ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 62อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 84อ่านอรรถกถา 13 / 91อ่านอรรถกถา 13 / 734
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหบดีวรรค
กุกกุโรวาทสูตร เรื่องปุณณโกลิยบุตรและเสนิยะอเจละ

               ๗. อรรถกถากุกกุโรวาทสูตร๑-               
๑- อรรถกถาเรียก กุกกุรวัตติยสูตร.

               กุกกุโรวาทสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
               ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกลิเยสุ คือ ชนบทที่มีชื่ออย่างนี้.
               โกลิยะนั้นเป็นชนบทหนึ่ง เรียกกันอย่างนี้ก็เพราะว่า เป็นถิ่นที่อยู่ของเหล่าพระราชกุมารฝ่ายโกลิยวงศ์ซึ่งดำรงอยู่ ณ นครโกลิยะ ในชนบทชื่อโกลิยะนั้น.
               คำว่า หลิทฺทวสนํ ความว่า คนทั้งหลายนุ่งห่มผ้าสีเหลืองเล่นนักขัตฤกษ์ ในคราวสร้างนิคมนั้น สิ้นสุดการเล่นนักขัตฤกษ์แล้ว พวกเขาก็ยกชื่อนิคมขนานนามว่า หลิททวสนะ.
               อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำหลิททวสนะนิคมนั้นให้เป็นโคจรคาม ประทับอยู่. ก็ที่อยู่ในหลิททวสนนิคมนั้น ยังไม่ได้กำหนดกันไว้ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้นก็พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เสนาสนะอันสมควรแก่พระพุทธะทั้งหลาย.
               คำว่า โควตฺติโก ความว่า ผู้สมาทานโควัตร การประพฤติอย่างโค คือตั้งเขาทั้งสองเขาบนศีรษะ ผูกหางเที่ยวเคี้ยวหญ้ากับเหล่าโค.
               คำว่า อเจโล แปลว่า เปลือย ไม่มีผ้า.
               คำว่า เสนิโย เป็นชื่อของเขา.
               คำว่า กุกฺกุรวตฺติโก ความว่า ผู้สมาทานกุกกุรวัตร การประพฤติอย่างสุนัข ทำกิริยาของสุนัขทุกอย่าง. ปุณณะกับเสนิยะทั้งสองนั้นเป็นสหายเล่นฝุ่นด้วยกันมา.
               คำว่า กุกฺกุโรว ปลิกุญฺฐิตฺวา ความว่า ขึ้นชื่อว่าสุนัข เมื่อนั่งใกล้ๆ นาย เอาเท้าทั้งสองข้างตะกุยที่พื้นนั่งเห่าเสียงสุนัข. เสนิยะคิดว่า แม้เราจักกระทำดุจกิริยาแห่งสุนัข ครั้นกล่าวทักทายปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็เอาเท้าทั้งสองข้างตะกุยพื้น สลัดศีรษะ ทำเสียงภุภุ นั่งคู้มือและเท้าเหมือนสุนัข.
               คำว่า ฉมายํ นิกฺขิตฺวา แปลว่า ที่เขาวางไว้ที่พื้นดิน.
               คำว่า สมตฺตํ สมาทินฺนํ แปลว่า ที่ยึดอย่างบริบูรณ์.
               คำว่า กา คติ คือ ผลสำเร็จเป็นอย่างไร.
               คำว่า โก อภิสมฺปรายโน หมายถึง ภายภาคหน้า คือบังเกิดในที่ไหน.
               คำว่า อลํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งด้วยทรงพระดำริว่า สิ่งที่ไม่น่ารักจักมีแก่เขา.
               คำว่า กุกฺกุรวตฺตํ คือ การถือเอาอากัปกิริยาของสุนัข.
               คำว่า ภาเวติ แปลว่า ทำให้เจริญ.
               คำว่า ปริปุณฺณํ คือ ไม่พร่อง.
               คำว่า อพฺโพกิณฺณํ คือ ไม่ว่างเว้น.
               คำว่า กุกฺกุรสีลํ คือ ความประพฤติของสุนัข.
               คำว่า กุกฺกุรจิตฺตํ คือ เกิดความคิดอย่างนี้ว่า ตั้งแต่วันนี้ เราจักกระทำการที่สุนัขทั้งหลายพึงกระทำ.
               คำว่า กุกฺกุรากปฺปํ ความว่า อาการเดินของเหล่าสุนัขมีอยู่ อาการที่เห็นสุนัขเหล่าอื่นแล้วแยกเขี้ยวเดินไป อาการนี้ชื่อว่า อาการของสุนัข. เขาทำอาการของสุนัขนั้นให้ปรากฏ.
               ในคำว่า อิมินาหํ สีเลน เป็นต้น ความว่า ข้าพระองค์จักเป็นเทวดาหรือเทวดาองค์หนึ่งด้วยความประพฤติ ด้วยการสมาทานวัตร ด้วยการประพฤติตบะที่ทำได้ยากหรือด้วยพรหมจรรย์คือการเว้นเมถุนนี้.
               คำว่า เทโว คือ บรรดาเทวดาทั้งหลายมีท้าวสักกะ ท้าวสุยามะเป็นต้น เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง.
               คำว่า เทวญฺญตโร คือ บรรดาเทวดาเหล่านั้นเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งในฐานะที่ ๒ ที่ ๓ เป็นต้น.
               คำว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิ ความว่า ความเห็นนั้นของเขา ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ เพราะการยึดถือทางที่มิใช่ทางไปสู่เทวโลกว่าเป็นทางไปสู่เทวโลก.
               คำว่า อญฺญตรํ คตึ วทามิ ความว่า ก็คติของเขาเป็นอื่นไปจากนรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไม่มี เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้.
               คำว่า สมฺปชฺชมานํ คือ กุกกุรวัตรที่เขาปฏิบัติอยู่ ไม่เจือด้วยทิฏฐิ.
               คำว่า นาหํ ภนฺเต เอตํ โรทามิ ยํ มํ ภนฺเต ภควา เอวมาห ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำพยากรณ์อันใดกะข้าพเจ้าอย่างนี้ ข้าพระองค์มิได้ร้องไห้ มิได้คร่ำครวญ มิได้ทอดถอนถึงคำพยากรณ์อันนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าดอก.
               บัณฑิตพึงทราบความข้อนั้นด้วยอำนาจกรรมของตนเอง ด้วยประการฉะนี้. ไม่พึงทราบความด้วยอาการเพียงน้ำตาไหล.
               ก็ในข้อนั้นมีการประกอบความดังนี้ว่า
                                   มตํ วา อมฺม โรทนฺติ    โย วา ชีวํ น ทิสฺสติ
                                   ชีวนฺตํ อมฺม ปสฺสนฺตี    กสฺมา มํ อมฺม โรทสิ.
                         แม่จ๋า คนทั้งหลาย เขาร้องไห้ถึงแต่คนที่ตายแล้ว
                         หรือคนที่ยังเป็นอยู่แต่ไม่พบกัน เมื่อแม่เห็นฉันยัง
                         เป็นอยู่ เหตุไร แม่จึงร้องไห้ถึงฉันเล่า แม่จ๋า ...
                         (คำของสานุสามเณร)
               คำว่า อปิจ เม อิทํ ภนฺเต ความว่า นายเสนิยะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนึ่งเล่ากุกกุรวัตรนี้ ข้าพเจ้าสมาทานมาเป็นเวลายาวนาน แม้เมื่อปฏิบัติกุกกุรวัตรนั้น ก็ไม่มีความเจริญ เมื่อปฏิบัติผิดก็ไม่มีความเสื่อม (จัญไร) กรรมที่ข้าพเจ้ากระทำมาเป็นเวลาเพียงนี้ก็เกิดเป็นโมฆะ (ไม่มีผล) เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าเมื่อพิจารณาเห็น ความวิบัติของตัวเองจึงร้องไห้ พระเจ้าข้า.
               คำว่า โควตฺตํ เป็นต้น ก็พึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วในกุกกุรวัตรเป็นอาทินั่นแล.
               คำว่า คฺวากปฺปํ แยกสนธิเป็น โคอากปฺปํ แปลว่า อาการของโค.
               คำที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกับคำที่กล่าวมาแล้วในอาการของสุนัขนั่นแหละ เห็นเหล่าสุนัขตัวอื่นๆ แล้วแยกเขี้ยวเดินไปในกุกกุรวัตรนั้นฉันใด ก็พึงทราบอาการที่โคเห็นโคตัวอื่นๆ แล้วยกหูทั้งสองเดินไปในโควัตรนี้ก็ฉันนั้น. คำนอกนั้นก็เหมือนกันนั่นแหละ.
               คำว่า จตฺตารีมานิ ปุณฺณ กมฺมานิ ความว่า เหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภพระธรรมเทศนานี้. ก็เพราะเทศนานี้มาด้วยอำนาจการกระทำกรรมบางอย่าง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรม ๔ หมวดนี้แล้ว การกระทำของคนเหล่านี้จักปรากฏ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภเทศนานี้. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า คนทั้งสองนี้จักเข้าใจกรรม ๔ หมวด ที่กำลังทรงแสดงนี้เท่านั้น ต่อนั้น คนหนึ่งจักถึงสรณะ คนหนึ่งจักบวชแล้วบรรลุพระอรหัต ดังนั้น เทศนานี้เท่านั้นเป็นสัปปายะของพวกเขา จึงทรงปรารภเทศนานี้.
               บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า กณฺหํ แปลว่า ดำ ได้แก่กรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐.
               บทว่า กณฺหวิปากํ คือ มีวิบากดำ เพราะทำให้บังเกิดในอบาย.
               บทว่า สุกฺกํ แปลว่า ขาว ได้แก่กรรมที่เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐.
               บทว่า สุกฺกวิปากํ คือ มีวิบากขาว เพราะทำให้บังเกิดในสวรรค์.
               บทว่า กณฺหสุกฺกํ คือ กรรมที่คละกัน.
               บทว่า กณฺหสุกฺกวิปากํ คือ มีสุขและทุกข์เป็นวิบาก.
               แท้จริง บุคคลทำกรรมคละกันแล้วเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในตำแหน่งช้างมิ่งมงคลเป็นต้นด้วยอกุศลกรรม ก็เสวยสุขในปวัตติกาลด้วยกุศลกรรม. แม้เขาเกิดในราชตระกูลด้วยกุศลกรรม ก็เสวยทุกข์ในปวัตติกาลด้วยอกุศลกรรม. กรรมคือเจตนาในมรรค ๔ อันกระทำให้สิ้นกรรมทรงประสงค์เอาว่า กรรมไม่ดำไม่ขาว.
               ก็ผิว่า กรรมนั้นพึงเป็นกรรมดำไซร้ ก็จะพึงให้วิบากดำ ผิว่าเป็นกรรมขาวไซร้ ก็จะพึงให้วิบากขาว. ส่วนเจตนากรรมในมรรค ๔ ตรัสว่า ไม่ดำไม่ขาว ก็เพราะมีวิบากไม่ดำไม่ขาว เหตุไม่ให้วิบากทั้งสอง.
               ความในอุเทศเท่านี้ก่อน. ส่วนในนิเทศพึงทราบความดังต่อไปนี้.
               บทว่า สพฺยาปชฺฌํ แปลว่า มีทุกข์.
               ในกายสังขารเป็นต้น อกุศลเจตนา ๑๒ ที่ถึงความไหวด้วยอำนาจการจับถือเป็นต้นในกายทวาร ชื่อว่ากายสังขารมีทุกข์. อกุศลเจตนา ๑๒ นั้นนั่นแลที่ทำให้การเปล่งคำเป็นไปได้ด้วยอำนาจการเคลื่อนไหวลูกคางในวจีทวาร ชื่อว่าวจีสังขาร. อกุศลเจตนาที่ยังไม่ถึงความไหวทั้งสองที่เป็นไปในมโนทวาร สำหรับคนที่กำลังคิดอยู่ลับๆ ชื่อว่ามโนสังขาร. ดังนั้น อกุศลเจตนาเท่านั้นที่ต่างโดยเป็นกายทุจริตเป็นต้นในทวารแม้ทั้งสาม พึงทราบว่า สังขาร.
               แท้จริง ในพระสูตรนี้ เจตนาชื่อว่าธุระ. ในอุปาลิ (วาท) สูตร เจตนาชื่อว่ากรรม.
               บทว่า อภิสงฺขริตฺวา คือ ชักมา. อธิบายว่า ประมวลมา.
               บทว่า สพฺยาปชฺฌํ โลกํ คือ เข้าถึงโลกที่มีทุกข์.
               บทว่า สพฺยาปชฺฌา ผสฺสา ผุสนฺติ คือ ผัสสะที่มีทุกข์เป็นวิบาก ย่อมถูกต้อง.
               คำว่า เอกนฺตทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์หาระหว่างมิได้.
               คำว่า ภูตา เป็นปัญจมีวิภัติ ลงในอรรถว่า เหตุ. ความเข้าถึง (อุปบัติ) ของสัตว์ที่เกิดแล้ว ย่อมมีเพราะกรรมที่มีแล้ว. ท่านอธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมทำกรรมที่มีแล้วอย่างไร ความเข้าถึงของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีด้วยอำนาจกรรมที่มีส่วนเสมอกัน กับกรรมที่มีแล้วอย่างไร. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สัตว์ทำกรรมอันใดไว้ ย่อมเข้าถึงเพราะกรรมอันนั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน ความว่า สัตว์ทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่า เหมือนเกิดเพราะกรรม แต่ชื่อว่าการอุปบัติ ย่อมมีเพราะวิบาก ก็เพราะกรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก ฉะนั้น สัตว์ย่อมเกิดเพราะกรรมอันเป็นมูลเหตุนั้น.
               บทว่า ผสฺสา ผุสนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งหลายบังเกิดเพราะผลของกรรมอันใด ผัสสะย่อมถูกต้องผลของกรรมอันนั้น.
               บทว่า กมฺมทายาทา คือ ทายาทของกรรม, เรากล่าวกรรมนั่นแหละว่าเป็นทายาท คือเป็นมรดกของสัตว์เหล่านั้น.
               บทว่า อพฺยาปชฺฌํ แปลว่า ไม่มีทุกข์.
               ในวาระนี้ (นิทเทสวาร) เจตนาฝ่ายกามาวจรกุศล ๘ ที่เป็นไปในกายทวาร ชื่อว่ากายสังขาร. เจตนาฝ่ายกามาวจรกุศล ๘ นั้นนั่นแหละ ที่เป็นไปในวจีทวาร ชื่อว่าวจีสังขาร. เจตนาฝ่ายกามาวจรกุศล ๘ ที่เป็นไปในมโนทวารและเจตนาในฌานเบื้องต่ำ ๓ ชื่อว่าอัพยาปัชฌมโนสังขาร.
               ถามว่า เจตนาในฌาน จงยกไว้ก่อน ทำไม กามาวจรจึงชื่อว่าอัพยาปัชฌมโนสังขาร.
               ตอบว่า อัพยาปัชฌมโนสังขารย่อมเกิดได้ในขณะเข้ากสิณ และขณะเสพกสิณเนืองๆ เจตนาฝ่ายกามาวจรต่อกับเจตนาปฐมฌาน เจตนาในจตุตถฌานต่อกับเจตนาในตติยฌาน ดังนั้น กุศลเจตนาต่างโดยกายสุจริตเป็นต้นเท่านั้น แม้ในทวารทั้งสาม พึงทราบว่า สังขาร.
               วาระที่สามก็พึงทราบด้วยอำนาจที่คละกันทั้งสองอย่าง.
               ในคำว่า เสยฺยถาปิ มนุสฺสา เป็นต้นพึงทราบว่า สำหรับพวกมนุษย์ก่อน ปรากฏว่าบางคราวก็สุข บางคราวก็ทุกข์ ส่วนในเหล่าเทวดาทั้งหลายเหล่าภุมมเทวดา ในเหล่าวินิปาติกสัตว์ทั้งหลาย เหล่าเวมานิกเปรต บางครั้งก็สุข บางครั้งก็ทุกข์. สุขย่อมเกิดได้แม้ในเหล่าสัตว์ดิรัจฉานเช่นช้างเป็นต้น.
               บทว่า ตตฺร แปลว่า ในกรรมทั้ง ๓ นั้น.
               บทว่า ตสฺส ปหานาย ยา เจตนา ความว่า เจตนาในมรรค ก็เพื่อประโยชน์แก่การละกรรมนั้น. แต่ถึงกรรมแล้วชื่อว่าธรรมอย่างอื่นที่ขาวกว่าเจตนาในมรรคไม่มี. ฝ่ายอกุศลเจตนา ๑๐ ถึงกรรม ๔ หมวดนี้แล้ว ชื่อว่าดำ. กุศลเจตนาที่เป็นไปในภูมิ ๓ ชื่อว่าขาว. มรรคเจตนามาแล้วว่า ไม่ดำไม่ขาว.
               นายเสนิยะนั้นคิดว่า ตัวเราเหมือนจะเปลี่ยนความคิดว่า เราประกอบตัวไว้ในฝ่ายธรรมที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์มาเป็นเวลานานแล้วหนอ ทำตนให้ลำบากเปล่า จักอาบน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำที่แห้ง เป็นเหมือนคนปักหลักลงในแกลบไม่ทำประโยชน์อะไรๆ ให้สำเร็จเลย เอาเถิด เราจะประกอบตัวไว้ในความเพียรดังนี้แล้ว จึงกล่าวคำนี้ว่า ลเภยฺยาหํ ภนฺเต.
               ครั้งนั้น ติตถิยปริวาส (การอยู่อบรมสำหรับเดียรถีย์) อันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วในขันธกวินัยว่า ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ตั้งอยู่ในภูมิของสามเณรแล้วสมาทานอยู่ปริวาส โดยนัยว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ามีชื่อนี้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ประสงค์จะอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอปริวาส ๔ เดือนกะสงฆ์ ดังนี้เป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาติตถิยปริวาสนั้น จึงตรัสเป็นต้นว่า โย โข เสนิย อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชฺชํ ตรัสด้วยอำนาจความที่ทรงมีพระวาจาอ่อนหวาน. แม้ที่จริง เสนิยะนั้นไม่อยู่ปริวาสก็ได้บรรพชา. แต่เขาต้องการอุปสมบทบำเพ็ญวัตร ๘ ประการมีการเข้าบ้านเป็นต้น พึงอยู่ปริวาสเกินกาลกำหนด.
               บทว่า อารทฺธจิตฺตา คือ มีจิตยินดีแล้วด้วยการบำเพ็ญวัตร ๘ ประการ. นี้เป็นความย่อในเรื่องติตถิยปริวาสนั้น. ส่วนความพิสดารของติตถิยปริวาสนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในกถาปัพพัชชาขันธกะ คัมภีร์อรรถกถาวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา.
               คำว่า อปิจ เมตฺถ แยกสนธิว่า อปิจ เม เอตฺถ.
               คำว่า ปุคฺคลเวมตฺตตา วิทิตา คือ รู้ความที่บุคคลเป็นต่างๆ กัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า คำนี้ปรากฏแก่เราว่า บุคคลนี้ควรอยู่ปริวาส บุคคลนี้ไม่ควรอยู่ปริวาส. ต่อจากนั้น เสนิยะคิดว่า โอ พระพุทธศาสนาน่าอัศจรรย์จริง ที่คนขัดสีทุบอย่างนี้แล้ว ก็ยึดเอาแต่ที่ควร ที่ไม่ควรก็ทิ้งไป. ต่อแต่นั้น เขาก็เกิดอุตสาหะในการบรรพชาว่าดีกว่า จึงกราบทูลว่า สเจ โข ภนฺเต ดังนี้.
               คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความที่เขามีฉันทะแรงกล้า ทรงดำริว่า เสนิยะไม่ควรอยู่ปริวาส จึงตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาว่า ภิกษุ เธอไปให้เสนิยะอาบน้ำแล้วให้บรรพชา แล้วนำตัวมา. ภิกษุนั้นก็กระทำอย่างนั้น ให้เขาบรรพชาแล้วนำมายังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งกลางหมู่สงฆ์ ให้เขาอุปสมบทแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เสนิยนิครนถ์ผู้ถือกุกกุรวัตร ก็ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               บทว่า อจิรูปสมฺปนฺโน แปลว่า อุปสมบทแล้วไม่นาน.
               บทว่า วูปกฏฺโฐ คือ ปลีกกายและจิต ออกจากวัตถุกามและกิเลสกาม.
               บทว่า อปฺปมตฺโต คือ ผู้ไม่ละสติในกัมมัฏฐาน.
               บทว่า อาตาปี คือ ผู้มีคุณเครื่องเผากิเลส ด้วยคุณเครื่องเผากิเลสคือความเพียร ที่นับได้ว่าเป็นไปทางกายและทางจิต.
               บทว่า ปหิตตฺโต คือ ผู้มีตนอันส่งไป มีอัตภาพอันสละแล้ว เพราะเป็นผู้ไม่เยื่อใยในร่างกายและชีวิต.
               คำว่า ยสฺสตฺถาย แยกสนธิว่า ยสฺส อตฺถาย.
               บทว่า กุลปุตฺตา คือ บุตรผู้มีมรรยาทและสกุล.
               บทว่า สมฺมเทว คือ โดยเหตุ โดยการณ์.
               คำว่า ตทนุตฺตรํ แยกสนธิว่า ตํ อนุตฺตรํ.
               บทว่า พฺรหฺมจริยปริโยสานํ คือ อรหัตผลอันเป็นที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์. จริงแล้ว กุลบุตรทั้งหลายย่อมบวชเพื่อประโยชน์แก่มรรคพรหมจรรย์นั้น.
               สองบทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม คือ ในอัตภาพนี้นี่แล.
               บทว่า สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา คือ กระทำให้ประจักษ์ด้วยปัญญาด้วยตัวเอง. อธิบายว่า ผู้ไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย (ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น).
               บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหาสิ คือ บรรลุแล้วให้ถึงพร้อมแล้วอยู่. ผู้อยู่อย่างนี้แลรู้ยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว ฯลฯ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงปัจจเวกขณภูมิ (ญาณ) แก่เสนิยะนั้นอย่างนี้แล้ว เพื่อทรงให้เทศนาจบลงด้วยยอดคือพระอรหัต. ท่านจึงกล่าวว่า ก็ท่านเสนิยะเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญตโร คือ องค์หนึ่ง.
               บทว่า อรหตํ คือ แห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย.
               ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า บรรดาพระอรหันตสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเสนิยะเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง.
               คำที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถากุกกุโรวาทสูตรที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหบดีวรรค กุกกุโรวาทสูตร เรื่องปุณณโกลิยบุตรและเสนิยะอเจละ จบ.
อ่านอรรถกถา 13 / 1อ่านอรรถกถา 13 / 62อรรถกถา เล่มที่ 13 ข้อ 84อ่านอรรถกถา 13 / 91อ่านอรรถกถา 13 / 734
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=1478&Z=1606
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=9&A=1891
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=9&A=1891
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๗  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :