวสักกายะ ย่อมเกลียดสักกายะ เหมือนสัตว์ ๔ จำพวกเหล่านี้ ย่อมกลัวต่อสิ่งที่ไม่ควรกลัว (ดังมีที่มา) ว่า ข้าแต่มหาราช สัตว์ ๔ จำพวกแล ย่อมกลัวต่อสิ่งที่ไม่ควรกลัวแล ๔ จำพวกไหนบ้าง ข้าแต่มหาราช ไส้เดือนแลย่อมไม่กินดิน เพราะกลัวว่าแผ่นดินจะหมด ข้าแต่มหาราช นกกระเรียนย่อมยืนเท้าเดียว (บนแผ่นดิน) เพราะกลัวว่าแผ่นดินจะทรุด. ข้าแต่มหาราช นกต้อยตีวิดนอนหงาย เพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม. ข้าแต่มหาราช พราหมณ์ผู้ประพฤติธรรมแลย่อมไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (คือต้องมีภรรยา) เพราะกลัวว่าโลกจะขาดสูญ ฉะนั้น.
               บทว่า สา คทฺทลพนฺโธ ความว่า สุนัขที่เขาเอาเชือกล่ามผูกไว้ที่ท่อนไม้.
               ในบทว่า เอวเมวีเม นี้ พึงเห็นสักกายทิฏฐิ กล่าวคือธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ เหมือนหลักแน่น และเหมือนเสาเขื่อน บุคคลผู้เป็นไปตามคติของทิฏฐิเหมือนสุนัข ทิฏฐิเหมือนท่อนไม้ ตัณหาเหมือนเชือก พึงทราบการวนเวียนของบุคคลผู้เป็นไปตามคติของทิฏฐิ ถูกผูกด้วยเชือกคือตัณหาที่สอดเข้าไปในท่อนไม้ คือทิฏฐิ แล้วมัดไว้ที่สักกายะเหมือนการวิ่งวนเวียนของสุนัขที่เขาเอาเชือกหนังล่ามแล้วผูกไว้ที่เสาหรือเขื่อน ไม่สามารถจะทำให้ขาดไปได้โดยธรรมดาของตน.
               บทว่า อิมาเนว ปญฺจายตนานิ ความว่า เหตุ ๕ ประการนี้เท่านั้น. แม้เมื่อตั้งแม่บทคือหัวข้อ ก็ตั้งไว้ ๕ ข้อ แม้เมื่อสรุปก็สรุปไว้ ๕ ข้อ แต่เมื่อแจกออก แจกออก ๔ ข้อ. ดังกล่าวฉะนี้ นิพพานในปัจจุบันจะจัดเข้าในข้อไหน. พึงทราบว่า จัดเข้าในบททั้งสอง คือ เอกัตตสัญญาและนานัตตสัญญา.
               ก็ครั้นทรงแสดงการกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต ๔๔ ประการอย่างนี้แล้ว เพื่อจะทรงแสดงการกำหนดขันธ์ส่วนอดีต ๑๘ ประการในบัดนี้ จึงตรัสว่า สนฺติ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
               ในคำว่า สนฺติ ภิกฺขเว ดังนี้ เป็นต้นนั้น ชื่อว่ากำหนดขันธ์ส่วนอดีต เพราะกะกำหนดขันธ์ส่วนก่อน กล่าวคือส่วนอดีตแล้วถือเอา.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากำหนดขันธ์ส่วนอดีต เพราะอรรถว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้มีการกำหนดขันธ์ส่วนอดีต.
               แม้ในบทที่เหลือ บทซึ่งมีประการดังกล่าวในก่อนพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ด้วยประการดังกล่าวแล้ว.
               บทว่า สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ ความว่า ถือเอาอายตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอายตนะทั้งหลายมีรูปเป็นต้นว่าตนและว่าโลก แล้วกล่าวยืนยันว่า เที่ยง ไม่ตาย แน่นอน ยั่งยืน.
               สมดังตรัสไว้ความพิสดารว่า ย่อมบัญญัติตนและโลกว่า รูปเป็นตนด้วย เป็นโลกด้วยเป็นความยั่งยืนด้วย.
               แม้ในวาทะว่า อัตตาและโลกไม่เที่ยงเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็ในบรรดาวาทะเหล่านี้ กล่าววาทะว่าเที่ยง ๔ ประการ ด้วยวาทะแรก. กล่าววาทะว่าขาดสูญ ด้วยวาทะที่สอง.
               ถามว่า ก็วาทะเหล่านี้มีมาแล้วในหนหลังมิใช่หรือ เพราะเหตุไร จึงเอามาพูดในที่นี้อีก.
               ตอบว่า ที่เอามาพูดในหนหลัง เพื่อแสดงว่า สัตว์ตายในที่นั้นๆ ย่อมขาดสูญในที่นั้นๆ นั่นแหละ แต่ในที่นี้ ผู้ที่ระลึกชาติได้เป็นไปตามคติของทิฏฐิ ย่อมเห็นอดีตไม่เห็นอนาคต เขาผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ตนที่มาจากขันธ์ส่วนอดีต ย่อมขาดสูญ ในที่นี้แน่นอน ไม่ไปต่อไปอีก. เพื่อจะแสดงเนื้อความดังกล่าวนี้ จึงเอามา (กล่าวอีก) กล่าววาทะว่าเที่ยงบางอย่าง ๔ ประการด้วยวาทะที่สาม. กล่าวอมราวิกเขปิกวาทะ (คือวาทะที่ดิ้นได้ไม่ตายตัว) ๔ ประการด้วยวาทะที่ ๔
               บทว่า อนฺตวา ได้แก่ มีที่สุด คือมีทางซึ่งกำหนดไว้. สำหรับผู้ไม่ได้เจริญกสิณ ย่อมถือเอากสิณนั้นว่า เป็นตนและเป็นโลกแล้วเป็นอยู่อย่างนั้น. วาทะที่สองกล่าวด้วยอำนาจของผู้ที่เจริญกสิณ วาทะที่สามกล่าวสำหรับผู้ที่เจริญกสิณไปทางขวาง (คือทางด้านข้าง) แต่ไม่เจริญกสิณไปทางเบื้องบนและเบื้องล่าง วาทะที่สี่กล่าวเนื่องด้วยคนผู้ใช้การตรึก อนันตรจตุกกะ (๔ หมวดที่ติดต่อกัน) มีนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ.
               บทว่า เอกนฺตสุขี ความว่า มีสุขโดยส่วนเดียว คือมีสุขเป็นนิรันดร. ทิฏฐินี้ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งผู้ได้ (มี) ทิฏฐิ ผู้ระลึกชาติและผู้คาดคะเน. เพราะทิฏฐิอย่างนี้ ย่อมเกิดแก่ผู้ได้ (มีทิฏฐิ) ผู้ระลึกชาติของตนซึ่งมีความสุขโดยส่วนเดียวในตระกูลกษัตริย์เป็นต้น ด้วยบุพเพนิวาสญาณ. ย่อมเกิดแก่ผู้ระลึกชาติได้ ผู้กำลังเสวยสุขปัจจุบัน ระลึกถึงอัตภาพเช่นนั้นนั่นแหละในอดีตชาติ ๗ ชาติก็เหมือนกัน. แต่สำหรับผู้ใช้การคาดคะเน (คือนักตรึก) พรั่งพร้อมด้วยความสุขในโลกนี้ ทิฏฐิย่อมเกิดขึ้นด้วยการคาดคะเนนั่นแลว่า แม้ในอดีต เราก็ได้เป็นแล้วอย่างนี้ ดังนี้.
               บทว่า มีทุกข์โดยส่วนเดียว ความว่า ทิฏฐินี้ย่อมไม่เกิดแก่ผู้ได้ (มี) ทิฏฐิ เพราะเขามีความสุขด้วยฌานสุขในโลกนี้โดยส่วนเดียว. ก็ทิฏฐินี้ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ใช้การคาดคะเนเท่านั้น ผู้อันทุกข์สัมผัสแล้วในโลกนี้ระลึกชาติได้อยู่. ทิฏฐิที่สามย่อมเกิดแก่คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ผู้มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกัน. ก็ทิฏฐิที่สี่ก็เหมือนกัน ย่อมเกิดแก่ผู้ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ด้วยอำนาจจตุตถฌานในบัดนี้ ระลึกถึงพรหมโลกอันมีด้วยฌานที่สี่เท่านั้น แม้ในกาลก่อน. ทิฏฐินี้ย่อมเกิด ทั้งแก่ผู้ระลึกชาติได้ ผู้วางตนเป็นกลาง (วางเฉย) อยู่ในปัจจุบัน ระลึกถึงฐานะอันเป็นกลางๆ เท่านั้น ทั้งแก่ผู้ใช้การคาดคะเน ผู้วางตนเป็นกลางอยู่ในปัจจุบัน ถือเอาอยู่ด้วยการคาดคะเนอย่างเดียวว่า แม้ในอดีตก็จักเป็นอย่างนี้ ดังนี้ ด้วยการกล่าวมาเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันกล่าวการกำหนดขันธ์ส่วนอดีตทั้ง ๑๘ ประการ คือวาทะว่าโลกเที่ยงยั่งยืน ๔ ประการ วาทะว่าโลกเที่ยงยั่งยืนบางอย่าง ๔ ประการ วาทะว่าโลกมีที่สุดและไม่มีที่สุด ๔ ประการ กล่าววาทะที่ดิ้นได้ ไม่ตายตัว ๔ ประการ กล่าววาทะว่าเกิดขึ้นเลื่อนลอย ๒ ประการ.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงขยาย (ความ) ทิฏฐิ จึงตรัสคำว่า ตตฺร ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น ญาณที่ประจักษ์ ชื่อว่าญาณเฉพาะตน.
               บทว่า ปริสุทฺธึ คือ หมดอุปกิเลส.
               บทว่า ปริโยทาตํ คือ ประภัสสร. ตรัสวิปัสสนาญาณอย่างเดียวด้วยบททุกบท. เพราะธรรม ๕ ประการมีศรัทธาเป็นต้น ย่อมมีในลัทธิภายนอก (ส่วน) วิปัสสนาญาณมีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ญาณภาคมตฺตเมว ปริโยทเปนฺติ ความว่า ย่อมยังส่วนแห่งความรู้ในญาณนั้นให้หยั่งลงไปอย่างนี้ว่า สิ่งนี้พวกเรารู้ ดังนี้.
               บทว่า อุปาทานมกฺขายติ ความว่า ส่วนแห่งความรู้นั้น ไม่ใช่ญาณ นั่นเป็นชื่อของมิจฉาทัสสนะ เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงกล่าวส่วนแห่งความรู้แม้นั้น ว่าเป็นทิฏฐุปาทานของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ความรู้นั้นเป็นเพียงส่วนของความรู้เท่านั้น เพราะมีลักษณะเพียงสักว่ารู้. แม้ถึงเช่นนั้น ก็ชื่อว่าเป็นอุปาทานเพราะไม่พ้นไปจากวาทะ และเพราะเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน.
               บทว่า เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น ได้แก่ ก้าวล่วงทิฏฐินั้น. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันกล่าวทิฏฐิแม้ทั้ง ๖๒ ประการ ซึ่งมาในพรหมชาลสูตร คือวาทะว่า อัตตาและโลกเที่ยง ๔ อย่าง วาทะว่าเที่ยงเป็นบางอย่าง ๔ อย่าง วาทะว่ามีที่สุดและไม่มีที่สุด ๔ อย่าง วาทะดิ้นได้ไม่ตายตัว ๔ อย่าง วาทะว่าเกิดขึ้นเลื่อนลอย ๒ อย่าง วาทะว่ามีสัญญา ๑๖ อย่าง วาทะว่าไม่มีสัญญา ๘ อย่าง วาทะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ๘ อย่าง วาทะว่าขาดสูญ ๗ อย่าง วาทะว่านิพพานในปัจจุบัน ๕ อย่าง ก็เมื่อกล่าวพรหมชาลสูตรแล้ว สูตรนี้ย่อมเป็นอันไม่กล่าวเลย. เพราะสักกายทิฏฐิอันเกินกว่าพรหมชาลสูตรนั้น มีมาในสูตรนี้. แต่เมื่อกล่าวสูตรนี้แล้วพรหมชาลสูตรย่อมเป็นอันกล่าวแล้วทีเดียว.
               บัดนี้ เพื่อแสดงว่าทิฏฐิ ๖๒ ประการเหล่านี้ เมื่อเกิดย่อมเกิดขึ้นโดยมีสักกายทิฏฐิเป็นใหญ่เป็นประธาน จึงตรัสว่า อิธ ภิกฺขเว เอกจฺโจ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏินิสฺสคฺคา ได้แก่ เพราะบริจาค.
               บทว่า กามสญฺโญชนานํ อนธิฏฺฐานา ได้แก่ เพราะสลัดตัณหาในกามคุณ ๕.
               บทว่า ปวิเวกํ ปีตึ ได้แก่ ปีติแห่งฌานทั้งสองซึ่งมีปีติ.
               บทว่า นิรุชฺฌติ ได้แก่ ดับด้วยความดับด้วยฌาน. ก็สำหรับผู้ออกจากสมาบัติ ปีติ ย่อมชื่อว่าเป็นอันดับแล้ว. เหมือนอย่างว่า ในคำนี้ที่ว่า นิรามิสสุขเกิดเพราะอทุกขมสุขเวทนาดับ, อทุกขมสุขเวทนาเกิดเพราะนิรามิสสุขดับ ดังนี้ ไม่มีความหมายอันนี้ว่า เพราะจตุตถฌานดับ จึงเข้าถึงตติยฌานอยู่. ก็ในคำนี้มีความหมายนี้ว่า ออกจากจตุตถฌานแล้วเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้วเข้าจตุตถฌาน ดังนี้ฉันใด พึงทราบข้ออุปไมยนี้ฉันนั้น.
               บทว่า อุปปชฺชติ โทมนสฺสํ ได้แก่ โทมนัสที่ครอบงำฌานอย่างต่ำๆ ก็ท่านกล่าวถึงความคล่องตัว สำหรับท่านผู้มีจิตออกจากสมาบัติ.
               บทว่า ปีติอันเกิดแต่วิเวก ได้แก่ ปีติในฌานทั้งสองนั้นเอง.
               บทว่า ยํ ฉายา ชหติ ได้แก่ ยํ ฐานํ ฉายา ชหติ (แปลว่า ร่มเงาย่อมละทิ้งที่ใดไป).
               คำนี้ท่านอธิบายว่า ร่มเงามีอยู่ในที่ใดแสงแดดย่อมไม่มีในที่นั้น แสงแดดมีในที่ใดร่มเงาย่อมไม่มีในที่นั้น ดังนี้.
               บทว่า นิรามิสํ สุขํ ได้แก่ สุขในตติยฌาน.
               บทว่า อทุกฺขมสุขํ ได้แก่ เวทนาในจตุตถฌาน.
               บทว่า อนุปาทาโนหมสฺมิ ความว่า เราเป็นผู้ไม่ยึดถือ.
               บทว่า นิพฺพานสปฺปายํ ความว่า เป็นสัปปายะ คือ เป็นอุปการะแก่พระนิพพาน.
               ก็ธรรมดาการเห็นมรรคย่อมเกิดขึ้นในเมื่อความใคร่ในสิ่งทั้งปวงถูกทำให้แห้งหายไปมิใช่หรือ? ความเห็นนั้น ชื่อว่าเป็นข้อปฏิบัติอันเป็นอุปการะแก่นิพพานได้อย่างไร? ชื่อว่าเป็นข้อปฏิบัติอันเป็นอุปการะได้ ด้วยอำนาจไม่ถือมั่น คือด้วยอำนาจการไม่ยึดถือในสิ่งทั้งปวง.
               บทว่า อภิวทติ ได้แก่ กล่าวด้วยมานะจัด.
               บทว่า ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐึ ได้แก่ ทิฏฐิคล้อยตามขันธ์ ส่วนอดีตทั้ง ๑๘ อย่าง.
               บทว่า อปรนฺตานุทิฏฺฐึ ได้แก่ ทิฏฐิคล้อยตามขันธ์ ส่วนอนาคตทั้ง ๔๔ อย่าง.
               บทว่า อุปาทานมกฺขายติ ความว่า ย่อมเรียกว่าทิฏฐุปาทาน เพราะการถือว่าเรามี เป็นการถือที่นับเนื่องในสักกายะทิฏฐิ.
               บทว่า สนฺตํ วรํ ปทํ ได้แก่ บทอันสูงสุด ชื่อว่าสงบ เพราะเป็นบทสงบระงับกิเลส.
               บทว่า ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ ความว่า ในบาลีนี้ที่ว่า อายตนะอันบุคคลควรรู้ไว้ คือจักษุดับ ณ ที่ใด รูปสัญญาก็สิ้นไป ณ ที่นั้น ดังนี้เป็นต้น
               ทรงแสดงนิพพานด้วยการปฏิเสธอายตนะ ๒ ในพระบาลีนี้ที่ว่า๑-
                                   น้ำ ดิน ไฟ ลม ย่อมไม่ตั้งอยู่ใน
                         ที่ใด ภพหน้า (สงสาร) ย่อมกลับแต่ที่นี้
                         โทษ (วัฏฏ) ย่อมกลับในที่นี้ นามรูปย่อม
                         ดับหมดในที่นี้ ดังนี้เป็นต้น.

               ทรงแสดงนิพพานด้วยการปฏิเสธสังขาร ในบาลีนั้นที่ว่า๒-
                                   อาโปฐาตุ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และ
                         วาโยธาตุ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใด อุปาทายรูป
                         ที่ยาว สั้น ละเอียด หยาบ งาม และไม่
                         งาม ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่นั้น (ใด) นามรูป
                         ย่อมดับหมดในที่นั้น ดังนี้เป็นต้น.

____________________________
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๑   ๒- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๕๐

               มีไวยากรณ์ (คือข้อความเป็นร้อยแก้ว) ว่า ในพระบาลีนี้ที่ว่า วิญญาณมองเห็นไม่ได้ หาที่สุดไม่ได้ ผ่องใสโดยประการทั้งปวง ดังนี้เป็นต้น ทรงแสดงนิพพานโดยการปฏิเสธสังขารในที่ทุกแห่ง. แต่ในสูตรนี้ทรงแสดงโดยการปฏิเสธอายตนะ ๖.
               ก็ในสูตรอื่นทรงแสดงเฉพาะนิพพานเท่านั้นด้วยบทว่า อนุปาทา วิโมกฺโข ได้แก่ การหลุดพ้นโดยไม่ถือมั่น. แต่ในสูตรนี้ ทรงแสดงอรหัตผลสมาบัติ.
               คำที่เหลือในที่ทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาปัญจัตตยสูตรที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เทวทหวรรค ปัญจัตตยสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 14 / 1อ่านอรรถกถา 14 / 1อรรถกถา เล่มที่ 14 ข้อ 28อ่านอรรถกถา 14 / 42อ่านอรรถกถา 14 / 853
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=512&Z=792
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=10&A=245
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=10&A=245
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :